แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

ชื่อกระทู้: วิชามโนมยิทธิ ฤทธิ์ทางใจ [สั่งพิมพ์]

โดย: webmaster    เวลา: 2011-8-5 11:29     ชื่อกระทู้: วิชามโนมยิทธิ ฤทธิ์ทางใจ

คำว่าพลังจิต คือ จิตมีพลัง การที่จิตจะมีพลังได้ จิตต้องนิ่ง รวมเป็นหนึ่ง
คำว่าเพ่ง ... คือเอาความรู้สึกนึกคิดของจิตให้อยู่เหนือกสิน หรือ ธาตุต่างๆ และรวมจิตให้มีกำลังเหนือธาตุ
...การเพ่งกสินคือการทำให้จิตนิ่งจดจ่ออยู่กับรูปกสินนั้นๆ คือเอาจิตนึกถึงเพ่งจดจ่อไป


1.แรกจะเพ่งไปก็ได้สักพัก ก็เอาอารมณ์อื่นมาแทน แบบนี้ได้ไม่นานเรียกว่า ขณิกสมาธิ ...
2.พอจิตนิ่ง ก็อาจจะมีการปรุ่งแต่งบ้างแต่จะอยู่ในขอบเขตของกสินนั่นเช่น เอาจิตเพ่งไปที่กสินคิดว่า กสินนี้
มีขนาดเล็กหรือใหญ่ สีสรรวรรณะเป็นอย่างไร ถ้าเป็นแบบนี้ สภาวะที่เกิดคือ จิตมี วิตก วิจาร พอนิ่งได้แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตของการนึกถึงกสินนั้น สภาวะทางกายจะเกิด เรียกว่า ปิติ อารมณ์ปิติมี 5 อย่างคือ
2.1.ขนลุกขนชัน

2.2.น้ำตาไหลแบบไม่มีอะไร ระคายเคืองตา หรืออารมณ์เศร้าหมอง
2.3.ร่างกายโยกโครงไปมา คล้ายเรือกระทบคลื่น บางคนเห็นแบบนั้น ถ้าปกติแบบนั้นคงจะมึนหัวน่าดู แต่อาการแบบนี้เกิดมันสบายๆ
2.4.ร่างกายลอยเหนือพื้นที่นั่ง บางทีลอยไกลๆ ลอยสูงมาก ...อารมณ์ปิติทำให้จิตเบากายเบา เกิดความรู้สึกเหมือนว่าร่างกายมันลอยอยู่
2.5.มีอาการซู่ซ่า คล้ายร่างกายโปร่ง หรือตัวพองโตขยายใหญ่

สังเกต อาการปิติ อารมณ์จิตจะชุ่มชื่นเบิกบานมองไปทางไหนก็ยิ้มข้างในแบบนี้ และการกำหนดจิตเข้าสมาธิจะเข้าง่าย คล่องทำเมื่อไหร่ เข้าสมาธิได้ทันทีได้ดั่งใจ แบบนี้เรียกว่าการ ทรงปิติ การทรงคือไม่ใช่แค่นั่งหลับตา แต่เอา อารมณ์ติดไปด้วยและอยู่กับเราในชีวิตประจำวัน

3.สุข จิตเกิดสภาวะที่สุขชุ่มชื่นเบิกบาน เป็นความสุขที่ละเอียดอ่อนไม่เคยพบในอารมณ์ ของทางโลกเลย จะเอาอารมณ์ทางโลกมาเทียบไม่ได้เลย เมื่อสุขเกิด จะนั่งสมาธินานเท่าไหร่ก็ได้ โดยไม่รู้สึกปวดเมื่อยตัวเลย
และสมาธิตั่งมั่นมากขึ้น มีอารมณ์วิตก คือ อยู่ในองค์ภาวนาได้ตลอดเวลา สามารถกำหนดรู้ความถูกต้องหรือไม่ถูกต้องของคำภาวนาได้ และเต็มไปด้วย ธรรมปิติชุ่มชื่นผ่องใส สุขใจมีตลอดเวลา สมาธิตั่งมั่น และสังเกตุหลับตา จะสว่างมาก เหมือนมีคนเอาสปอทไล้มาส่องตาเลยทีเดียว ...

โดย: webmaster    เวลา: 2011-8-5 11:30

...ที่กล่าวมาทั้งหมดคืออาการของอุปจารสมาธิ จิตทรงอุปจารสมาธิได้ ญาน ต่างๆ ก็เกิดขึ้นมาช่วงนี้แหละ อย่าง วิชชามโนมยิทธิ หรือ เรียนกว่า "ฤทธิ์ทางใจ" ใจเป็นทิพย์ หรือว่า "ทิพจักขุญาน" มีความรู้สึกคล้ายตาเห็น สังเกต คนจะเข้าใจว่า เป็น ทิพจักษุญาน จักษุ คือตา จักขุ คือใจ ... และทิพย์ ความหมายคือ "เล่น" ...และ ญาน หมายถึง เครื่องรู้ ถ้าคนที่ได้ มโนมยิทธิจะรู้ 8 อย่าง หรือเรียกกันว่า ญาน8 มี
1.ทิพจักขุญาน รู้เห็นเทวดา ผี สวรรค์ นรก พรหม พระนิพพาน
2.จูตูปปาตญาน รู้ว่าสัตว์ที่ตายไปแล้วไปเกิดที่ใด
3.เจโตปริยญาน รู้อารมณ์จิตของคนและสัตว์ แบบนี้จะเกิดในสภาวะที่รู้ คือคนอื่นคิดอะไรจะปราฏกอารมณ์จิตที่เราทำให้รู้ว่าเขาจะพูดอะไรคิดอะไร แบบนี้เรียกว่า เจโตปริยญาน
4.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติที่เกิดมาในกาลก่อนได้
5.อตีตังสญาน รู้เหตุการณ์ในอดีต คำว่าอดีตคือ ช่วงเวลาที่ผ่านมาแล้ว เช่น เมื่อวานคนนั้นคนนี้ไปทำอะไรมา ไม่เหมือนกับระลึกชาติคือ ตายแล้วเกิดแล้วไปทำอะไรมาบ้าง
6.อนาคตังสญาณ รู้ในเหตุการณ์ข้างหน้าต่อไปได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา
7.ปัจจุปปันนังสญาน รู้เหตุการปัจจุบันว่า ขณะนี้อะไรเป็นอะไร
8.ยถากัมมุตาญาณ รู้ผลกรรมของสัตว์ บุคคล เทวดา พรหม ว่าเขามีความสุขและ มีทุกข์ ด้วยผลกรรมอะไรที่ทำมา ...

มโนมยิทธิ ต่างจากการกำหนดคิดธรรมดาที่ว่า ต้องขอบารมีครูบาอาจารย์มาช่วยให้ชัดเจนขึ้น พูดง่ายขอกำลังจากกำลังที่ใหญ่กว่าเรา ลำพังกำลังเรายังมีกิเลสอยู่ทำให้ ความจัดเจนไม่เต็มที่ แต่ถ้าขอบารมีครูบาอาจารย์ จะทำให้ชัดเจนยิ่งขึ้นกว่ากำลังของเราเอง ...

และผลจากการที่ได้จากการฝึก มโนมยิทธิ จะทำให้มีความรู้สึกของใจที่เป็นทิพย์ ใจเบาสบายๆ รู้สึกจะไวกว่าคิด จนความคิดตามไม่ทันเอาเหตุและผลทาง สัญญา มาหยั่งความรู้สึกว่า รู้ได้อย่างไร ... แต่ถ้ารู้แบบนี้ อย่าไปคิดว่า ตนเอง วิเศษ หรือไป ข่มใคร เอาความรู้นี้ไปดูถูกคนอื่น ทำแบบนี้ คือ เอากิเลส ทำให้เสื่อมลงได้ และจะฝึกอีกทีก็จะได้ยากกว่าเดิม ...

นี่คือผลที่จะเกิดในขณะที่จิตทรงอุปจารสมาธิ ญาน ต่างจะเข้ามา พูดง่ายของเดิมที่เคยปฏิบัติจะเริ่มเข้าไม่ว่าจะเป็น สภาวะธรรมต่างๆ ภูมิธรรมต่างๆ ที่สั่งสมมาในอดีต ถ้าเกิดอาหารเหล่านี้ขึ้นกับจิต ให้รู้ว่าเรา อยู่ในอารมณ์จิต ในการทรงสมาธิระดับ อุปจารสมาธิ ...

และอุปจารสมาธิห่างจาก ฌาน นิดเดียวเอง คือ ยังไม่มีอารมณ์หนึ่งเดียว ที่เรียกว่า เอกัคคตารมณ์ คือมีอารมณ์เป็นหนึ่งตั้งมั่นอยู่ในองค์ทั้ง 4 ประการไม่คลาดเคลื่อน ...

นี่หละคือทำให้จิตได้รู้จักสภาวะอารมณ์ของ ฌาน ได้ ถึงฌานได้ และ ทรงฌาน ได้ในชีวิตประจำวัน สมาธิก็จะพัฒนาจนลำดับขั้นสูงขึ้น... อธิบายง่ายแบบภาษาปฏิบัติ ถึงไม่พูดเรื่อง เจตสิก ต่างๆ ตามในพระอภิธรรม แต่ระบบของจิตและ เจตสิกมันก็ไปด้วยกันตาม ธรรมชาติของจิตอยู่แล้ว เรื่องตำรายกให้นายดี และคุณปัญญาอ่อน มายกศัพท์เองหละกัน ผมถนัดอธิบายภาษาปฏบัติแบบบ้านให้คนเข้าใจ และนำไปปฏิบัติเท่านั้นเอง

โดย: webmaster    เวลา: 2011-8-5 11:30

การรู้สึกแล้วเห็นเป็นภาพคล้ายตาเห็นนั้น เป็นการประกอบความรู้สึกจากจุดหนึ่งเป็นจุดหนึ่งจนปติปะต่อเป็นภาพเกิดขึ้นในจิต แลกก็อาจจะรู้แค่นิดเดียวพอสภาวะจิต มันเนหือกายแล้วจะรู้แบบอัตตโนมัติ เช่น รู้สึกว่าใส่เสื้อสีแดง อันนี้ให้เชื่อในความรู้สึกแรกทันที การรู้สึกแรกคือมาจากจิต หลังจากนัน้สมองเริ่มใช้สัญญาอุปทานมาแย้งแล้ว เช่น สีแดง มาคิดว่า อาจจะสีส้มมั้งเพราะใกล้เคียงกัน แบบนี้ เป็น สัญญาจากความจำมา และมาเป็น อุปทาน คือ คิดว่านี่คือความจริง ...

แต่ มโนมยิทธิ ใช้ความรู้สึกแรก และปะติดปะออกมาเป็นภาพ เกิดความเข้าใจโดยอัตโนมัติ โดย สมอง หรือ เอาสัญญาอุปทานมา ตาม สรุปไม่ทัน ...พอรู้สึกแรกจับได้ รู้สึกต่อมาจะเกิดขึ้นเรื่อยๆ เหมือนมองภาพหนึ่งและกระจายออกมารอบนอกภาพนั้น และเจาะลึกในรายละเอียดไปเรื่อยๆ ตาเรามองจุดเดียว ได้เท่าไหร่ แต่มองหลายจุดไม่ได้ ไม่เหมือนกันจิต ลองแค่เอาใจนึกถึงบ้านเรา ก็รู้เลยว่าบ้านเราเป็นยังไง มันจะไม่ใช่เห็นหรือภาพเกิดในจิตไม่ใช่แค่บ้านแต่มันประกอบเป็น ความรู้สึก คือ เห็นองคืประกอบของบ้านเรา มีต้นไม่้ หน้าบ้านมีอะไร นอกบ้านมีอะไร ข้างในบ้านมีอะไร จะรู้ทีเดียว ....

ไม่เหมือนกายเราปกติ จะไปไหนต้องเดินทาง ต้องอาศัยระยะเวลา แต่จิตมันทันทีแค่นึกก็รู้ ยิ่งอยู่ในสภาวะสมาธิแล้วรู้จะชัดเจนและเชื่อมั่นมากกว่าปกติ ...

สรุป การใช้จิต คือ ใช้ความรู้สึก การสื่อสารทางจิตคือ การรู้วาระจิตซึ่งกันและกัน บางทีเรียกว่าโทรจิต ต้องมั่นสังเกตสภาวะจิต กับสภาวะกายมันต่างกันอย่างไร และแยกสภาวะให้ถูก ก็จะใช้พลังจิตได้

"สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็น ไม่เท่าจิตสัมผัส"

โดย: watasit    เวลา: 2011-11-26 15:38

อนุโมทนาสาธุธรรม
โดย: yoioy    เวลา: 2011-12-24 14:14

น้อมกราบพระรัตนตรัย น้อมกราบอนุโมทนา สาาาธุ สาาาธุ สาาาธุ
โดย: praytong    เวลา: 2011-12-26 20:46

อนุโมทนา สาธุ

โดย: lastborn    เวลา: 2012-1-5 18:50

สาธุด้วยคนครับ
โดย: taptawa    เวลา: 2012-1-18 01:41

อนุโมทนา สาธุครับ ^-^

โดย: sopa2511    เวลา: 2012-1-18 12:49

โมทนาสาธุ อธิบายได้ใจจริงแท้
โดย: koon    เวลา: 2012-1-21 12:23

สาธุ...สาธุ..สาธุ....
โดย: poppapza    เวลา: 2012-2-2 09:36

สาธุ สาธุ สาธุ
โดย: Nopphakan    เวลา: 2012-2-3 04:19

อนุโมทนาสาธุครับ
โดย: ธาตุ๔    เวลา: 2012-2-3 10:42

สาธุนะครับ
โดย: poppapza    เวลา: 2012-2-5 17:46

สาธุ สาธุ สาธุ




ยินดีต้อนรับสู่ แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน" (http://www.dannipparn.com/) Powered by Discuz! X1.5