แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

ชื่อกระทู้: ขอเชิญร่วมปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ ครั้งที่ 7 4-7 เม.ย. 57 มูลนิธินิธิกร สมุทรปราการ [สั่งพิมพ์]

โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 00:49     ชื่อกระทู้: ขอเชิญร่วมปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ ครั้งที่ 7 4-7 เม.ย. 57 มูลนิธินิธิกร สมุทรปราการ

1. สถานที่ตั้ง : ตรงข้ามกับสว่างคนิเวศสถาน เยื้องวัดอโศการาม เลยฟาร์มจระเข้ไปเล็กน้อย ติดริมถนน จากบางนาอยู่ด้านซ้ายมือ(ไม่มีค่าใช้จ่ายแล้วแต่จะทำบุญค่ะ)



โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 00:52

2. บรรยากาศ :
         
                 มูลนิธินิธิกร ไม่ใช่วัด เป็นสถานที่ส่วนบุคคล ก่อสร้างแบบศิลปะชาวจีนแต่เน้นพระพุทธศาสนา ปกติจะใช้สวดมนต์แบบภาษาจีนทุกวันอาทิตย์ นอกเวลานั้นจะปิดไม่สามารถเข้าได้ และเริ่มเปิดให้ใช้สถานที่สำหรับการปฏิบัติธรรมปีนี้เป็นปีแรก ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 7 ซึ่งจะจัดทุกช่วงที่มีวันหยุดยาว

               นอกเวลานั้นไม่สามารถเข้ามาที่นี่ได้ เพราะประตูด้านหน้าจะปิด มีห้องนอนกว่า 20 ห้อง บนเนื้อที่ 9 ไร่ เต็มไปด้วยสวนที่ตกแต่งไว้อย่างดี อากาศร่มรื่น โดยเฉพาะช่วงวันหยุดยาวจะไม่มีกลิ่นมาจากโรงงาน มีสนามหญ้าให้กางเต็นท์ มีศาลาใหญ่ให้กางมุ้งหากไม่ต้องการนอนในห้อง มีห้องน้ำพอเพียง มีถ้ำพุทโธเป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่สร้างไว้สำหรับการปฏิบัติธรรมโดยเฉพาะ

[img]
โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 00:53

"การเปิดอบรมการปฏิบัติธรรม ครั้ง 7  มูลนิธินิธิกร โดยแม่ชีเกณฑ์ นิลพันธ์ 4-7 เม.ย. 57"         

รับสมัครผู้เข้าร่วมปฎิบัติธรรม 49 คนเท่านั้น (ขณะนี้มีผู้ลงชื่อจองแล้ว 26 คน) และมีเงื่อนไขดังนี้

1. ปิดวาจาทุกคน ไม่กินกาแฟ(เพื่อให้ได้สัมผัสกับสติที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง) ไมโล โอวัณติน โกโก้ น้ำผลไม้กล่อง ทานได้ ไม่นอนกลางวัน ห้ามใช้โทรศัพท์
2. แม่ชีเกณฑ์ ท่านจะเป็นผู้นำปฏิบัติและดูแลเองอย่างใกล้ชิด 24 ชม. ยกเว้นตอนนอน  และสอบอารมณ์ทุกคนด้วยตัวของท่านเอง
3. ต้องมาเข้าร่วมขั้นต่ำ 3 วันเต็มหรืออยู่เต็ม 4 วัน จะลากรรมฐานในวันจันทร์ที่ 7 เม.ย. 6.00 น.
4. เปิดให้จองผ่านทางเฟสบุคของแม่ชีเกณฑ์ก่อน แล้วจึงนำไปเผยแพร่ข้างนอกต่อไป
5. จองชื่อได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 มี.ค. 57 โดยแจ้งชื่อและเบอร์ที่ติดต่อกลับได้ผ่านทางข้อความ เฟสบุค ของแม่ชีเกณฑ์ และผู้ใดที่ไปไม่ได้ต้องโทรมายกเลิก เพื่อจะเปิดโอกาสให้คนอื่น และหลังจากวันนั้นจะนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆต่อไป
6. ท่านใดที่ต้องการไปช่วยงานแม่ชีเกณฑ์ ไม่ครบเต็ม 3 วันก็มาลงชื่อได้เช่นกันค่ะ
7. ท่านใดที่ต้องการนำอาหารไปเลี้ยงผู้ปฏิบัติธรรม แจ้งชื่อได้ที่แม่ชีเกณฑ์
8. สอบถามรายละเอียดอื่นๆเพิ่มเติม แนวทางการสอน ได้ที่แม่ชีเกณฑ์ 11.00 น. เป็นต้นไป ช่วงค่ำตั้งแต่ 19.00 น. เป็นต้นไป 0868540049(ดีแทค) 0861009373(วันทูคอล)
9. ครั้งนี้แม่ชีเกณฑ์ท่านจะดูแลอย่างเข้มข้น ท่านจะเป็นผู้ให้สัญญาณระฆัง เวลาทานอาหาร ให้พักแค่ 20 นาทีแล้วท่านจะให้สัญญาณไปรวมกันที่ถ้ำพุทโธ เพื่อทำการปฏิบัติ และเริ่มสอบอารมณ์ที่ถ้ำพุทโธทีละคนบ่าย 2 โมง จนถึง 2 ทุ่ม
10. เนื่องด้วยการอบรมครั้งนี้ มีระยะเวลาน้อยมาก จึงของดการสวดมนต์ทำวัตรเช้าและเย็น แต่จะเน้นการปฏิบัติอย่างเดียว และจะมีการแสดงธรรมและแลกเปลี่ยนธรรมะกันในคืนวันสุดท้าย 6 เม.ย. 57
13. สิ่งของมีค่าห้ามนำติดตัวไป จะได้ไปไม่เป็นเครื่องกังขาเวลาปฏิบัติ
14. มีความสำรวมในทุกอิริยาบถ แม้กระทั่งตอนกิน ไม่ให้เสียเวลาไปกับมันมาก

15.*** ยืนยันการเข้าร่วมการปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง วันที่ 30 มี.ค. 57 ด้วยการแจ้งชื่อจริงและเบอร์โทรผ่านทางเฟสบุค *****

16. สำหรับผู้ที่จะไปร่วมปฏิบัติธรรมสั่งจองเต้นท์มุ้งพร้อมกับลงชื่อได้เลยค่ะ ราคาหลังละ 250-300 บาท
17. ท่านผู้ใดต้องการทำบุญเลี้ยงอาหารผู้ปฏิบัติธรรม จะนำอาหารมาเอง หรือร่วมเป็นปัจจัยก็ได้ วันละ 2,500 บาท 2 มื้อ เช้ากับกลางวัน ติดต่อได้ที่แม่ชีเกณฑ์ค่ะ

โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 00:54

****ผู้นำปฏิบัติและผู้สอบอารมณ์******

                แม่ชีเกณฑ์ นิลพันธ์ ท่านอยู่ประจำที่วัดป่าเจดีย์เทวธรรม(สำนักวิปัสสนากรรมฐานขุนศึกเทพพญา) อ.เมือง จ. ร้อยเอ็ด ท่านทำหน้าที่เป็นผู้สอบอารมณ์ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมที่นั่น อดีตท่านเคยเป็นผู้สอบอารมณ์ผู้ปฏิบัติธรรมที่วัดร่ำเปิง ตโปทาราม อ.เมือง จ. เชียงใหม่ หลายสิบปี และเคยเป็นผู้สอบอารมณ์ผู้ปฏิบัติธรรมที่วัดเขาถ้ำ บางละมุง ชลบุรี 1 พรรษา และท่านจะเดินทางมาจากร้อยเอ็ดทุกครั้งที่มีการเปิดปฏิบัติธรรมที่สมุทรปราการ   

                     การเลือกครูบาอาจารย์เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมาก ถ้าเราเลือกผิดอาจจะทำให้หลงทางและเนิ่นช้าอาจปีเดียวหรือหลายปี แม่ชีเกณฑ์ท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่มีความสามารถภาคปฏิบัติ ภาคปริยัติท่านก็มีความแตกฉาน หากท่านใดอ่านแล้วไม่เข้าใจประโยคหรือบาลีคำใด หากท่านตอบได้ท่านก็จะยินดีตอบค่ะ

โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 00:55

1. สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการปฏิบัติแนวไหน วิธีไหน ได้ที่แม่ชีเกณฑ์ นิลพันธ์ ท่านเป็นผู้นำปฏิบัติ และสอบอารมณ์ตัวต่อตัว รวมทั้งหากมีคำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติก็จะสอนและแก้ปัญหาให้ตัวต่อตัวเช่นกัน ท่านเป็นเสมือนพี่เลี้ยงที่คอยดูแลเราตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย 086 8540049 (ดีแทค)   0861009373 (วันทูคอล)

2. แจ้งชื่อลงทะเบียนพร้อมหมายเลขโทรกลับผ่านทางเฟสบุคชื่อ แม่ชีเกณฑ์ วัดป่าเจดีย์เทวธรรม จ.ร้อยเอ็ด  ซึ่งท่านไม่ได้ใช้เอง แต่มีผู้ปฏิบัติธรรมท่านหนึ่งอ่านให้ท่านฟังเสมอและลงข่าวเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมให้ท่าน
https://www.facebook.com/profile ... 950&ref=tn_tnmn

3. การปฏิบัติธรรมในครี้งนี้เปิดรับเพียง 49 คน ซึ่งขณะนี้มีผู้แจ้งชื่อจองแล้ว 7 คน แจ้งชื่อจองได้ภายในวันที่  30 มี.ค.57


โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 00:56

*******สิ่งที่อาจต้องเตรียมไป******

ที่นี่เปิดปฏิบัติธรรมเฉพาะกิจ ของใช้บางส่วนต้องเตรียมไปเอง หมอนนิ่มๆ เพราะที่มีเป็นหมอนแข็งแบบทางอีสาน ผ้าห่มอาจเป็นผ้าคลุมบางๆหรือผ้าขนหนูผืนใหญ่ก็ได้ ผ้าปูนอน เสื่อพอจะมีหรือใครมีรถสามารถนำติดไปได้  มุ้งมีให้ประมาณ 10 หลัง หากไม่พอมีบริการขายหลังละ 250 บาท ถ้ามีนำติดไปด้วยได้ค่ะ

หากใครมีเต้นท์สามารถนำไปกางนอนได้เลย เตรียมตัวไปเหมือนไปเขาใหญ่ ยกเว้นอาหารไม่ต้องนำไปค่ะ สามารถซักผ้าได้แต่ต้องนำไม้แขวนไปเอง ห้องนอนมีประมาณ 20 กว่าห้องในห้องนอนมีห้องน้ำ และสามารถนอนในศาลาใหญ่โล่งๆได้หากใครชอบลมเย็นๆ กาแฟมีให้บริการ อุปกรณ์กันยุงแบบฉีด ธูปยุง ไฟแช็ค และหากใครนำพัดลมติดรถไปด้วยจะยิ่งดีค่ะ  สำหรับชุดหากท่านใดไม่มีชุดขาวสามารถโทรไปขอยืมกับท่านแม่ชีได้ ท่านจะนำมาจากร้อยเอ็ด หรือใช้เสื้อผ้าสีอ่อนเช่นขาว ครีม หรือเป็นเสื้อขาวกับกางเกงดำก็ได้ และเตรียมใจไปเรียนรู้กับสิ่งใหม่ๆค่ะ (เข้าหน้าร้อนแล้วเตรียมพัดลมและปลั๊กสามตาติดรถไปด้วยค่ะ)

โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 00:56

"ตารางการปฏิบัติธรรม"     

เงื่อนไขหลักของการปฏิบัติธรรมในครั้งนี้คือปิดวาจา ไม่ทานกาแฟ และปิดเครื่องมือสื่อสารโดยเด็ดขาด ห้ามส่งข้อความ ห้ามใช้เฟสบุค ให้เก็บไว้ในรถหรือฝากไว้ที่คุณแม่ จนกว่าจะถึงเวลาออกกรรมฐานจึงจะเริ่มเปิดโทรศัพท์ได้ และของมีค่าส่วนตัว เครื่องประดับทั้งหมดถอดเก็บไว้ที่บ้าน เพื่อไม่ให้เป็นนิวรณ์ขณะปฏิบัติธรรม ทิ้งทุกอย่างทิ้งทุกคนไว้ที่บ้านอย่าได้นำไปด้วย  ให้นำไปเพียงหัวใจที่พร้อมสู้เท่านั้น  และห้ามนอนกลางวัน               

วันศุกร์ที่   4 เม.ย.  57     
คุณแม่ท่านเดินทางจากร้อยเอ็ดไปถึงช่วงบ่ายของวันที่ 4  สามารถเข้าไปได้ตั้งแต่บ่าย 2 โมง- 4 ทุ่ม (หากดึกมากต้องโทรแจ้งท่าน) เก็บของเข้าที่พักและเริ่มปฏิบัติได้เลย คุณแม่ท่านบอกว่าถึงแม้ไม่ได้ขึ้นกรรมฐานด้วยวาจาแต่เราขึ้นกรรมฐานด้วยการปฏิบัติ จึงขอให้ผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่านอย่าได้ข้องใจตรงจุดนี้ เราจะไปขึ้นกรรมฐานพร้อมกันกับผู้ที่เข้ามาวันที่ 5 เพื่อจะได้ไม่เป็นการเสียเวลา      

วันเสาร์ที่ 5 – อาทิตย์ที่ 6 เม.ย.57 **สำหรับผู้ที่มาวันที่ 5 ช่วงเช้าขอให้เข้าไปถึงภายในเวลา 8.30 น.
- 3.00 น. เคาระฆังปลุก ให้รีบเข้าห้องน้ำ 30 นาทีและไปรวมกันที่ห้องพุทโธ
- 3.30 น. รวมกันที่ห้องพุทโธ เพื่อเริ่มปฏิบัติ
- 7.30 น. รับประทานอาหารเช้าและเข้าห้องน้ำ 20 นาที
- 9.00 น. ขึ้นกรรมฐานพร้อมกันสำหรับผู้มาใหม่และมาเก่า และเริ่มปฏิบัติ
- 11.00  น.รับประทานอาหาร
- 12.20  น. มารวมกันและเริ่มปฏิบัติ
- 14.00 น. เริ่มทะยอยมาสอบอารมณ์
- 18.00  น. เริ่มปฏิบัติต่อ
- 22.00 น. เข้านอน สำหรับผู้ที่ยังไม่ต้องการนอน ท่านอนุญาติให้ปฏิบัติต่อ
สำหรับวันที่ 6 ซึ่งถือว่าเป็นวันสุดท้ายของการปฏิบีติธรรม รวมตัวกัน 6.00 น. เพื่อร่วมกันแลกเปลี่ยนและสนทนาธรรมกับคุณแม่ชีเกณฑ์

วันจันทร์ที่ 7 เม.ย. 57  (วันสุดท้ายของการปฏิบัติ)
- 3.00 น. เคาะระฆังปลุก จัดการเรื่องส่วนตัวและเริ่มปฏิบัติ
- 3.30 น.  ฟังธรรมและลาศีลกลับบ้าน
-7.30 น. ทานอาหารเช้าก่อนกลับเป็นข้าวต้มปลา หลังจากนั้น ช่วยกันทำความสะอาดเก็บกวาดที่พัก ห้องทานอาหาร ห้องครัว ห้องน้ำรวม ห้องสวดมนต์ ให้เรียบร้อย ถ่ายรูปหมู่แล้วจึงแยกย้ายกลับบ้าน
โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 00:57

***ติดตามอ่านอารมณ์ใจจากผู้ปฏิบัติธรรมได้ที่****

https://www.facebook.com/profile ... 950&ref=tn_tnmn

โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 00:57

"คุณแม่สอนปฏิบัติแนวไหนค่ะ"

"วิปัสสนาในสติปัฏฐาน 4  มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ ดับอารมณ์ได้ทันปัจจุบัน ถามว่าแนวไหนก็แนวมรรคมีองค์ 8 คุณจะเอาแนวไหนก็ได้ แต่ให้คุณเอาแนวเจริญสติปัฏฐาน 4  สติปัฏฐาน 4 ไม่ใช่เฉพาะหนอ แม่เปิดกว้าง อะไรก็ได้  "

"มีผู้ปฏิบัติคนหนึ่ง เขาเล่นสมถะ จิตนิ่งเข้าฌานอยู่เป็นสิบปี แต่เขาไม่เจริญสติเลยทำให้เขาข้องอยู่นั่น เขาบริกรรมพุทโธ แม่ก็เลยบอกว่าก็เธอขาดสติและปัญญา เธอจงเจริญสติโดยเอาพุทโธนั่นแหละ "

"สติปัฏฐาน 4 กว้างคุณจะเอาวิธีกรรมใดก็ได้ คุณจะเอา 84,000 พระธรรมขันธ์มากำหนด คุณจะกำหนดเพ่งอะไร แต่จิตคุณสงบแล้วคุณต้องเจริญสติ ให้รู้เท่าทันอารมณ์มากระทบทางตาหูลิ้นจมูกกายใจ คุณจะบริกรรมอะไรก็ได้ จะเอาอะไรมาเป็นอารมณ์ก็ได้ ที่ล่อจิตคุณให้สงบก่อนแล้วทีนี้คุณแม่จะให้คุณเดินสติรู้เท่าทันอารมณ์ปัจจุบัน คุณต้องมีสติไม่ใช่หรือจึงจะรู้เท่าทันใช่ไหม"

"แม่ก็มีวิธีถามของแม่เหมือนกัน ในผู้ที่ไม่มีคำบริกรรมอะไรเลย ก็ให้รู้เท่าทันอารมณ์วันยังค่ำนั่นแหละ ให้มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ว่าคุณโกรธ ว่าคุณเกลียด คุณมีโทสะ คุณมีโมโหไหม ก็ให้รู้เท่าทันอารมณ์ที่คุณคิด ที่คุณปรุงแต่ง ให้รู้เท่าทันอารมณ์ ให้เจริญสติ"

"ถ้าให้เอาหนอเข้าไป เขาฝืน เขาเคือง เขาอึดอัด ก็เอาอะไรก็ได้ ที่เธอจะรู้ลมหายใจเข้าออกก็ได้ เธอก็ต้องเจริญสติอีกนั่นแหละ มีสติรู้ลมหายใจเข้าสั้น มีอารมณ์แผ่วเบาก็รู้ จิตเป็นปิติก็รู้ มีอารมณ์เข้ามากระทบก็รู้ ลงสติปัฏฐาน 4 อย่างเหมือนกัน เช่นหลวงปู่มั่นที่โลกเล่าลือ ท่านหลงสมาธิหลงฌานอยู่ตั้ง 20 ปี เพราะท่านไม่เจริญสติ พอท่านมาเจริญสติ ท่านก็บอกว่าเราโง่อยู่ตั้งนาน "

"คุณต้องเจริญสติตาม เกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา ให้คุณรู้เท่าทันว่าเวลาทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ทางโรค ทุกข์ทางใจ ทุกข์พยาบาทอาฆาต ให้มีสติรู้เท่าทัน  ดับอารมณ์ทันจิตของคุณ ที่มันคิด ปรุงแต่ง ย่อลงมาให้คุณดูกายกับใจ รู้เท่าทันอารมณ์ รู้เท่าทันแล้วก็วางได้ ตัดได้ ให้เห็นความทุกข์ที่มันเกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่ดับไป เห็นทุกขัง อนิจจัง"

โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 00:58

"คุณแม่สอบอารมณ์ยังไงค่ะ"

"แม่จะถามว่าเป็นยังไง กำหนดบริกรรมอะไร กำหนดแล้วรู้ยังไง รู้ลมหายใจเข้า รู้ลมหายใจออกไหม ถ้าเขาบอกว่าหายใจเข้าพุท หายในออกโธ แล้วมันยาวหรือว่ามันหยุดอยู่อึดใจกว่ามันจะออก"

"แล้วหูได้ยินเสียง กำหนดได้ยินไหม รู้ไหม เวลามีร้อนอ่อนแข็งเข้ามาถูกกาย ร้อนเย็นรู้ไหม บางคนบอกรู้ บางคนบอกหนูไม่รู้ไม่สังเกต แม่ก็บอกให้ไปสังเกตนะ "

"ถ้าเขาบอกว่าหูได้ยินเสียง  แม่ก็ถามว่าแล้วหูไปหาเสียงหรือเสียงมาหาหู เขาตอบ เอ้...หูไปหาเสีบง แม่ก็ตอบว่าลังเลไม่ได้ไปดูใหม่"

"สมมุติเขาเอาพุทโธ เวลาเขาเดินขวาพุทโธอะไรเป็นผู้พาก้าวล่ะ แม่ก็จะสอนให้เขามีสติปัญญาไหวพริบบางคนบอกจิตมันพาก้าว แล้วถ้ากายไม่ก้าวมันจะไปไหม จิตมันสั่งถ้ากายไม่กระดุกกระดิก ไม่เคลื่อนไหว แค่จิตมันสั่งได้ไหม อันนี้กายเป็นผู้เคลื่อนไหวใช่ไหม จิตเป็นผู้รับรู้ว่ากายนี้เป็นผู้เคลื่อนไหวใช่ไหม ในร่างกายมีแต่กายกับจิตใช่ไหม อะไรก็ได้ เราก็จะมีวิธีบอกเขา แต่จะถามก่อน"

"ลมหายใจเข้ารู้ไหม หายใจเบา หายใจอ่อน เหมือนไม่มีลมหายใจ มันเงียบไป มีสติรู้ไหม บางคนบอกไม่รู้เลย อย่างนั้นสติไม่มีนะ"

โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 00:59

"รู้ปัจจุบันที่แม่ว่าคืออะไรค่ะ"

" ถ้าทุกข์เกิดขึ้นมาในใจ โกรธขึ้นมาในใจ ก็ให้รู้ว่ามันโกรธ แล้วก็ใช้ปัญญาดับมันทัน ทุกข์เกิดขึ้นให้รู้เท่าทันแล้วก็วางมันหรือปล่อยมันไป ก็เหมือนว่าปล่อยให้มันดับไป  รู้เท่าทันมันโกรธ มันเกลียด มันพยาบาท มันอาฆาต มันพอใจ รัก ชอบ ชัง ให้คุณรู้หมด รู้แล้วคุณก็วางมัน อารมณ์มันดีคุณก็อย่าไปหลงมัน "

โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 01:00

"ทำไมจึงต้องสอบอารมณ์ทีละคน"

มีคนถามว่าทำไมแม่ชีเกณฑ์ท่านต้องสอบอารมณ์ทีละคน ให้รวมกลุ่มกันคุยไม่ได้หรือ และการสอบอารมณ์เป็นอย่างไรเหมือนคุยปกติไหม เราตอบไปว่าแม่ชีเกณฑ์ท่านบอกเสมอ ผู้สอบอารมณ์นั้นจำเป็นมากสำหรับผู้ที่ยังเดินทางอยู่ เห็นชัดจากตัวเอง ตอนแรกไม่ได้คุยกับท่าน ตอนนั้นเริ่มไปปฏิบัติที่วัดแล้ว มีแต่ความตั้งใจแต่ยังไม่มีหนทาง พอเริ่มเดินแบบเอาจริง กลับพบปัญหาว่าเดินแบบเดิมที่ทำมานานแล้วไม่ทำให้เราสงบลงเลย ยิ่งเดินยิ่งคิด แต่แบบไหนหนอที่เหมาะกับเรา เราไม่มีความรู้อะไร ไม่เคยไปอบรมที่ไหน แล้วใครจะให้คำตอบเราได้ พระที่วัดท่านก็บอกให้เดินแบบปกติ แต่ในใจเรารู้สึกว่าไม่ใช่                          

เมื่อมีโอกาสได้คุยกับแม่ชีเกณฑ์ ท่านจึงบอกลองแบบนี้สิ เมื่อลองแล้วเห็นผลเราจึงโทรหาท่านอีก คราวนี้ท่านจะมีคำถามให้เราไปสังเกตดูเช่น เสียงมาหาหูหรือหูไปหาเสียง ท่านมีวิธีสอนให้เราจดจ่ออยู่กับสิ่งตรงหน้าไม่ไปตามความคิดที่ฟุ้งซ่าน เมื่อได้เริ่มปฏิบัติจริง เราจะมีทั้งสิ่งที่จะเล่าให้ท่านฟังและสิ่งที่จะถามท่าน ล้วนแต่เรื่องที่เกิดบนทางจงกรมหรือนั่งสมาธิ  โดยเฉพาะเริ่มแรกที่นั่งสมาธิแล้วหายเงียบสงบเรานึกว่าดีเป็นอย่างนั้นอยู่ 2 อาทิตย์จนมีโอกาสถามท่านจึงหลุดมาได้

เมื่อมาเจออาการโงกง่วงก็ท่านอีกที่ให้คำแนะนำ แรกๆเรื่องที่คุยจะเป็นเรื่องนอกกายของที่พะรุงพะรัง อยู่รอบตัว เมื่อเราวางสิ่งของนอกกายได้แล้ว คราวนี้ก็ถึงเรื่องละเอียดอ่อนที่ฝังอยู่ในใจ จนถึงวันนี้ใจของเราเปลี่ยนไปราวกับคนละคน เราไม่รู้สึกว่าโลกนี้โหดร้ายและไม่ได้รู้สึกว่ามันน่าอยู่   ท่านบอกเสมอผู้สอบอารมณ์สำคัญที่สุด หากเจอผู้ที่ชี้นำได้ถูกทางเราก็จะเดินทางพ้นจากทุกข์ได้เร็ว เป็นบุญของเราที่มีโอกาสได้คุยกับท่าน ในช่วงเวลาสั้นๆไม่ถึงปีความทุกข์ใจที่มีมานานหลายปีมะลายหายไปสิ้น มองไปข้างในเราเห็นเพียงใจว่างเปล่า ไม่มีใครหรือสิ่งใดอยู่ในนั้น                        
  
และอีกคำถามหนึ่งที่อื่นเขามีผู้สอบอารมณ์ไหม ท่านบอกว่าที่ไหนเข้าปฏิบัติยาวๆ จะมีผู้สอบอารมณ์ ท่านเคยเล่าให้ฟังว่าหลวงปู่เลื่อนอาจารย์ของท่านก็สอบอารมณ์ท่านเช่นนี้ ท่านเคยบอกจะช่วยงานหลวงปู่เลื่อนเพื่อตอบแทนพระคุณท่าน แต่หลวงปู่เลื่อนกลับบอกให้ตอบแทนคุณพระพุทธศาสนา ก็เท่ากับตอบแทนคุณท่านแล้ว

โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 01:00

" ไม่เคยฝึกสติมาก่อนค่ะ "

แม่ก็จะพานั่ง พาเดิน ให้ดูทุกอิริยาบถ ถ้าไม่เดิน ไม่นั่ง คุณจะทำงานก็ให้รู้เท่าทัน ขณะนี้คุณอยู่กับปัจจุบันไหม จิตของคุณออกไปที่อื่นไหม คุณจะทำอะไร จะคิดอะไร คุณโกรธ คุณเกลียด คุณรัก คุณชอบ ก็ให้คุณรู้เท่าทัน ให้คุณรู้เท่าทันที่จิตมันคิด มันปรุง มันแต่ง

โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 01:01

"วิธีแก้อาการโงกง่วงโยกไปโยกมา"
            
                     เริ่มแรกของการปฏิบัติเมื่อผ่านเรื่องการเดินจงกรมมาได้แล้ว เหลือเพียงเรื่องการนั่งสมาธิที่ยังไม่ดีนัก เริ่มแรกนั่งแล้วเงียบหาย ตัวก็หาย สถานที่ก็หาย ตอนแรกคิดว่าดีเพราะไม่ฟุ้งซ่าน แต่รู้สึกไม่มั่นใจ ถามแม่ชีเกณฑ์ท่านว่านั่งแบบนี้ถูกไหม ท่านบอกว่าไม่ได้แล้ว หายเงียบไปแบบนั้นหาใช่ดีไม่ การนั่งสมาธิที่ดีต้องมีสติรู้กายรู้ใจอยู่ครบถ้วน ต้องตื่นอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่หายไปไหน ท่านบอกว่าขณะกำลังเกิดภาวะเช่นนั้น ให้แก้ด้วยการลุกเดิน อย่าปล่อยให้ดิ่งหายไปแบบนี้               

 เมื่อไม่หายไปไหนกลับมาเจออีกภาวะหนึ่งคือโงกง่วงโยกไปโยกมา น่าอายมากหากใครมาเห็น แม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าเพราะสติมันอ่อนเลยทำให้เสียการทรงตัว ให้เราสำรวจว่าเป็นเพราะร่างกายเราเหนื่อยอ่อนเพลียไหม หรือจะเป็นนิวรณ์ไม่เหนื่อยไม่เพลีย แต่พอเริ่มนั่งก็เริ่มง่วง อันนี้เป็นนิวรณ์แล้ว กลับมาดูตัวเองอาจจะใช่ปกติแล้วเวลาบ่าย 2 ของทุกวัน เราจะงีบหลับ แต่นี่เราไม่ได้นอน และพบว่าหลังอาหารเที่ยง เราจะรู้สึกง่วงอย่างหนัก              เมื่อเริ่มเห็นจุดที่จะแก้การโงกง่วงของตัวเองได้แล้ว จึงเปลี่ยนเวลาการกินอาหารให้เสร็จก่อนเที่ยง ประมาณบ่ายโมงเขาจะง่วงพอดี นอนเสียครึ่งชม.ก่อนไปปฏิบัติธรรม  ทำให้อาการโงกง่วงหายไปและท่านยังบอกอีกว่าอย่าปล่อยให้เป็นอย่างนั้นมันจะติดเป็นนิสัย เราต้องขัดมัน ถ้ามันโงกง่วงให้เราลุกเดินทันที อย่านั่งต่อต้องฝืนลุกขึ้นมา                เมื่อผ่านอาการโงกง่วงมาแล้ว หากนั่งนานเกินไปจะมีการจมแช่อยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ระยะหลังท่านให้นั่ง 5 นาที เดิน 5 นาที เพื่อไม่ให้จมแช่ทั้งขณะเดินและขณะนั่ง นั่ง 5 นาทียังไม่ทันง่วงและไม่จมในความคิด เดิน 5 นาทีก็ยังไม่ทันออกนอกวัด ทำแบบนี้แล้วทำให้มีความรู้สึกตัวต่อเนื่องไม่ขาดตอน แต่กว่าจะแก้ได้ไม่ใช่แค่วันเดียวนะ เราใช้เวลาร่วมๆ 3 เดือนกว่าจะแก้ได้                ถามท่านว่านั่งสมาธิลืมตาได้หรือไม่เพราะหลับตาแล้วจะพาหลับ ท่านบอกว่าจะลืมตาก็ได้ขอให้มีสติรู้ตัวอยู่ เราก็เลยนั่งหลังตรงและลืมตา หากวันไหนง่วงทั้งเดินและนั่งจนเอาไม่อยู่ จะด้วยสภาพร่างกายหรือสภาพอากาศ เราแก้ด้วยการจับไม้กวาดกวาดใบไม้ไปจนหมดชม. ดีกว่าทนนั่งง่วงเดินง่วงอยู่อย่างนั้น           ถามแม่ชีเกณฑ์ท่านว่ามีความคิดเกิดขึ้นมากขณะเดินและนั่ง บางทีคิดไปข้างหน้า บางทีคิดไปข้างหลัง แม่ท่านบอกว่าพอมีความคิดเกิดขึ้นก็ให้หยุดเช่นกำลังจะก้าวเท้าลงหากเห็นมันก็หยุดคาอยู่อย่างนั้น เราทำตามที่ท่านบอกแล้วเราก็เห็นมันดับลงไป และอีกวิธีหนึ่งที่ท่านแนะนำเวลาที่ฟุ้งมากๆให้กำหนดไปเลยคิดหนอ คิดหนอ หลายๆครั้ง หรืออยากหนอ อยากหนอ ถ้ามันอยากขึ้นมา จะช่วยให้หายฟุ้งได้            แม้ขณะนี้จะไม่ดีเลิศมากนักแต่เบาบางจากความฟุ้งซ่านไปมาก เสียงข้างในเงียบขึ้นมากเหลือเพียงแต่เสียงภายนอก แม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าผู้ใดไปร่วมปฏิบัติธรรมไม่ได้ หากมีปัญหาอารมณ์ใจท่านยินดีจะให้คำแนะนำผ่านทางโทรศัพท์

โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 01:01

"ทำไมต้องไปที่วัด"

                 มีคนถามว่าทำไมต้องไปปฏิบัติที่วัดให้ยุ่งยาก ทำที่บ้านก็ได้ มันก็ถูกของเขาแต่เรายังตอบไม่ได้ว่าทำไม เราเข้าไปเดินจงกรมในป่า ลึกเข้าไปอีก มีทางเดินโล่งๆอยู่ในนั้น ตรงนั้นไม่มีกุฏิ มีแต่พื้นดินและต้นไม้             เราเล่าให้แม่ชีเกณฑ์ท่านฟังว่าเราพบความแตกต่างของการปฏิบัติที่บ้านและในป่าที่วัดแล้ว ในป่าไม่มีพัดลมเมื่อร้อนก็ต้องทน ในป่าไม่มีที่นอนเมื่อง่วงก็ต้องทน ในป่าไม่มีของกินเมื่อหิวก็ต้องทน           อยู่บ้านเราตามใจกิเลส หิวขึ้นมาก็เดินไปที่ตู้เย็นเอาของออกมากิน หรือเดินไปรู้สึกร้อนก็เปิดแอร์แค่พัดลมไม่พอ ยิ่งง่วงหนักๆไม่ทนเลยเดินไปที่หมอน และที่บ้านมีแต่ความคุ้นเคยขาดความระแวดระวังภัย ไม่มีความตื่นตัว แต่ในป่ามีสัตว์ร้ายเราจะเผลอไม่ได้           ถึงตอนนี้เราจะมีคำตอบตอบคนนั้นแล้วแต่เราไม่คิดจะบอกเขา เพราะคำตอบนี้แจ้งอยู่ในใจเราเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว จนกระทั่งเวลาแห่งฝนตกมาถึง เราต้องเดินอยู่เพียงระเบียงเล็กๆหน้ากุฏิที่เคยคิดว่าแคบเดินไม่ได้ แต่กลับเดินได้เป็นปกติ เราคิดได้แล้วว่าที่นี่เดินได้ ที่บ้านกว้างกว่านี้อีกทำไมจะเดินไม่ได้ เรารู้แล้วว่าการเดินจงกรมไม่ได้อยู่ที่สถานที่ อยู่ที่ใจต่างหาก           แม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าแรกๆก็ต้องหาสถานที่ เพราะทำอยู่ที่บ้านใจเรายังไม่ได้ แต่เมื่อมันเข้าใจแล้วที่ไหนก็เป็นวัดได้ หากมีเหตุไปไม่ได้เราเริ่มทำบ้านให้เป็นวัดได้แล้ว

โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 01:02

"ท่านครับผมจะนั่งขัดสมาสไม่ได้ เส้นตึงมาก เป็นมาแต่เด็กแล้วครับ"         

มีคนถามว่าเขานั่งขัดสมาสไม่ได้ จะให้เขาปฏิบัติเช่นไร แม่ชีเกณฑ์ท่านจึงบอกว่า อย่าไปนั่งนานถ้าเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นมาตั้งแต่เด็กอย่างนี้คงเป็นวิบาก ให้เดินบริหาร ใหม่ๆต้องอดทน มีพระองค์หนึ่ง ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ชา ท่านตาบอดตาใสเห็นลางๆ มาตั้งแต่เกิด ปฏิบัติได้ปีที่สิบ ท่านเหลือกตาขึ้นลงเป็นประจำ อัศจรรย์ตาท่านมองเห็นกระจ่างจ้าไปหมด ท่านบริกรรมรู้ไปด้วย เหลือกตาไปด้วย       

 มีโยมคนหนึ่งมาช่วยท่านดูแลเหล่าโยคี เขาเป็นเจ้าของเซ็นทรัลที่แม่สอด อายุ 65 ปี เจ็บขาอยู่ข้างเดียวมานานแล้ว หมดเงินรักษาไปเป็น10 ล้าน เมืองนอกก็ไปมาแล้วแต่ยีงไม่ดีขึ้น  ท่านให้เดินสามขาคือใช้ไม้เท้าช่วยเดิน เดิน 5 นาที นั่ง 5 นาที แล้วสอบอารมณ์ทุกวัน เวลาผ่านไป 3 เดือนเขาก็หายหมดวิบากกรรมไป

ท่านบอกว่าหากอายุยังน้อย ยังเดินไหวก็ให้เดินนั่งสลับไปสลับมา  เส้นจะยืดโดยปริยาย เราต้องฝืน ถ้าไม่ฝืนก็จะแก้อะไรไม่ได้ ปฏิบัติภาวนาไปอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร และต้องบริหารขาไปด้วย วันหนึ่งที่ทุกอย่างเต็มเปี่ยมแล้วเราก็อาจจะหายได้

โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 01:02

"จำเป็นด้วยไหมเราต้องเห็นอสุภะภายในให้ได้"         

ถามแม่ชีเกณฑ์ท่านว่าจำเป็นด้วยไหมที่ต้องนั่งอ่านหนังสืออสุภะและท่องกาย 32 เพื่อให้เห็นภายในกายให้ได้ เพราะรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติและยากมากที่ต้องมานั่งนึกให้เห็นในสิ่งที่เราไม่เห็น คำแรกที่ท่านตอบ เห็นแล้วใจมันวางได้ไหม มันสำคัญตรงนี้ ทำไมพวกคุณหมอเห็นกันประจำแต่ยังยินดีกับมันอยู่ การอ่านหรือท่องจำมันไม่เห็นด้วยใจ เห็นจนตาแฉะถ้าไม่เห็นโทษไม่เห็นภัยของร่างกายนี้จริงๆ ใจมันก็ไม่วาง ของข้างนอกที่เห็นด้วยตาเนื้อก็สกปรกไม่ต่างจากข้างใน เห็นกันตรงนี้ให้ชัด         

ตื่นขึ้นมาทำไมต้องแปรงฟัน ทำไมต้องล้างหน้า ทำไมต้องอาบน้ำ ทำไมต้องทาหน้า ใจยังยินดีให้มันดูดีใช่ไหม อึออกมาเหม็นไหม ใจรังเกียจไหม ผมไม่สระหลายๆ วันใจเป็นอย่างไร ไม่พามันกินข้าวใจเป็นยังไง ปวดขี้ปวดเยี่ยวไม่พามันเข้าห้องน้ำมันทุกข์ไหม หน้าเป็นสิวใจกังวลไหม แต่งตัวไม่สวยใจมันเป็นยังไง เวลาป่วยใจกังวลห่วงมันไหม เราต้องหมดเงินไปกับสิ่งที่มาดูแลกายนี้ให้ดูดีมากเพียงไร เป็นภาระไหม แล้วหยุดไม่ให้มันแก่ไม่ให้มันเหี่ยวได้ไหม        

ท่านเน้นให้เห็นทุกความรู้สึกที่ใจของเรา ท่านบอกว่าไม่ต้องไปเห็นที่คนอื่น เห็นที่ใจของเรานี่แหละ เรายังยินดีกับมันมากน้อยแค่ไหน ท่านบอกเสมอใจยึดติดอะไรนั่นละคือภพชาติ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเราไม่พยายามหาอ่านและฟังเรื่องที่เกี่ยวกับอสุภะ เราดูของจริง ดูทุกวัน ดูทุกความรู้สึกที่ใจในยามอาบน้ำ กินข้าว แต่งหน้า หวีผม ใส่เสื้อผ้า เลือกอาหาร ดูทุกกิจกรรมที่ตัวเองทำในแต่ละวัน มันล้วนแต่เนื่องมาจากกายนี้ เมื่อเห็นความจริง ใจจะค่อยๆ ละออกไปทีละอย่าง โดยไม่ฝืนใจและบังคับ ทำด้วยความเข้าใจในธรรมชาตินั้น การวางด้วยใจที่มันเห็นโทษเห็นภัยและเบื่อหน่ายอย่างแท้จริง มันไม่คิดจะย้อนกลับมาถืออีก      
      
เรารู้แล้วว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นเพราะใจเข้าไปยึดถือไว้ หากจะปล่อยก็ต้องปล่อยที่ใจวางตัวเองได้ก็จะวางคนอื่นและสิ่งอื่นนอกกายได้เช่นกัน สุดท้ายเงินเหลือมากขึ้น เพราะไม่ไปวุ่นวายกับการซื้อของดีๆมากินมาใช้อีก ดูแลเขาตามธรรมชาติที่ควรเป็น พอให้อาศัยอยู่กันไปได้ เริ่มคลายปมของใจเสียตั้งแต่ตอนนี้ จะได้ไม่มาเจอกับมันอีก

โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 01:03

"สอบถามการนั่งสมาธิ ก่อนนั่งต้องสวดมนต์ไหม หากจะจับพุทโธให้กำหนดตามดูยังไงครับ"           

ไม่สวดอะไรเลยก็ได้ เมื่อจะนั่งสมาธิพึงสำรวจจิตของตัวเองว่าพร้อมที่จะนั่งแล้วพยายามวางอารมณ์ทุกอย่าง ความกังวล ทำใจให้เป็นกลาง แล้วสำรวจจิตว่าตอนนี้จิตมันวอกแว่กคิดฟุ้งซ่านไหม ให้วางอารมณ์ที่เราเป็นนักเรียนหรือนักธุรกิจ หน้าที่การงาน เมื่อพร้อมแล้วไปนั่งในที่สงบ จะกราบระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย3 ครั้ง ระลึกถึงพระปัญญาธิคุณ  พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณของท่าน แล้วก็ตั้งจิตว่าจะนั่งจะดูลมหายใจเข้า จะดูลมหายใจออก ทำใจให้ว่าง จิตว่อกแว่กไปที่อื่นไหม เมื่อเห็นแล้วก็สูดลมหายใจ ทำตัวให้ตรง ดำรงสติไว้ที่ลมหายใจเข้าพุทธ            

ถ้าเป็นผู้ฝึกใหม่สมควรที่จะต้องจับดูลมหายใจเข้าเหมือนอานาปานสติ หายใจเข้ายาวก็รู้ หายใจออกสั้นก็รู้ หายใจแผ่วเบาก็รู้ หายใจไม่มีลมหายใจก็รู้ จำเป็นที่สุดคือเป็นกลาง คุณจะต้องมีสติระลึกรู้ลมหายใจเข้าพุทธ ยาวคุณก็ต้องรู้ว่ายาว สั้นคุณก็ต้องรู้ว่าสั้น ให้คุณสังเกตดูต่อไป  แผ่วเบาก็ให้รู้ เพราะเวลานั่งใจจะได้ไม่ไปติดสุข ใจจะได้ไม่ยึด มันจะสงบอย่างเดียวไม่รับรู้อะไร เป็นมิจฉาทิฏฐิ              
ขณะที่คุณจดจ่อพุทกับโธ คุณอย่าไปซีเรียส อย่าไปคิด ทำสบายๆ เหมือนนั่งทำงานไป คุณมีสติระลึกรู้ตามลมหายใจเข้า ตามลมหายใจออก คำบริกรรมว่าพุทโธ อาการของท้องลมมันเข้ากับอาการออกคุณรู้เท่าทันทุกขณะไหม มันมีความรู้สึกโล่งขัดฝืดเคืองคุณรู้สึกทุกขณะไหม         

คุณจำเป็นต้องดูตามความรู้สึกรู้ทุกขณะที่เคลื่อนไหวของลมต้นทางจนถึงที่สุด ในขณะที่คุณนั่งจ้องพุทกับโธอยู่นั้นคุณได้ยินเสียง คุณมีสติรู้ไหมว่า เออ เสียงมาแล้ว เสียงมากระทบที่หู คุณก็รู้ว่า เออเสียงมากระทบที่หู ดูสิว่าคุณไปยินดียินร้ายกับเสียงไหม คุณพอใจในเสียงไหม เสียงมากระทบคุณหงุดหงิดไหม คุณก็ให้มีสติรู้ตาม ถ้ามันหงุดหงิดคุณก็มีสติรู้ว่ามันหงุดหงิดหรือคุณจะบริกรรมว่า "หงุดหงิดหนอ"  "ได้ยินหนอ" คุณจะอุทานหรือไม่อุทานก็แล้วแต่ความพอใจของคุณ         

ทีนี้เวทนาเกิดขึ้น ถ้านั่งมันเจ็บมันปวดก็บอกว่า "โอ้เวทนาเกิดขึ้นแล้ว" ดูสิว่าเราเอาจิตไปจดจ่อกับมันมั้ย มันทรมานมั้ย ว่าคุณนี่ทุกข์ ถ้าทุกข์คุณทนไม่ได้ ก็ลุกมาเดินพุทโธ พุทยกขึ้นย่างเหยียบลงไป พอเท้าจะถึงพื้นก็โธ แล้วให้คุณมีสติรู้เท่าทันกับจิตกับปัจจุบันทุกขณะ  กายกระทบกับลมก็เย็น ให้คุณรู้ว่าเย็น ร้อนก็ให้รู้ว่าร้อน ถ้านั่งสมาธิ ถ้าอยากรู้ว่ามันร้อนว่ามันเย็นก็อย่าเปิดพัดลม อย่าอยู่ในห้องแอร์ มันจะได้เห็นความเป็นจริง  ร้อนแล้วคุณหงุดหงิดไหม ลมพัดมาเย็นยินดีไหม       

พุทแล้วมันเข้า เวลาออกทันมันมั้ย จะให้การบ้านว่า พอหายใจเข้า พุทมันหยุดก่อนมั้ยก่อนที่มันจะออกโธ คุณแยกแยะพิจารณาสิ อันนี้เป็นการเจริญสติและปัญญาที่มีไหวพริบ บางคนพุทโธไปแล้วมันไม่จับจุดก็ไปได้ช้า กำหนดอะไรมาก็ได้ แม่มีคำถามของแม่ทั้งนั้น  เธอไม่เอาหนอ เธอรู้มั้ยหูมาหาเสียงหรือเสียงไปหาหู ตอบเสียงไปหาหู  ผู้ปฏิบัติบางคนนิ่งชะจนไม่ได้ยินเสียง แต่พอได้ยินตอบว่าหูไปหาเสียง แม่ให้พิจารณาดีๆ พอเข้าลึกๆแล้วไม่ได้ยินเสียง มันดับไปเลย บางคนได้ณาน ก็ตอบหูไปหาเสียง การนั่งสมาธิที่ถูกไม่ใช่เงียบหาย ตัวหาย ไม่รับรู้อะไรเลย หูได้ยินเสียง กายรู้สัมผัสร้อนเย็น จมูกได้กลิ่น รู้ความรู้สึกที่ใจอยู่ทุกขณะ ฟุ้งก็ให้รู้ว่ามันฟุ้ง เราต้องเห็นความจริงทุกอย่างที่ใจเมื่อมีสิ่งมากระทบ เพื่อที่จะค่อยๆถ่ายถอนออกไป

โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 01:03

"เมื่อแบกคนอื่นไปเดินจงกรม"       

3 เดือนแรกที่เริ่มปฏิบัติอย่างจริงจังที่บ้าน บ่อยครั้งบอกกับแม่ชีเกณฑ์ท่านว่าแบกคนนั้นมาเดินจงกรมด้วย เดินไปมีแต่คำพูดเก่าๆ เวียนไปเวียนมา ถามท่านว่าทำอย่างไรจึงจะวางลงได้ ท่านบอกว่าก็เรายังยินดีพอใจที่จะนึกถึงอยู่แม้จะเป็นคำพูดที่ทิ่มแทงก็ตาม ใจมันยังไม่ขาดมันยังมีเยื่อใยกันอยู่ นี่เป็นนิรณ์ขวางกั้นผู้ปฏิบัติธรรม มันขึ้นมาเป็นเรื่องดีเสียอีก จะได้รู้ว่ามีอะไรค้างอยู่ในใจ               
 ท่านสอนให้เข้าไปดูเหตุว่าทำไมเรายังนึกถึงเขาอยู่เพราะใจเรายังยึดยังไม่ปล่อย เรายังไม่เห็นโทษเห็นภัยอย่างแท้จริง วิธีง่ายๆที่ท่านสอน เมื่อมันขึ้นมาบ่อยๆ ท่านให้กำหนด "คิดหนอๆๆ" เอาจนมันหายไป ในชีวิตปกติก็ต้องใช้คาถาคิดหนอ จะกี่ครั้งกี่วันหรือกี่เดือนก็ใช้คาถานี้ ถ้าเราไม่ละความเพียรวันหนึ่งมันก็ไม่ขึ้นมาอีก ความจริงอีกอย่างที่ท่านบอกคือจิตสุดท้ายขณะที่ออกจากร่าง คิดถึงใครหรือสิ่งใดวินาทีนั้น มันจะไปเกาะที่นั่นทันที คิดถึงเขาก็จะไปเกิดเป็นตุ๊กแกจิ้งจกหรือหมาในบ้านเขา ยังอยากเจออีกหรือ ยังทุกข์ไม่พอหรือ สิ่งนี้นี่แหละที่ทำให้เราขยาดกลัว               

ขณะเดินจงกรมท่านสอนให้สังเกตธรรมชาติเช่นเสียง ท่านชี้ให้เห็นการเกิดดับของทุกสิ่ง มีอยู่ทุกขณะเกิดแล้วดับในทันที เห็นจนแจ้งและยอมรับว่าทุกสิ่งเกิดแล้วดับลงทันทีอย่างที่ท่านพูด แล้วท่านก็บอกว่าทุกสิ่งดับลงไปแล้ว จะไปเอามาคิดทำไมอีก ทำไมไม่อยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันที่มีแต่เกิดแล้วดับทุกขณะ ทุกครั้งที่เรื่องเก่าขึ้นมา สติที่มีมากขึ้นยับยั้งไม่ให้คิดต่อจนเกิดความรู้สึกที่ใจ และเริ่มมีปัญญามาสอนตัวเองได้ทัน มองทุกเรื่องอย่างใจเย็นมากขึ้น เช่น ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์นี้เราจะไม่มีโอกาสได้ปฏิบัติอย่างจริงจัง เราต้องขอบคุณเขาที่ทำให้เราเห็นความจริงในชีวิต ถ้าไม่มีเรื่องในวันนั้นก็จะไม่มีเราในวันนี้  เริ่มจากปัญญาเล็กๆ จนวันหนึ่งจะเป็นปัญญาของเราเองที่ทำให้ใจขาดสะบั้นลงได้          

อาจจะยากและฝืนใจ วันหนึ่งเราพบว่าความเจ็บปวดที่เกิดกับร่างกาย เวลาหิวมากๆ หรือปวดท้องอึแล้วต้องกลั้นไว้ มันทรมานกว่าความรู้สึกที่ใจเสียอีก เราจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องเล็กลง  หากไม่ท้อเพียรพยายามไป วันหนึ่งก็จะถอดถอนออกจากใจได้อย่างสิ้นเชิง หากตายลงขณะนี้เรามั่นใจว่าจะไม่นึกถึงเขาอีกเพราะไม่อยากไปเกิดเป็นตุ๊กแกหรือหมาที่บ้านเขา 

โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 01:04

"แม่ชีป๋า วิบากกินเลือดกินเนื้อสดๆ"       

แม่ชีเกณฑ์เล่าถึงแม่ชีคนหนึ่งที่มาบวชอยู่ที่วัดเมื่อปี 2541 แม่ชีคนนี้วิบากกรรมหนักกินเลือดและกินเนื้อสดๆ ไม่ใช่บอปและไม่ใช่คนเล่นคาถาอาคม แต่เป็นวิบากกรรม แม่ชีคนนี้ชื่อป๋า บ้านเดิมอยู่ที่ อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพร เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ด แอบไปหาของดิบๆมากินแอบซ่อนอยู่ในบ้าน มีหลวงพ่อทักว่าเขามีวิญญาณอยู่ในตัว มีทั้งวิญญาณดีและวิญญาณร้าย เธอไม่สามารถอยู่ที่บ้านได้มีแต่ความทุกข์ความร้อน แม่ก็เลยนำไปมอบให้เป็นลูกบุญธรรมพระ พระองค์นั้นเกิดป่วยพอรับเขาเข้าวัด เลยให้พ่อแม่มารับกลับ พอนำออกมาหลวงพ่อก็หาย           

แม่เขาเอาไปไว้กับแม่ชีรูปหนึ่ง แม่ชีคนนี้ไม่ป่วย พอ9 ขวบท่านก็นำไปฝากไว้กับอีกวัดหนึ่ง ที่วัดมีเด็กอยู่ 60 คน เขาเข้าไปหลังอาหารก็กินแบบอดๆอยากๆ บางทีก็ไม่ได้กิน อยู่ได้ 15 วันมีเด็ก 4 คนไปขอเป็นเพื่อน ผ่านไป 3 วันป๋าจึงยอมเป็นเพื่อน เด็กทั้ง 4  ไปเล่นและนำขนมมาให้ป๋ากินทุกวัน ป๋าไม่รู้เลยว่า 4 คนนี้เป็นใครมาจากที่ไหนคิดว่าคงเป็นเด็กแถวนั้น  วันหนึ่งขณะยืนคุยกับเพื่อนทั้ง 4 มีคนเห็นป๋ายืนพูดอยู่คนเดียวและว่าคงเป็นบ้า ป๋าบอกเพื่อนว่ามีคนหาว่าเขาพูดคนเดียวทั่งที่ยืนคุยกับพวกเธอ เด็กทั้ง 4 บอกว่าเขาคงอิจฉา คราวนี้เวลาจะพูดไม่ต้องขยับปากใช้วิธีนึกคำพูดเฉยๆ        

เมื่อครบ 9 ขวบทางวัดให่พ่อแม่มารับกลับบ้าน ป๋ายังคงคิดถึงเพื่อนทั้ง 4  พอคิดถึงเด็ก 4 คนนี้ก็จะแอบไปหาที่บ้านโดยไม่มีใครรู้ เด็ก 4 คนนี้มีชื่อว่า แก้ว(ผู้หญิง) แกละ อ้วน จุก แล้วเพื่อนทั้ง 4 ก็ชวนป๋าไปเรียน โดยพาไปแต่จิต ไปกันทางนิ้วชี้ ป๋าไม่รู้ว่าไปแต่จิต พอป๋าออกไปแก้วก็เข้ามาอยู่ในร่างของป๋า ทำงานบ้านทุกอย่างจนพอแม่ไม่สงสัย พอป๋ากลับมาแก้วก็ออกไป ป๋าไม่รู้เรื่องอะไรเลย วันหนึ่งไอ้อ้วนเข้ามาแทน มันกินมากจนผิดสังเกต พอป๋ากลับมา ก็มาขอข้าวกินอีก พ่อแม่ผิดสังเกตเพราะเพิ่งกินไป ความแตกวันที่แกละเป็นคนเข้ามาแทนที่ แกละบอกกับพ่อแม่ป๋าด้วยเสียงผู้ชาย บอกว่าถ้าไม่เชื่อจะให้ป๋าไป 7 วัน ป๋าหายไป 7 วันจริงๆ แกละแทนที่ป๋าอยู่ 7 วันตามที่พูด มันบอกว่าอย่าบอกป๋าเพราะป๋าไม่เคยรู้ว่าพวกตนเป็นวิญญาณ ป๋าเล่าให้พ่อแม่ฟังว่าไปเรียนเกี่ยวกับยารักษาโรคต่างๆ มีครูผู้หญิงหน้าตาดีเป็นคนสอน มีแต่เด็กเรียนกัน บางทีก็ไปนั่งสมาธิที่น้ำตก                      

 จนอายุ 15 ปีป๋าไปทำงานอยู่ในกรุงเทพ ฯ เขาให้ปีนขึ้นไปซ่อมฝ้าเพดานแล้วเกิดตกลงมาในกะทะที่มีน้ำมันร้อนๆ ทำให้ได้รับทุกข์ทรมานแผลเน่าพุพอง จึงกลับมาที่บ้าน แม่ป๋าใช้ยาสมุนไพรทาให้จนหายดี ก็ให้ป๋าไปบวชที่วัดชื่อดังแห่งหนึ่งในชุมพร พอไปถึงหลวงพ่อท่านบอกว่าเธอจะรั้งพวกเขาไว้ทำไม ทำไมไม่ปล่อยเขาไป ป๋าถึงรู้ว่าเพื่อนทั้ง 4 ไม่ใช่คนแต่เป็นวิญญาณ เธอจึงไม่ยอมคิดถึงเพื่อนทั้ง 4 อีกพวกเขาเข้าวัดไม่ได้ ได้แต่ส่งสัญญาณเรียกอยู่หน้าวัด อยู่ที่นี่ป๋านั่งสมาธิแล้วระลึกชาติได้เป็นสิบๆชาติ เห็นคนใส่กางเกงสีต่างๆ มีญาณรู้เกิดขึ้น พอของหายก็มีคนไปถามให้หาของให้ มีคนให้เงินเป็นล้าน แต่ป๋าถวายกับวัดทั้งหมด         

 จนเมื่อสิ้นหลวงพ่อ ป๋าก็ออกจากวัดนั้น  ป๋ารู้จักสนิทกับคนที่ทำงานอยู่ในไปรณีย์ที่ร้อยเอ็ด จึงชวนกันมาอยู่ที่ร้อยเอ็ด แต่ก่อนจะมาป๋าไปอยู่ที่สถาบันแม่ชีไทย วิบากเกิดขึ้นกับเธอ วันหนึ่งมีแม่ชีไปเห็นเธอกำลังแอบกินเนื้อสดๆอยู่ใต้โต๊ะ เขาเข้าไปกระชากเนื้อออกจากปากป๋า เธอใช้มือตบหน้าเขาอย่างแรก เธอไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป เธอถูกขับออกจากที่นั่นและเข้ามาอยู่ที่ร้อยเอ็ดบ้านของคนที่เธอรู้จัก ตอนแรกเธอจะไปอยู่วัดหลวงปู่สี ที่นั่นไม่มีแม่ชีจึงไปไม่ได้ บังเอิญมีคนมาเห็นป้ายของวัดเข้า จึงพาเธอมาที่นี่      ปีนั้นเป็นในพรรษาพอดี เธออายุ 29 ปี เธอไม่ยอมเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดกับเธอ กลัวท่านจะรังเกียจ อยู่ได้ 15 วัน เธอบอกกับท่านว่าอยากจะปฏิบ้ติ หนูติดในสมาธิ หนูอยากแก้ หนูไม่อยากติดในสมาธิ เพราะนั่งแล้วกระโดดเหมือนลูกบอล ไม่มีใครแก้ให้ได้เลย แม่ชีเกณฑ์จัดพานธูปดอกไม้พาแม่ชีป๋าขึ้นกรรมฐาน แต่ก่อนจะย่างเท้าขึ้นศาลาแม่ชีป๋ายืนตัวแข็งทื่อ ตาขวาง และทิ้งพานดอกไม้ลง เดินถอยหลังไป แม่ชีเกณฑ์จึงพูดขึ้นมาว่าทุกดวงจิตไม่ว่าจะอยู่ภพภูมิใดต่างก็หวังความหลุดพ้นจากความทุกข์ที่ขังตัวเองกันทั้งนั้น หากเจ้ายังอยากอยู่ในสภาพนี้ก็ไม่เป็นไร วิญญาณที่อยู่ในร่างแม่ชีป๋าย้อนกลับมาและยอมไปขึ้นกรรมฐานต่อหน้าพระพุทธรูป สิ่งหนึ่งที่แม่ชีเกณฑ์ท่านขอให้ตั้งสัจจะ คือต่อแต่นี้ห้ามกินเลือดกินเนื้อสดๆอีก มันรับคำ ท่านบอกให้ฝืนไว้เมื่อเกิดอาการอยากขึ้นมา แม่ชีป๋าตัวจริงบางขณะก็รู้ตัวบางขณะก็ไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะเวลากินเนื้อสดๆ       

 แม่ชีป๋ายินดีให้เอาเชือกมัดมือมัดขาไว้ขณะที่เกิดอาการ  แม่ชีเกณฑ์ฝึกแม่ชีป๋าอย่างเข้มข้นทั้งเดินและนั่ง ท่านไม่ให้นั่งนาน เพราะถ้านานแม่ชีป๋าตัวลอยขึ้นจากพื้นกระเด้งไปชนโน่นชนนี่ จนท่านต้องยืนขวางเอาไว้ ท่านบอกว่าไม่ถือว่าเป็นเรื่องดีเพราะไม่มีสติรู้ตัว จะไปชนเสาชนตอก็ไม่รู้เรื่อง วิธีแก้คือให้นั่ง 5 นาทีแล้วลุกเดิน 5 นาที ยังไม่หายท่านก็ลดเวลาลงมาอีกจนเหลือเป็นวินาที บางครั้งแม่ชีป๋าไม่ยอมกินอะไรเลย นอนแผ่อย่างหมดแรง ท่านสงสารหยิบน้ำแดงให้กินแทนเลือดหรือบางครั้งเป็นปลากระป๋อง เวลาผ่านไปนับเดือน วิญญานที่แฝงในร่างแม่ชีป๋าเผยตัวออกมาในวันที่สิ้นวิบาก เป็นคู่อริเก่าที่ไปขัดขวางความรักของเขา เป็นพวกใช้คาถาอาคมและเป็นเสือสมิงถึงได้กินเลือดกินเนื้อสดๆ         

เมื่อหายจากอาการกินเลื้อดกินเนื้อแม่ชีป๋าเจอวิบากใหม่ จะนั่งก็หลับจะเดินก็หลับ แม่ชีเกณฑ์ท่านพาไปนั่งตากแดดก็หลับทำอย่างไรก็ปฏิบัติไม่ได้จะหลับอย่างเดียว มีวิญญาณฝ่ายดีต้องการให้แม่ชีป๋าเป็นสื่อให้เขาสร้างบารมีด้วยการช่วยคน แม่ชีป๋าไม่ยอมและพยายามฝืน แม่ชีป๋าบอกกับคุณแม่ว่าเงินกับคำสรรเสริญไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ เขาต้องการอย่างเดียวคือความเป็นอิสระ ไม่ให้ใครมาใช้เป็นสื่ออีก เมื่อเป็นวิบากทำให้ปฏิบัติไม่ได้แม่ชีป๋าจึงยอม แม่ชีป๋าไปอยู่กับโยมท่านหนึ่งที่จ.ลำปาง แม่ชีเกณฑ์บอกอย่างหนึ่งว่าให้ปฏิบัติไป เพื่อเป็นการสะสมบุญบารมีของตัวเอง จนถึงวันหนึ่งเมื่อหมดวิบาก ก็จะเป็นอิสระไปได้           

จากเรื่องนี้แม่ชีเกณฑ์ท่านชี้ให้เห็นว่า ความแค้นของคนติดตามข้ามภพข้ามชาติ อย่าได้ไปสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจกับใครเขาไว้ แม้จะเป็นแค่คำพูดก็ตามจะคนใกล้ตัวหรือไกลตัวเราก็ต้องระวังคำพูด หากเขาตายในขณะที่ผูกใจเจ็บกับเรา จิตของเขามาเกิดอยู่ใกล้ๆกับเราแน่นอน อาจจะเป็นงูเห่าที่แอบเข้ามาในบ้านก็ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง แม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าเรื่องที่สลับซับซ้อนเช่นนี้ก็มีเกิดขึ้นได้ในโลกนี้แล้วแต่วิบากกรรมของเขา ให้ฟังไว้เป็นอุทาหรณ์ อย่าได้ไปสร้างกรรมไว้กับใครเขา ไม่ว่าจะด้วยกายหรือวาจาก็ตาม 
โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 01:07

"แม่ชีป๋า วิบากกินเลือดกินเนื้อสดๆ"       

แม่ชีเกณฑ์เล่าถึงแม่ชีคนหนึ่งที่มาบวชอยู่ที่วัดเมื่อปี 2541 แม่ชีคนนี้วิบากกรรมหนักกินเลือดและกินเนื้อสดๆ ไม่ใช่บอปและไม่ใช่คนเล่นคาถาอาคม แต่เป็นวิบากกรรม แม่ชีคนนี้ชื่อป๋า บ้านเดิมอยู่ที่ อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพร เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ด แอบไปหาของดิบๆมากินแอบซ่อนอยู่ในบ้าน มีหลวงพ่อทักว่าเขามีวิญญาณอยู่ในตัว มีทั้งวิญญาณดีและวิญญาณร้าย เธอไม่สามารถอยู่ที่บ้านได้มีแต่ความทุกข์ความร้อน แม่ก็เลยนำไปมอบให้เป็นลูกบุญธรรมพระ พระองค์นั้นเกิดป่วยพอรับเขาเข้าวัด เลยให้พ่อแม่มารับกลับ พอนำออกมาหลวงพ่อก็หาย           

แม่เขาเอาไปไว้กับแม่ชีรูปหนึ่ง แม่ชีคนนี้ไม่ป่วย พอ9 ขวบท่านก็นำไปฝากไว้กับอีกวัดหนึ่ง ที่วัดมีเด็กอยู่ 60 คน เขาเข้าไปหลังอาหารก็กินแบบอดๆอยากๆ บางทีก็ไม่ได้กิน อยู่ได้ 15 วันมีเด็ก 4 คนไปขอเป็นเพื่อน ผ่านไป 3 วันป๋าจึงยอมเป็นเพื่อน เด็กทั้ง 4  ไปเล่นและนำขนมมาให้ป๋ากินทุกวัน ป๋าไม่รู้เลยว่า 4 คนนี้เป็นใครมาจากที่ไหนคิดว่าคงเป็นเด็กแถวนั้น  วันหนึ่งขณะยืนคุยกับเพื่อนทั้ง 4 มีคนเห็นป๋ายืนพูดอยู่คนเดียวและว่าคงเป็นบ้า ป๋าบอกเพื่อนว่ามีคนหาว่าเขาพูดคนเดียวทั่งที่ยืนคุยกับพวกเธอ เด็กทั้ง 4 บอกว่าเขาคงอิจฉา คราวนี้เวลาจะพูดไม่ต้องขยับปากใช้วิธีนึกคำพูดเฉยๆ        

เมื่อครบ 9 ขวบทางวัดให่พ่อแม่มารับกลับบ้าน ป๋ายังคงคิดถึงเพื่อนทั้ง 4  พอคิดถึงเด็ก 4 คนนี้ก็จะแอบไปหาที่บ้านโดยไม่มีใครรู้ เด็ก 4 คนนี้มีชื่อว่า แก้ว(ผู้หญิง) แกละ อ้วน จุก แล้วเพื่อนทั้ง 4 ก็ชวนป๋าไปเรียน โดยพาไปแต่จิต ไปกันทางนิ้วชี้ ป๋าไม่รู้ว่าไปแต่จิต พอป๋าออกไปแก้วก็เข้ามาอยู่ในร่างของป๋า ทำงานบ้านทุกอย่างจนพอแม่ไม่สงสัย พอป๋ากลับมาแก้วก็ออกไป ป๋าไม่รู้เรื่องอะไรเลย วันหนึ่งไอ้อ้วนเข้ามาแทน มันกินมากจนผิดสังเกต พอป๋ากลับมา ก็มาขอข้าวกินอีก พ่อแม่ผิดสังเกตเพราะเพิ่งกินไป ความแตกวันที่แกละเป็นคนเข้ามาแทนที่ แกละบอกกับพ่อแม่ป๋าด้วยเสียงผู้ชาย บอกว่าถ้าไม่เชื่อจะให้ป๋าไป 7 วัน ป๋าหายไป 7 วันจริงๆ แกละแทนที่ป๋าอยู่ 7 วันตามที่พูด มันบอกว่าอย่าบอกป๋าเพราะป๋าไม่เคยรู้ว่าพวกตนเป็นวิญญาณ ป๋าเล่าให้พ่อแม่ฟังว่าไปเรียนเกี่ยวกับยารักษาโรคต่างๆ มีครูผู้หญิงหน้าตาดีเป็นคนสอน มีแต่เด็กเรียนกัน บางทีก็ไปนั่งสมาธิที่น้ำตก                      

 จนอายุ 15 ปีป๋าไปทำงานอยู่ในกรุงเทพ ฯ เขาให้ปีนขึ้นไปซ่อมฝ้าเพดานแล้วเกิดตกลงมาในกะทะที่มีน้ำมันร้อนๆ ทำให้ได้รับทุกข์ทรมานแผลเน่าพุพอง จึงกลับมาที่บ้าน แม่ป๋าใช้ยาสมุนไพรทาให้จนหายดี ก็ให้ป๋าไปบวชที่วัดชื่อดังแห่งหนึ่งในชุมพร พอไปถึงหลวงพ่อท่านบอกว่าเธอจะรั้งพวกเขาไว้ทำไม ทำไมไม่ปล่อยเขาไป ป๋าถึงรู้ว่าเพื่อนทั้ง 4 ไม่ใช่คนแต่เป็นวิญญาณ เธอจึงไม่ยอมคิดถึงเพื่อนทั้ง 4 อีกพวกเขาเข้าวัดไม่ได้ ได้แต่ส่งสัญญาณเรียกอยู่หน้าวัด อยู่ที่นี่ป๋านั่งสมาธิแล้วระลึกชาติได้เป็นสิบๆชาติ เห็นคนใส่กางเกงสีต่างๆ มีญาณรู้เกิดขึ้น พอของหายก็มีคนไปถามให้หาของให้ มีคนให้เงินเป็นล้าน แต่ป๋าถวายกับวัดทั้งหมด         

 จนเมื่อสิ้นหลวงพ่อ ป๋าก็ออกจากวัดนั้น  ป๋ารู้จักสนิทกับคนที่ทำงานอยู่ในไปรณีย์ที่ร้อยเอ็ด จึงชวนกันมาอยู่ที่ร้อยเอ็ด แต่ก่อนจะมาป๋าไปอยู่ที่สถาบันแม่ชีไทย วิบากเกิดขึ้นกับเธอ วันหนึ่งมีแม่ชีไปเห็นเธอกำลังแอบกินเนื้อสดๆอยู่ใต้โต๊ะ เขาเข้าไปกระชากเนื้อออกจากปากป๋า เธอใช้มือตบหน้าเขาอย่างแรก เธอไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป เธอถูกขับออกจากที่นั่นและเข้ามาอยู่ที่ร้อยเอ็ดบ้านของคนที่เธอรู้จัก ตอนแรกเธอจะไปอยู่วัดหลวงปู่สี ที่นั่นไม่มีแม่ชีจึงไปไม่ได้ บังเอิญมีคนมาเห็นป้ายของวัดเข้า จึงพาเธอมาที่นี่      ปีนั้นเป็นในพรรษาพอดี เธออายุ 29 ปี เธอไม่ยอมเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดกับเธอ กลัวท่านจะรังเกียจ อยู่ได้ 15 วัน เธอบอกกับท่านว่าอยากจะปฏิบ้ติ หนูติดในสมาธิ หนูอยากแก้ หนูไม่อยากติดในสมาธิ เพราะนั่งแล้วกระโดดเหมือนลูกบอล ไม่มีใครแก้ให้ได้เลย แม่ชีเกณฑ์จัดพานธูปดอกไม้พาแม่ชีป๋าขึ้นกรรมฐาน แต่ก่อนจะย่างเท้าขึ้นศาลาแม่ชีป๋ายืนตัวแข็งทื่อ ตาขวาง และทิ้งพานดอกไม้ลง เดินถอยหลังไป แม่ชีเกณฑ์จึงพูดขึ้นมาว่าทุกดวงจิตไม่ว่าจะอยู่ภพภูมิใดต่างก็หวังความหลุดพ้นจากความทุกข์ที่ขังตัวเองกันทั้งนั้น หากเจ้ายังอยากอยู่ในสภาพนี้ก็ไม่เป็นไร วิญญาณที่อยู่ในร่างแม่ชีป๋าย้อนกลับมาและยอมไปขึ้นกรรมฐานต่อหน้าพระพุทธรูป สิ่งหนึ่งที่แม่ชีเกณฑ์ท่านขอให้ตั้งสัจจะ คือต่อแต่นี้ห้ามกินเลือดกินเนื้อสดๆอีก มันรับคำ ท่านบอกให้ฝืนไว้เมื่อเกิดอาการอยากขึ้นมา แม่ชีป๋าตัวจริงบางขณะก็รู้ตัวบางขณะก็ไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะเวลากินเนื้อสดๆ       

 แม่ชีป๋ายินดีให้เอาเชือกมัดมือมัดขาไว้ขณะที่เกิดอาการ  แม่ชีเกณฑ์ฝึกแม่ชีป๋าอย่างเข้มข้นทั้งเดินและนั่ง ท่านไม่ให้นั่งนาน เพราะถ้านานแม่ชีป๋าตัวลอยขึ้นจากพื้นกระเด้งไปชนโน่นชนนี่ จนท่านต้องยืนขวางเอาไว้ ท่านบอกว่าไม่ถือว่าเป็นเรื่องดีเพราะไม่มีสติรู้ตัว จะไปชนเสาชนตอก็ไม่รู้เรื่อง วิธีแก้คือให้นั่ง 5 นาทีแล้วลุกเดิน 5 นาที ยังไม่หายท่านก็ลดเวลาลงมาอีกจนเหลือเป็นวินาที บางครั้งแม่ชีป๋าไม่ยอมกินอะไรเลย นอนแผ่อย่างหมดแรง ท่านสงสารหยิบน้ำแดงให้กินแทนเลือดหรือบางครั้งเป็นปลากระป๋อง เวลาผ่านไปนับเดือน วิญญานที่แฝงในร่างแม่ชีป๋าเผยตัวออกมาในวันที่สิ้นวิบาก เป็นคู่อริเก่าที่ไปขัดขวางความรักของเขา เป็นพวกใช้คาถาอาคมและเป็นเสือสมิงถึงได้กินเลือดกินเนื้อสดๆ         

เมื่อหายจากอาการกินเลื้อดกินเนื้อแม่ชีป๋าเจอวิบากใหม่ จะนั่งก็หลับจะเดินก็หลับ แม่ชีเกณฑ์ท่านพาไปนั่งตากแดดก็หลับทำอย่างไรก็ปฏิบัติไม่ได้จะหลับอย่างเดียว มีวิญญาณฝ่ายดีต้องการให้แม่ชีป๋าเป็นสื่อให้เขาสร้างบารมีด้วยการช่วยคน แม่ชีป๋าไม่ยอมและพยายามฝืน แม่ชีป๋าบอกกับคุณแม่ว่าเงินกับคำสรรเสริญไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ เขาต้องการอย่างเดียวคือความเป็นอิสระ ไม่ให้ใครมาใช้เป็นสื่ออีก เมื่อเป็นวิบากทำให้ปฏิบัติไม่ได้แม่ชีป๋าจึงยอม แม่ชีป๋าไปอยู่กับโยมท่านหนึ่งที่จ.ลำปาง แม่ชีเกณฑ์บอกอย่างหนึ่งว่าให้ปฏิบัติไป เพื่อเป็นการสะสมบุญบารมีของตัวเอง จนถึงวันหนึ่งเมื่อหมดวิบาก ก็จะเป็นอิสระไปได้           

จากเรื่องนี้แม่ชีเกณฑ์ท่านชี้ให้เห็นว่า ความแค้นของคนติดตามข้ามภพข้ามชาติ อย่าได้ไปสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจกับใครเขาไว้ แม้จะเป็นแค่คำพูดก็ตามจะคนใกล้ตัวหรือไกลตัวเราก็ต้องระวังคำพูด หากเขาตายในขณะที่ผูกใจเจ็บกับเรา จิตของเขามาเกิดอยู่ใกล้ๆกับเราแน่นอน อาจจะเป็นงูเห่าที่แอบเข้ามาในบ้านก็ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง แม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าเรื่องที่สลับซับซ้อนเช่นนี้ก็มีเกิดขึ้นได้ในโลกนี้แล้วแต่วิบากกรรมของเขา ให้ฟังไว้เป็นอุทาหรณ์ อย่าได้ไปสร้างกรรมไว้กับใครเขา ไม่ว่าจะด้วยกายหรือวาจาก็ตาม 
โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 01:08

"หนึ่งเท่ากับร้อย"

แม่ชีเกณฑ์ท่านเล่าถึงพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง ท่านไม่ได้เจอพี่คนนี้มา 10 กว่าปีแล้ว เดือนที่ผ่านมาเขาไปเห็นชื่อและรูปของท่านในเฟสบุค ที่เขียนเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์การเปิดอบรมที่สมุทรปราการ เขาเปิดเข้าไปดูเห็นชื่อของท่าน วัดที่ท่านอยู่ แล้วเขาก็จำได้ว่าท่านคือผู้ที่ชุบชีวิตใหม่ให้กับเขา เขาคิดว่าท่านไม่ได้อยู่ที่ร้อยเอ็ดแล้ว เพราะตอนนั้นท่านบอกว่าจะอยู่เพียงแค่ปีเดียว เขาไปกราบและเล่าเรื่องราวทั้งหมดหลังจากนั้นให้ท่านฟัง เขายินดีที่จะเผยเรื่องของตัวเองให้ผู้อื่นได้อ่านเป็นเรื่องสอนใจ

ปี 2537 มีคนพาผู้หญิงคนหนึ่งมาจากอำเภออื่นในร้อยเอ็ด เพื่อมาปฏิบัติธรรม เขามาด้วยหน้าตาดำเศร้าหมอง ท่านพานั่งพาเดินจนจิตของเขาสงบขึ้น แล้วเขาก็แสดงอาการปวดท้องเหมือนถูกบีบออกมาอย่างหนัก จนเหยื่อยางตายออก ท่านจึงถามว่าเธอเคยทำแท้งมาไหม เขาจึงบอกท่านว่าเขาเพิ่งไปทำแท้งมาได้สักเดือนและเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เขาอยู่กับแฟนที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน ผู้ชายไปมีคนอื่น ทำให้เขาทุกข์ใจมากในท้องก็มีลูกน้อย เขาตัดสินใจทำแท้งเพราะตนเองยังไม่พร้อม

หลังจากนั้นชีวิตราวกับดิ่งลงเหว หลังทำแท้งเจ็บปวดเกือบตาย ทุกข์มากทั้งทางกายทางใจ ทำสิ่งใดมีแต่อุปสรรคขัดขวาง เคยกินยาฆ่าตัวตายแต่ช่วยไว้ทัน เขาอยู่ด้วยสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ราวกับคนเสียสติ เขามาปฏิบัติกับท่านอยู่1 เดือน เจ็บหนักมากอยู่ 3 วัน เจ็บนิดๆหน่อยๆกว่าจะหายก็ 7 วัน เขาไม่ได้กินยาแก้ปวดและไปหาหมอ ท่านบอกว่าเป็นกรรมทำเขาไว้ก็ต้องชดใช้ พอเจ็บปวดก็รู้ก็แผ่เมตตาไปให้กับเด็ก กำหนดไป จากหน้าดำคร่ำเครียด ชำระได้ ใจก็สบายขึ้น จิตก็สงบขึ้น ปล่อยวางได้ หน้าตาก็แจ่มใสขึ้น ได้ชีวิตใหม่ไป สิ้นวิบาก ทำอะไรก็สำเร็จไปได้ง่าย และมีสัมผัสพิเศษเกิดขึ้น

ชีวิตหลังจากนั้นสอบบรรจุครูได้และเรียนต่อจนจบปริญญาโท เขาอยากจะขอเตือนเพื่อนๆที่ยังไม่ทำหรือกำลังคิดจะทำจะสร้างกรรมใหญ่ กรรมนี้จะขวางกั้นทุกอย่าง ตั้งแต่ทำแท้งมาชีวิตของเขาไม่เคยมีความสุข มีแต่อุปสรรคจะทำอะไรก็ถูกขัดขวาง ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ ทุกข์ทั้งทางกายและทุกข์ทั้งทางใจไม่มีอะไรดีขึ้น ด้วยกรรมที่ทำมา แต่เขายังไม่ปล่อย ยังตามตัวเองไปเรื่อยๆแผ่เมตตาให้เขาไป ไม่ทุกข์ไม่ขวางไม่เศร้าหมองทำอะไรก็รุ่งโรจน์ไปได้ง่าย

แม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าคนที่ทำแท้งแล้วโอกาสที่จะดีขึ้นคือต้องมาปฏิบัติอย่างเดียว อุทิศให้เขาอย่างเดียว แล้วก็ทำบุญทำทานให้เขาด้วย ชดใช้วิบาก การบวชนี่ล่ะที่จะช่วยให้พ้นทุกข์ได้อย่างน้อย 15 วันหรือทำไปเรื่อยๆ แต่ต้องปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง เดินนั่ง เดินนั่ง อยู่อย่างนั้น 15 วันเขาก็ปล่อย แต่ก็ขึ้นกับความแค้นของเด็กแต่ละคน ปฏิบัติไปเรื่อยๆเขาก็จะปล่อยของเขาเอง คนที่พลาดแล้วอย่าได้คิดฆ่าเขาถ้าบอกใครไม่ได้หากไม่อยากเลี้ยงดูก็ไปฝากไว้ที่บ้านเด็กกำพร้าหรือที่วัดที่มีผู้ดูแลหรือญาติพี่น้อง หรือคุณจะเลี้ยงดูเองก็จะเป็นบุญของคุณ ดีกว่าไปฆ่าเขาชีวิตจะตกต่ำมาก

ในพระไตรปิฎกพระพุทธองค์กล่าวถึงจิตของเด็กที่มาเกิดเหมือนเทวดาที่ไม่มีกิเลสมาปรุงแต่งอะไรเลย ยอมรับแล้วก็เลี้ยง เลี้ยงไม่ได้ก็ต้องไปไว้บ้านอนาถาดีกว่าจะฆ่า เมื่อพาเด็กไปก็ต้องขออโหสิกกรรมอย่าได้เป็นเวรเป็นกรรมแก่กันและกันเลย แล้วให้ชีวิตของเรารุ่งเรืองขึ้นไป ให้เธอมีจิตใจเมตตา ตัวเองมีชีวิตดีขึ้นถ้าลูกยังอยู่ที่นี่จะมาเยี่ยมเยียน มีเงินก็จะเอามาให้ที่นี่ ให้อธิฐานอย่างนี้แล้วชีวิตตัวเองจะได้ดีขึ้น แต่ต้องทำตามสัจจะชีวิตจะได้ไม่มีอุปสรรคนานาประการ นี่คือทางออกที่ดีที่สุด

ท่านบอกว่าดวงจิตที่มาเกิดเป็นเด็กในท้องเป็นดวงจิตที่บริสุทธิ์ไม่เศร้าหมองเหมือนเรา หากเราฆ่าเด็กในท้องบาปกรรมเท่ากับการฆ่าผู้มีกิเลส 100 คน ซึ่งในพระไตรปิฎกก็มีกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ จึงไม่ต้องแปลกใจกับวิบากที่จะได้รับว่ามากมายขนาดไหน ควรหาทางออกที่ดีที่สุดให้ได้ มันไม่คุ้มกันเลยกับความทุกข์ทรมานไปชั่วชีวิตเช่นนี้


โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 01:09

    "ยารักษาใจ"                

                   แม่ชีเกณฑ์ท่านเล่าถึงแม่ชีคนหนึ่งที่มาปฏิบัติธรรมกับท่านที่วัด ท่านเล่าว่าตอนที่แม่ชีคนนี้มาอาการสาหัสแล้ว หมายถึงอาการทางจิตใจ เป็นโรคซึมเศร้า เห็นภาพหลอนและหูแว่ว ปัจจุบันอาการของท่านหายแล้ว จึงขออนุญาติคุยกับแม่ชีท่านนี้ว่าด้วยวิธีใดท่านจึงหายได้ในเวลาอันสั้น            แม่ชีท่านนี้เล่าถึงอาการของท่านคือ ซึมเศร้าเห็นภาพของคนมายืนว่าท่าน เป็นภาพที่เห็นในจิต และหูแว่ว ส่วนใหญ่เรื่องที่แว่วเป็นเสียงคนตำหนิเรื่องในอดีตที่ผ่านมา และเมื่อได้ยินหรือเห็นใครเขามีปัญหาหรือทุกข์ใจเรื่องใดท่านจะรู้สึกตามนั้นราวกับเกิดขึ้นกับตัวเอง            ท่านเล่าย้อนไปถึงที่มาประวัติของท่าน ท่านเรียนจบมหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศ พอเรียนจบท่านไปสมัครงานและคาดหวังมากว่าต้องได้แน่นอน ไม่คิดจะไปสมัครที่ใดเลย เวลาผ่านไปเขาไม่รับท่านเข้าทำงาน ท่านผิดหวังมากเก็บตัวเอง กลับบ้านต่างจังหวัด ไม่ติดต่อเพื่อน ไม่สังคมกับใครอยู่ 3 เดือน ใจก็คอยแต่ตัดพ้อตัวเอง ตำหนิตัวเอง ทางบ้านเมื่อเห็นสภาพจิตใจของท่านแย่ลงจึงให้ไปทำงานอยู่ในร้อยเอ็ด              แต่ทุกอย่างเริ่มเลวร้ายลง ในแต่ละวันมีบางขณะที่ไม่มีสติรู้เนื้อรู้ตัวเลย ทางบ้านจึงพาไปพบจิตแพทย์ เริ่มรับยาจากทางรพ.มากิน อาการสุดท้ายที่หนักสุดจนทำให้ท่านออกบวชคือ ท่านนั่งสมาธิแล้วเห็นหญิงผู้หนึ่งจมน้ำ ท่านยื่นมือเข้าไปช่วย เขาจับมือท่านไว้และดึงท่านลงไปในน้ำ ตั้งแต่วันนั้นท่านไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลย ไม่ใช่ว่านอนที่แต่ไม่มีสติพอที่จะรับรู้อะไรอีก                 มีคนบอกว่าท่านต้องออกบวชจึงจะหาย ประมาณว่าเคยสัญญาไว้แต่ไม่ได้ทำ อาการของท่านไม่ถึงขนาดคนบ้าอาละวาด บางขณะดีปกติแต่บางช่วงไม่รับรู้อะไรเลย ทางบ้านของท่านพาท่านไปบวชที่ชลบุรี ผ่านไปได้ครึ่งพรรษาทางบ้านเห็นว่าไกลไปจึงคิดย้ายท่านกลับมาที่ร้อยเอ็ด แม่ของท่านมาขอกับแม่ชีเกณฑ์ ท่านจึงได้มาอยู่ที่นี่ คุยกันได้ 2 วันท่านจึงนึกออกว่าที่มาของเรื่องทั้งหมดที่ทำให้ท่านเป็นแบบนี้คือท่านเข้ากรรมฐานคนเดียวที่บ้านเป็นจุดเริ่มต้นของอาการทั้งหมด แม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าหาใช่ทุกคนจะเป็นเช่นนี้แล้วแต่วิบากกรรมของใคร เพราะเหตุอย่างนี้ท่านบอกว่าการมีผู้ให้คำปรึกษาที่ดีเป็นเรื่องสำคัญยิ่งนัก                     เมื่อมาอยู่ที่ร้อยเอ็ดช่วงแรกท่านยังคงกินยาจากรพ. ท่านบอกว่ายาทำให้ท่านรู้สึกดีไม่คิดถึงเรื่องเก่าๆที่ผ่านมา ท่านจึงไม่กล้าหยุดยา แม่ชีเกณฑ์บอกให้ท่านหยุดยาเพราะมันก็เหมือนยาเสพติด ไม่ทำให้เราอยู่ในโลกแห่งความจริง แม่ชีเกณฑ์ท่านสอนให้เดินจงกรมและนั่งสมาธิรวมถึงการฝึกให้มีสติต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน ท่านเล่าว่าแรกๆท่านไม่กล้านั่งสมาธิเพราะกลัวภาพผู้หญิงคนนั้นและไม่อยากเห็นภาพหลอน แม้จะนั่งก็ไม่กล้าหลับตา              แม่ชีเกณฑ์สอนให้ท่านนั่งสมาธิโดยให้สังเกตที่ท้องพองและยุบ ถามท่านว่าตอนที่ท้องพองออกก่อนจะยุบมันหยุดก่อนไหมและก่อนที่ท้องจะพองมันหยุดก่อนไหม ท่านบอกให้ไปสังเกตจุดนี้ แม่ชีเกณฑ์บอกว่าการทำเช่นนี้ให้เขามีจุดสนใจจิตไม่สนใจเรื่องอื่น เมื่อเขาเห็นแล้วว่าก่อนที่ท้องจะพองออกมันมีการหยุดและก่อนที่ท้องจะยุบตัวมันก็มีการหยุด ท่านจึงถามต่อว่ามันเป็นขณะจิตเดียวกันไหม เมื่อเห็นว่ามันเป็นคนละขณะจิตท่านจึงถามต่อว่าแล้วจิตที่มันไม่ดีมันดับลงไปแล้วหรือยัง จะเอามันไว้ทำไม ให้เอาไว้แต่จิตที่ดี                  หลังจากนั้นแม่ชีท่านนี้เดินจงกรมไปและสังเกตตามที่ท่านบอก จนกระทั่งวันหนึ่งขณะเดินจงกรมท่านเห็นความคิดเกิดขึ้นมาและดับลงไป ท่านจึงรู้ว่าเรื่องในอดีตมันจบลงไปแล้ว เราจะเอามันมาคิดอีกทำไม เราทุกข์เพราะเข้าไปยึดมันไว้ ไม่มีใครทำร้ายเรามีแต่เราทำตัวเอง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาความมีสติของท่านมีมากขึ้น คุยมากขึ้น ไม่ซึมไม่เศร้า ช่วยงานทางวัดได้มากขึ้น            ท่านเล่าว่านอกจากเดินจงกรมและนั่งสมาธิท่านชอบสวดมนต์ แต่สวดยาวมากครั้งละ 3 ชม. ท่านบอกว่าที่นานขนาดนั้นเพราะบางทีสวดไปก็เห็นหน้าคน เห็นแล้วเกิดความรู้สึกขึ้นมา ท่านบอกว่าท่านจะพยายามสวดมนต์ให้น้อยลงหรือหากต้องสวดท่านจะไปสวดในโบสถ์ใจจะได้ไม่คิดออกไปข้างนอก และจะพยามยามเจริญสติให้มากขึ้น แม่ชีเกณฑ์ต้มยาให้ท่านดื่มแทนน้ำทุกวัน โดยใช้ต้นเล็มเช็เเพื่อล้างฤทธิ์ของยาออกจากไต อีกนานเกินครึ่งปีที่ยาจะหมดฤทธิ์ ยานี้พอหยุดจะทำให้ท่านปวดตัว ปวดเบ้าตา ปวดหัว  อาการเช่นนี้จะเป็นอยู่ระยะหนึ่ง แต่หากผ่านไปได้โดยไม่ไปแตะมันอีก มันก็จะหายไป             เมื่อการคุยจบลงบอกกับแม่ชีเกณฑ์ท่านว่าเหมือนให้คนที่เคยบ้า 2 คนมานั่งคุยกันเพราะคนถามก็เคยเป็นบ้ามาแล้ว คนหนึ่งบ้าแบบเงียบแต่อีกคนบ้าดีเดือด จึงเข้าใจอาการที่เกิดกับท่านหลายอย่าง ทั้งคู่ไม่ได้หายด้วยยาและการรักษาจากหมอ แต่หายด้วยการเจริญสติ           ไม่จำเป็นต้องเข้ามาบวชในวัดก็ได้ ขอเพียงมีผู้ให้คำแนะนำที่รู้จริงเพื่อจะได้ไม่ผิดทาง ครอบครัวของแม่ชีท่านดีนักที่ไม่เก็บท่านไว้ในบ้านหรือพาไปทิ้งไว้ที่รพ. แต่กลับพามาสู่ใต้ร่มเงาแห่งพระพุทธศาสนา ผู้ใดที่เครียดจนอยากฆ่าตัวตาย หากท่านตายท่านจะไปรับกรรมที่ทุกข์ยิ่งกว่า  จนท่านจะบอกว่ารู้ว่าต้องมารับกรรมขนาดนี้ไม่ฆ่าตัวตายเสียดีกว่า เพราะทุกข์แค่นั้นนิดเดียวเดี๋ยวก็หาย           แม้ท่านจะไม่ตายจากการฆ่าตัวตายในครั้งนั้น ท่านก็ต้องใช้หนี้กรรมนี้ ท่านจะรู้ถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นขณะที่ท่านยังหายใจอยู่ มันทรมานเสียยิ่งกว่าการตายไปเสียอีก เรื่องทุกเรื่องมันเกิดแล้วมันก็ดับลงในขณะนั้น เรื่องในอดีตมันไม่เคยทำร้ายเรา มีแต่เราเท่านั้นที่ทำร้ายตัวเอง เราเล่าเรื่องที่เราเคยความจำเสื่อมและเป็นบ้าให้แม่ชีเกณฑ์ท่านฟัง สุดท้ายของเราถามแม่ชีเกณฑ์ท่านว่ากรรมอะไรถึงทำให้เป็นบ้า ท่านบอกว่ากรรมที่ทำให้คนสติฟั่นเฟือนคือเคยไปทำให้เขาผิดหวังมากและการไปหลอกลวงผู้อื่น เป็นบุญแล้วที่เราและแม่ชีท่านนี้กลับมาอาการปกติได้ 
โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 01:09

"ตั้งสติ"

เมื่อถึงเวลาที่ต้องทดสอบตัวเอง ต้องคุยกับคนที่เราไม่อยากคุย แม่ชีเกณฑ์ท่านสอนว่า ให้ตั้งสติให้ดี เวลาได้ยินเขาพูดมา อย่าไปรีบตอบ ฟังแล้วนิ่งไว้ คิดทบทวนคำตอบให้ดีแล้วจึงพูดออกไป และให้พูดออกไปด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน อย่าได้แสดงความแข็งกระด้างเอาแต่ใจใส่เขา

หากตอบไม่ได้อย่าไปฝืนตอบ บอกเขาไปขอเวลาไปคิดดูก่อน หรือหากต้องคุยกับคนที่ไม่ชอบ อย่าไปต่อล้อต่อเถียงให้มันยาว  หาเรื่องพูดตัดบทให้สั้นที่สุด หาเรื่องพูดตัดบทที่จำเป็นที่สุดในการต้องรีบวางสาย นี่คือบททดสอบความอุเบกขาของใจ หากใจเรามีความอุเบกขาจริงๆ เราจะพูดไปโดยที่ไม่มีอารมณ์ใดๆมาเจือปน พูดจบแล้วก็ไม่ขุ่นอยู่ในใจ จบลงแค่ตรงนั้น

โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 01:09

"หนูอยากจะฝึกความอดทนอดกลั้นให้ได้ค่ะ..หนูเคยไปบวชมาเหมือนกันแต่แค่9วันเอง..หนูยังไม่เจอหนทางหยุดโทสะได้เลยค่ะแม่ชี.."                  

คุณต้องมีสติรู้เท่าทัน สติคือความระลึกได้ สัมปะชัญญะคือรู้ว่ากำลังโกรธ ขณะนี้คุณกำลังมีอัตตาตัวตนคุณถึงโกรธ คุณก็ละตัวตนเสีย จะทำอะไรก็รู้สึกตัวเอง ถ้าช็อคตายขณะนั้นก็ไปเกิดเป็นอสูรกาย สัตว์เดรัจฉานที่มีพิษ เช่นตะขาบ งูเห่า แมงป่อง บุญที่มีหาช่วยได้ไม่เพราะจิตเราไปเกาะแบบนั้นเอง เราทำเราเอง      
           
ผู้สกัดกั้นได้คือสติ รู้ว่าเรากำลังโกรธ กำลังเกลียด โกรธเพราะมีอัตตาตัวตน ตัวกูของกู คุณก็ฆ่าตัวกูของกูออกเสีย รู้ทันแล้วก็วางไป  รู้ว่ามันเป็นไฟเผาเรา รู้ว่ามันโกรธ คุณก็อย่าไปโกรธต่อ มันห้ามไม่ได้ คุณยังไม่เป็นอรหันต์ แต่คุณต้องระงับให้มันหยุดแค่นั้น คุณต้องผูกขามันไว้ อย่าให้มันหลุดออกมาเป็นคำพูด เมื่ออารมณ์ก่อตัว คุณต้องตั้งใจกำหนด โกรธหนอๆๆ ตายตอนนี้งูพิษแน่ ถามตัวเองอยากไปเป็นสัตว์เดรัจฉานหรือ                  

จะนั่งรถ จะทำงานทุกอย่างให้มีสติรู้เท่าทันจิตที่มันคิด ทันอารมณ์ที่มันเกิด ถ้าจิตมันเร็วก็ปล่อยมันเร็ว คุณเอาสติตามรู้มัน รู้แล้วพยายามทิ้งมัน ปล่อยมัน ฆ่าอัตตาตัวตน อย่าไปมีตัวตน อย่าไปมีทิฐิมานะ  คุณบอกไม่มีเวลาแล้วทำไมมีเวลาหายใจเล่า ก็ปฏิบัติที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออกสิ  เดินเร็วเดินช้าก็ให้คุณรู้ ให้รู้ว่าตัวเองกำลังเดิน กำลังคิด ตัวเองทำอะไรอยู่  คุณโกรธ คุณเกลียด คุณดู คุณมีสติระลึกรู้ นั่นแหละคือการปฏิบัติ                        

คุณต้องมีเวลาปฏิบัติบ้างเช่นตื่นนอนหรือก่อนนอนครึ่งชม.หรือชม.  ต้องทำสม่ำเสมอต่อเนื่องทุกวัน สติจึงจะมีกำลังและเร็วขึ้น ถ้าเพียงแค่นี้คุณรู้ แต่ห้ามมันไม่ได้  ใจมันเร็วมันไปก่อนสติ คุณต้องผูกขามันไว้ พอมันได้ยินเสียงที่คุณไม่ชอบ คุณก็กำหนด ได้ยินหนอๆๆ พอตาคุณเห็นคนที่ไม่ชอบ คุณก็กำหนด เห็นหนอๆๆ  พอคุณโกรธ คุณก็กำหนด โกรธหนอๆๆ หงุดหงิดหนอๆๆ เกลียดหนอๆๆ กำหนดทุกความรู้สึกที่เกิดในใจคุณ                     

การกำหนดทำให้ใจมันช้าลงและสติเข้ามาได้ทัน ถ้าเรามีปัญญาเราก็จะสอนตัวเองได้ทัน อารมณ์โกรธก็จะไม่เกิดขึ้น  แม้จะห้ามไม่ทันผ่านไปแล้ว เราก็ต้องหัดสอนตัวเอง เช่น ที่บ้านเขาคงมีคนป่วย เขาจึงรีบขับรถเร็วขนาดนี้ หรือเขาคงไม่ตั้งใจขับรถช้าคงเพราะมันเก่าและบรรทุกของหนักมันเลยช้า หรือที่เขามาขโมยเพราะเขาไม่มีกินจริงๆ หากเขามีเขาคงไม่ทำแบบนี้

เมื่อเราเอาใจเขามาใส่ใจเรา จะเกิดความเห็นใจต่อผู้อื่น และไม่วิพากวิจารณ์ต่อจนเกิดเป็นอกุศลในใจ ปัญญาที่เกิดนี้จะทำให้เราค่อยๆระงับความโกรธลงได้ สอนซ้ำแล้วซ้ำอีกสักวันมันก็เย็นลงได้ ทำไมจึงมีนานาสัตว์บนโลกนี้ เพราะเราไม่เหนืออารมณ์นั่นไง

โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 01:10

"คุณแม่บอกให้รู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ให้มีสติอยู่กับตัวตลอดเวลา มันยากจังเลยคะ มันฟุ้งซ่าน บางครั้งเบื่อมาก อยู่บ้านก็ทำทุกวันแต่ไม่เคยเต็มที่ มีเหตุผลอ้างสารพัดที่จะคอยขัดขวางเราไม่ให้ทำความดี"                       

คุณแม่ท่านบอกว่า....ทำที่บ้านไม่ได้ ทนกิเลสไม่ไหว ไปที่ไหนก็ได้ที่คิดว่าเป็นสถานที่ที่ทำให้เราตัดขาดจากโลกภายนอก วันธรรมดาไม่ได้ ก็ไปในวันหยุด เดี๋ยวเขาก็พัฒนาขึ้นเอง จากอาทิตย์ละชม. กลายเป็นวันละชม. จากวัดก็จะกลายเป็นบ้าน ความคิดมันไม่มีตัวตน จะไปห้ามมันคิดก็ไม่ได้ มันเป็นธรรมดาเรายังมีสัญญาความจำอยู่ มันขึ้นมาก็ดีแล้ว เราจะได้รู้ว่ามีอะไรค้างคาอยู่ในใจ ถอนออกเมื่อไหร่มันก็ไม่ขึ้นมาอีก แต่จะเป็นเรื่องใหม่แทน     
                                                     

สติเราอ่อนจึงห้ามไม่ให้คิดไม่ได้ ผู้ปฏิบัติต้องผ่านด่านนี้ทุกคน หลายคนติดอยู่แค่นี้เลิกปฏิบัติไปเลย นี่เป็นนิวรณ์เครื่องขวางกั้นผู้ปฏิบัติธรรมไม่ให้ไปไหน มันชอบคิด ก็เอาความคิดนี่แหละเป็นกรรมฐาน ปล่อยให้มันคิด แล้วสังเกตความคิด มันไม่คิดไปข้างหน้า ก็คิดไปข้างหลัง บางเรื่องคิดเพราะตาไปกระทบกับสิ่งภายนอก บางเรื่องมาจากในใจ บางเรื่องคิดเพราะพอใจจะคิด บางเรื่องคิดแล้วโกรธ บางเรื่องมันคิดแล้วเสียใจ เรื่องนี้ดับ ก็วิ่งไปคิดเรื่องใหม่                                                      

เลิกปฏิบัติมันเลิกคิดทันที พอเริ่มปฏิบัติมันก็เริ่มคิด เคยนับมั้ยมันคิดกี่เรื่อง ถามมันสิเหนื่อยไหม วิธีตามดูความคิดอย่างชาญฉลาดคือ เมื่อมันคิดขึ้นมาฝืนใจไว้อย่าไปคิดต่อ ปล่อยให้มันดับลง เรื่องใหม่มาก็ทำเหมือนเดิม แต่ถ้ากำลังไม่พอฝืนมันไม่ได้ เผลอไปปรุงแต่งต่อ คำบริกรรมการกำหนดจำเป็นก็ตอนนี้ จิตจะวิ่งมาจับคำที่เราพูดขึ้นทันที เรื่องที่คิดก็ดับลงสั้นลงไม่ถูกสานต่อ พอเริ่มคิด เราก็กำหนด คิดหนอๆๆ จนมันหยุด มันมาอีกแต่คราวนี้ช้าอยากขึ้นแล้ว ก็กำหนด อยากหนอ ๆๆ หรือโกรธแล้วก็กำหนด โกรธหนอๆๆ                                      

วิธีที่สองตัดกำลังตั้งแต่ต้นทาง นั่งไปมันเริ่มคิดลุกขึ้นเดินทันที  เดินๆไปสงบได้สักพักมันเริ่มคิด เลิกเดินเปลี่ยนเป็นนั่งทันที อย่าไปบอกให้มันรู้ตัว ทำเหมือนหักหน้ามัน ในหนึ่งชม.ให้ทำอย่างนี้ มันคิดเมื่อไหร่ เราก็เปลี่ยนอิริยาบถทันที      

วิธีที่สาม ทำอย่างไรก็ไม่หาย เดินอย่างเดียวยังไม่ต้องนั่งสมาธิ แต่ขอให้เป็นการเดินที่รู้อยู่กับปัจจุบันทุกขณะ จะบริกรรมก็ออกเสียงดังๆ โดยไม่ต้องอายใคร อาจจะใช้ลมหายเข้าออกเป็นการบริกรรมก็ได้ เช่น ก้าวขาไปเราหายใจเข้ายาวๆ วางขาลงเราหายใจออกยาวๆ จิตจะมาเกาะที่ลมหายใจแทนความคิด

ขณะที่เดินจงกรมกี่จังหวะก็ช่าง หากความคิดเกิดขณะที่เรายกเท้า ก้าวเท้า หรือวางเท้า ให้หยุดค้างไว้ พอความคิดดับเราค่อยไปต่อ เมื่อสติเร็วขึ้น เราจะเห็นทันว่าความคิดเกิดขณะใด การเห็นการเกิดดับของความคิดนี่แหละ เมื่อใจเข้าใจแล้ว เขาก็จะไม่ไปปรุงต่อ เพราะเขารู้แล้วว่าเดี๋ยวมันก็ดับ ความคิดจะค่อยๆสั้นลง จนหายไปในที่สุด จะเกิดความเย็นขึ้นในใจแทนที่แต่อย่าได้ไปติดในสุขนั้น มันสุขก็ให้กำหนดไว้สุขหนอ เย็นหนอ ความยินดีก็พาเราไปเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก

ทำงานไปให้กำหนดไปด้วย มันคิดก็คิดหนอ มือเอื้อมไปหยิบอะไรก็หยิบหนอ ยกหนอ เวลาเดินก็ซ้ายหนอ ขวาหนอ ก้มหนอ เงยหนอ บิดหนอ การทำอย่างนี้ทำให้เราชินกับการกำหนด อาจจะฝืนในวันแรก แต่เมื่อชินจะทำไปแบบสบายๆ จะเริ่มรู้สึกสนุกกับการกำหนด เบากายเบาใจ  เมื่อความคิดโดนสะกัด มันก็จะค่อยๆถอยทัพลงไป มีแต่ไม่มากเหมือนเดิมไม่ต้องกลัวว่าจะกำหนดไปตลอดชีวิต ถึงวันเขาจะวางของเขาเอง

นี่เป็นด่านแรกที่ทุกคนต้องผ่าน ถามตัวเองอยากเลิกคิดจริงไหม ถ้าไม่ตั้งใจจริงทุกวิธีที่บอกก็เปล่าประโยชน์ เราต้องฝืนทำไป จากชม.เป็นวัน จากวันเป็นเดือน คงจะมีสักวันที่เราเหนือมัน ยังมีอีกหลายด่านที่คุณต้องผ่าน ไม่จบป.1 แล้วคุณจะไป ป.2 ได้อย่างไร
โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 01:10

"ใจหยุด"        

ใจของเราหยุดแล้ว หยุดอยาก หยุดโกรธ หยุดเศร้า หยุดคิด หยุดรัก หยุดเมื่อได้เจอกับท่าน ก่อนหน้านั้นเล่มนี้ดีแผ่นนี้ดีแบบนี้ดีและเป็นครั้งแรกในชีวิตที่หยุดเดินทางยาวนานเช่นนี้เพื่อทำความเพียร ทำสิ่งเดิมๆทุกวันโดยไม่เคยเบื่อ ใจหยุดดิ้นรนที่จะแสวงหาทุกสิ่ง ทำไมหนอเราจึงหยุดได้เมื่อมาเจอท่าน ใช่เราเห็นแจ้งในคำสอนของพระพุทธองค์ผ่านท่าน
                  
เราพบแล้วเราจึงหยุด สิ่งที่หยุดนั้นคือใจ ท่านบอกกับเราว่าผู้ที่จะพาเราหลุดพ้นได้หาใช่ท่านหรือพระพุทธองค์ แต่สติปัญญาและความเพียรของเราต่างหาก ท่านเป็นเพียงผู้บอกทาง เราผู้ซึ่งไม่มีฤทธิ์ ไม่มีความรู้ในตำรา ไม่มีเวลา ไม่มีเงิน มีเพียงความเพียร เราทิ้งทุกอย่างแต่ไม่เคยทิ้งการปฏิบัติ ไม่เคยให้ทีวีโทรศัพท์และผู้คนมาฉกฉวยเวลาไป แม้เริ่มต้นความคิดความจำ อารมณ์ ความง่วง ความปวดจะทะลักออกมาแต่ไม่เคยหยุด แม้จะล้มและต้องลุกเดินใหม่ทุกวันก็ไม่เคยท้อ

ผ่านมาเกินครึ่งปี ความไม่เคยหยุดกลับทำให้ใจของเราหยุดได้ ฝนตกแดดออกไม่สบายเราบากบั่นไปทำความเพียรที่วัดใกล้บ้านเกือบทุกวัน วันละชม. บางครั้งทำที่บ้าน โดยส่งอารมณ์กับท่านทางโทรศัพท์เกือบทุกวัน ไม่ดีก็บอก เบื่อก็บอก ง่วงฟุ้งก็บอก ทนไม่ไหวก็บอก หลับก็ยังบอก ไม่เคยตกแต่งให้ดูดี เราคิดว่าตัวเองคงหมดวาสนาเพียงแค่นี้ ปัญญาไม่เคยเกิด สติก็น้อย นั่งก็ฟุ้ง เดินก็ฟุ้ง เพราะความคิดเช่นนั้นจึงทำบ้างหยุดบ้าง แต่เมื่อไม่เคยหยุดความเพียร คนที่คิดว่าตัวเองด้อยวาสนา นั่งสมาธิไม่เคยได้นาน กลับได้พบธรรมะที่แท้จริง เรารู้แล้วว่าแค่รู้นั้นเป็นอย่างไร รู้ด้วยใจไม่ใช่จำ
                  
ใจที่รู้สึกขาดและไขว่คว้า กลายเป็นใจที่อิ่มพอไม่เอาทั้งบุญและบาป มีน้อยก็ใช้น้อย มีมากก็เก็บออม เราบอกกับแม่ชีเกณฑ์ท่านว่าผู้ใดที่รู้แจ้งในอริยสัจสี่ เขาจะทิ้งจะละจะวางเองโดยที่ไม่ต้องบอก ท่านบอกใช่ที่ผ่านมาท่านเพียงแต่ชี้แนะเท่านั้น แต่คนที่ละที่วางเองนั้นคือเรา และท่านบอกอย่าประมาทหากเผลอสติเมื่อใดความมีตัวตนก็จะเข้ามาครอบงำ หากใจเป็นเช่นนี้จนถึงขณะตายภพชาติก็จะน้อยลง เราบอกได้อย่างเต็มใจว่าเราไม่ปราถนาในภพชาติใดๆอีก
                    
ขอทุกท่านจงอย่าได้ละความเพียร วันที่เราไม่ฟุ้ง ไม่ง่วง ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่อยากนั้นมีจริง แม่ชีเกณฑ์ท่านเน้นเสมอให้ทำที่บ้านก็ได้ ท่านยินดีที่จะเป็นเพื่อนรับฟังและให้คำชี้แนะ โดยไม่คิดหวังสิ่งใด ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่าน ใครไม่รู้ไม่เป็นไร รู้เพียงใจของเราก็พอแล้ว ท่านถามทิ้งท้ายการดูจิตกับการสวดมนต์อย่างไหนดีกว่ากัน เราตอบท่านได้แล้ว คำตอบนี้ต้องหาด้วยตัวของคุณเอง

โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 01:11

" โมหะสมาธิ "

มีผู้ปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง เวลานั่งเขาไม่รับรู้อารมณ์อะไรเลย แม่ก็เลยถามว่า เวลาออกจากอารมณ์นั่งล่ะ ออกจากสมาธิยังโกรธอยู่ไหม เขาตอบว่าถ้ามีคนมาด่า มาว่า มาตำหนิก็โกรธอยู่ แล้วโกรธมันดับไหม  หายโกรธง่ายไหม ไม่ค่ะบางทีก็เป็นวัน อย่างนั้นก็ไม่ถูกเลย แต่วิปัสสนามีสติรู้เท่าทัน แล้วมีปัญญาเข้ามาเท่าทันมันตัดไปเลย ไม่ถึงวินาทีก็ไปแล้ว อันนี้ยังใช้ไม่ได้ ถ้าตายไปขณะโกรธจะไปไหนล่ะ

เขารู้เรื่องภายนอกมาก เขาเล่าว่าวิญญาณมีหลายระดับ แบบนั้น แบบนี้.....แม่ปล่อยให้เขาพูดพอเบาลง แม่ก็เลยม้วนบอกเขาว่าไอ้สิ่งที่คุณรู้ ถึงรู้เห็นอะไร มันเป็นโลกีย์ ไม่ใช่โลกุตระ ถ้าโลกุตระ ละอย่างเดียว ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ไม่ไปสนใจ รู้แล้วก็วาง ไม่ใช่ไม่มีจริง สิ่งที่พูดมาก็เป็นจริง แต่สมาธิแบบนี้เป็นสมาธิหัวหลักหัวตอ ที่ไม่รู้อะไร ตายไปเป็นอรูปพรหม ไม่มีแข้ง ไม่มีขา เหมือนน้ำเต้าเหมือนก้อนหิน รู้แต่ลมแผ่วเบา อยู่เป็นล้านๆๆๆ ปี เอาไหม

แม่มีวิธีพูดไปติดอยู่ขอบมุมไหน แม่แก้ให้เขารู้ว่ามีอารมณ์มากระทบก็รู้อย่างนั้น สัมมาสมาธิต้องรู้ อยู่ในฌานก็ต้องรู้ เขาไปข้องอยู่ตรงไหน แม่มีวิธีแก้ได้ เพราะเคยผ่านมาหมดแล้ว เลยรู้ภาวะทุกอย่าง สามารถแก้จนเขาหายข้องใจได้

" สั้นๆ สติปัฏฐาน 4 ก็ให้มีสติรู้เท่าทัน จิตที่มันคิด มันปรุง มันแต่ง ย่อลงมาก็ให้รู้กายกับใจ ใจมันโกรธ มันเกลียด มันรัก มันชัง ก็ให้รู้เท่าทัน แล้วก็วางมันหรือดับมัน "

โดย: UMP    เวลา: 2014-3-12 01:11

"หากเกิดอาการเช่นนี้ควรทำอย่างไร"

บางครั้งเพราะกินมากและเคยชินที่จะนอนในช่วงบ่าย อาจเกิดอาการง่วงมาก แม้จะกินกาแฟก็ไม่ช่วยอะไร แม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าเพราะสติมันอ่อน ทำให้ประคองร่างกายให้ตั้งตรงไม่ได้ ไหลไปตามอาการนั้นๆด้วยความเคยชิน หากอยู่ที่บ้านคงไม่มีใครเห็น แต่ถ้ามาวัดหรือมาปฏิบัติธรรมร่วมกับคนอื่น หากไม่มีสติระวังตัวอาจจะเจอบางคนถ่ายรูปเก็บไว้เช่นนี้

ถ้าเขามีสติพอคนเดินเข้าไปถ่ายรูปใกล้ๆ ก็ตัองรู้ตัวแล้ว คุณแม่ท่านบอกว่า เมื่อเริ่มรู้ตัวว่าง่วงมาก ให้ลุกขึ้นเดิน ไม่ต้องเสียเวลาไปต่อสู้กับมัน ให้นั่ง 5 นาที แล้วเดิน 5-10 นาทีแล้วเปลี่ยนมานั่ง 5 นาที ในเวลาไม่ถึงชม.จะตื่นทันที การทำเช่นนี้ทำให้สติตื่นตัวและมีกำลังขึ้น หายจากอาการนี้จึงค่อยๆปรับเวลาขึ้น ถ้าขี้เกียจลุกก็ช่วยอะไรไม่ได้ ปล่อยไว้อย่างนี้จะติดเป็นนิสัย ทำไมจึงให้นั่งหลังตรงเพราะการนั่งหลังงอจะชวนให้หลับไปง่ายๆ หรือจะนั่งลืมตาก็ได้ หากไม่ไหวจริงๆ เดินก็ง่วง นั่งก็ง่วง ท่านอนุญาติให้ลุกขึ้นจับไม้กวาด หรือจะถูพื้นก็ได้ โดยไม่ต้องเกรงใจคนอื่น ขณะเดียวกันก็เป็นการทดสอบผู้ปฏิบัติธรรมท่านอื่นที่อยู่ใกล้ๆ เมื่อได้ยินเสียงเขาถูพื้น เราหงุดหงิดไม่พอใจไหม จะได้ดูใจตัวเองไปด้วย





ยินดีต้อนรับสู่ แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน" (http://www.dannipparn.com/) Powered by Discuz! X1.5