แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 3100|ตอบ: 4
go

ตอบคุณจิดาภา [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

ดิฉันอยากรบกวนถามคุณมารน้อยเกี่ยวกับการอุทิศบุญถวายสังฆทานหลังเที่ยงค่ะ ดิฉันจะถวายสังฆทานให้หมา แมว พ่อ พี่ หลาน ฯ เมื่อก่อนพอทำแล้ว(ซึ่งคิดว่าหลังเที่ยงตลอด) ก็เห็นทุกคนไปสวรรค์หมด บ้างก็ไปดาวดึงส์ บ้างก็ชั้นจาตุมหาราช และตอนนี้ก็เห็นพวกเขายังอยู่ มีวิมาร มีเสื้อผ้า การถวายสังฆทานหลังเที่ยงจะมีผลกับพวกเขาอย่างไรคะ เพราะถ้าไปถวายสังฆทานที่ซอยสายลม ก็หลังเที่ยงทุกที(ไม่แน่ใจว่าเคยมีก่อนเที่ยงไหม) รอจนฝึกมโนมยิทธิเสร็จจึงถวาย ถวายช่วงเช้าไม่ได้ค่ะอยู่ต่างจังหวัดไปไม่ทัน จะถามพวกเขาโดยตรงก็ทำไม่ได้ค่ะ เพราะมโนมยิทธิไม่แจ่มใส ไม่เคยได้ยินเสียงสักครั้งค่ะ แล้วถ้าไม่ควรอุทิศบุญถวายสังฆทานหลังเที่ยง ควรใช้เบิกบุญอุทิศให้ในภายหลังหรือเปล่าคะ

Rank: 1

2#
มารน้อย โพสต์เมื่อ 2013-8-13 09:59 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
จากคำถาม ของคุณจิดาภา ผมหาข้อมูลมาให้แล้วครับ เรื่องการถวายสังฆทาน หลังเวลาเที่ยง มีผลอย่างไร จากข้อมุลนี้ผมขอตอบแบบนี้ครับ การถวายสังฆทาน คำว่าสังฆทานคือ การทำทานให้แก่หมู่สงฆ์ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปโดยไม่เจาะจงรูปใดรูปหนึ่งเป็นพิเศษ หรือมีการตั้งองค์แทนคณะสงฆ์เพื่อรับ ทานนั้นๆ ก็ได้ สังฆทานไม่จำเป็นต้องเป็นอาหารอย่างเดียว จะเป็นสิ่งของอื่นที่หมู่สงฆ์สามารถใช้ประโยชน์ก็ได้ จะเป็นสิ่งอื่นก็ไม่ผิด  ผมเองก็เคยถวายเครื่องมือช่างให้กับพระในวัด เพื่อที่ท่านสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในวัดต่อไป  ทีนี้ประเด็นที่ว่าเราถวายสังฆทานในตอนหลังเทียงได้ไหม  เรื่องนี้ตอบได้ทันทีเลยว่าได้ครับ แต่(มีแต่)สังฆทานนั้นต้องไม่มีอาหาร เพราะหากเป็นอาหารพระท่านไม่สามารถใช้ประโยชน์จากอาหารนั้นได้ มันผิดวินัย  หากจะถามว่าสังฆทานที่ดี(ผีหรือวิญญาณชอบ) ต้องเป็นอย่างไร ต้องประกอบด้วยอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และ พระพุทธรูป สิ่งเหล่านี้วิญญาณของผู้ที่ตายไปแล้วชอบ เพราะนำไปใช้ได้เลย แต่ทีนี้มีเรื่องอาหารเข้ามาเกี่ยวข้อง เราควรถวายพระท่านก่อนเที่ยงจึงจะดี พระท่านจะไม่ผิดวินัย  ผมต้องขอโมทนากับคุณจิดาภาด้วยที่ได้มโน แล้วรู้ว่าผู้ที่ตายไปแล้วเขาสะบายกันหมด  มีเรื่องหนึ่งที่เกิดกับตัวผมเองขอเล่าแบบย่อๆ ว่า ครั้งที่คุณตาของผมตายใหม่ๆ ผมได้ถวายเงินพระ พร้อมกับอุทิศบุญ ผลปรากฎว่า ผลบุญนั้นเป็นวิมานสวยงาม แต่ตาผมใช้ไม่ได้ เข้าไปก็ปรากฏเป็นไฟลุกท่วมเลย  จากการสอบถามผลบุญนั้นปนบาปด้วเลยไม่สามารถใช้ได้ ทุกวันนี้วิมานนั้นก้ยังอยู่แต่ไม่สามารถใช้ได้  แต่สังฆทานนี่พระท่านไม่ได้ใช้อาหารผลเลยไม่มากนัก แต่ผลบุญก็น้อยกว่าเมื่อเปรียบกับเราถวายก่อนเพลครับ

Rank: 1

3#
มารน้อย โพสต์เมื่อ 2013-8-13 19:48 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณ คุณธนาด้วยที่ร่วมวงสนทนาด้วยครับ ที่แรกผมว่าจะเงียบเพราะผมไม่รู้ว่าจะนำมะพร้าวห้าวมาขายสวนไหม พอดีอย่างนี้ครับจากที่ผมพอมีความรู้ที่ได้ศึกษามาปัญญาก็เท่าหางอึ่งตลอด๔ปีที่ได้มีกลุ่มญาติธรรมที่ได้ทิพย์ญาณเหมือนกันจำนวนหนึ่ง   พวกเราก็อยากรู้ว่าให้เงินพระบุญหรือบาป เลยพิสูจน์ด้วยหลากหลายวิธีด้วยกัน เอาอย่างนี้ก่อนอื่นอธิบายอย่างนี้ก่อนว่าการถวายเงินให้แก่พระภิกษุ เป็นบุญหรือบาปนั้น มีอยู่สองกรณี $ Q  i' D: k6 ]; u( y# o5 G% k
๑. เราถวายเงินให้แก่พระภิกษุโดยให้เป็นสินส่วนตัว ของท่าน แบบนี้บาปอันนี้เนื่องจากสาเหตุเพราะมีวินัยบัญญัติไว้ว่า "ห้ามภิกษุเก็บเงินไว้แม้แต่ ๑ มาสก" สิ่งนี้พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ ประมาณ ๒,๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว ดังนั้นการถวายเงินพระจึงเป็นการสนับสนุนให้พระผิดศีล หรือวินัยสงฆ์ ในทางโลกหากเราสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำผิดกฎหมายเรายังต้องรับโทษทางคดีความเหมือนกัน นั้นก็เช่นกันในทางธรรมหากเราสนับสนุนพระให้ทำผิดศีลหรือข้อปฏิบัติจะไม่ผิดได้อย่างไร งั้นเราถวายเงินพระไม่ได้หรืออย่างไร แต่เราก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าโลกปัจจุบันนี้เงินเป็นสิ่งสำคัญ (ผมเองก็ยังต้องการ) ดังนั้นเวลาถวายเงินพระก็ถวายไปเลยไม่ต้องคิดว่าเป้นอย่างไรต่อ ไม่ต้องอุทิศให้กับใครทั้งนั้น  เพราะเป็นเรื่องของ มนุษยธรรม ไม่ต้องคิดอะไรมาก* i5 h" A5 a% s9 r- K
๒. เราจะถวายเงินให้พระอย่างไรไม่บาป พระบางวัดท่านจะตั้งเงินกองกลางสำหรับสงฆ์(ไม่ได้เป็นส่วนตัวใครคนใดคนหนึ่ง) พระรูปใดจะเดินทางก็มาเบิกไป เราก็ถวายเป็นเงินกองกลางก็ได้ หรือตามตู้บริจาค ก็ได้เพราะตู้ไม่หลอก ส่วนใครจะไปใช้อย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องของเขา
' c( Y2 s6 W& ~" j' v2 A พระที่ท่านเคร่งครัดวินัยท่านจะไม่ยอมให้ตัวท่านมีสิ่งใดผิดเลย! C; x0 j% Z8 K8 N$ \# T3 j0 V
อีกเรื่องหนึ่ง การทำบุญด้วยอาหารแห้ง สิ่งนี้ก็ไม่ดีเช่นกัน ถามว่าทำไม มีบัญญัติเช่นกันสำหรับเรื่องนี้ว่า "ภิกษุห้ามเก็บอาหารไว้ค้างคืน" การถวายอาหารแห้งเลยไม่สมควร งั้นทำอย่างไร ก็นำไปให้ที่โรงครัว ให้แม่ครัวเขาดำเนินการ จะได้ไม่ผิดวินัย ควรถวายของที่สามารถฉันท์ได้ทันที เช่น นม น้ำผลไม้ หรือในเวลาเย็น นมถั่วเหลืองยังไม่สมควรเลย เพราะถั่วเหลืองถือเป็นอาหาร  ผมอาจจะผิดมาตลอดก็ได้  ก็ลองพิจารณาก็แล้วกันว่า สิ่งใดเหมาะสิ่งใดควร ส่วนเรื่องทำบุญไม่ว่าคุณจะอุทิศให้ใครหรือไม่ผลบุญนั้นก็ตอบแทนคุณทันทีอยู่แล้ว  ไม่ต้องเชื่อผมให้พิสูจน์เอง พุทธองค์ท่านทรงตรัสไว้ อย่าเชื่อในสิ่งที่ทำสืบต่อๆกันมา อย่าเชื่อในหนังสือ อย่าเชื่อสิ่งที่ครูสอน* J( ^9 Y0 e& p

Rank: 1

4#
มารน้อย โพสต์เมื่อ 2013-8-14 12:56 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
ตอบกระทู้ visutti ตั้งกระทู้4 j9 f( E6 l) B0 F, v% S  j. ]
8 ^! ?5 X; E0 V

การสังคายนาครั้งที่ ๒
" Q" J- g  [( {9 Sเมื่อพุทธศักราช ๑๐๐+ g2 b7 a: g% n3 Q, H/ [
ณ วาลิการาม เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี

          การสังคายนาครั้งที่ ๒ ปรารถพวกภิกษุวัชชีบุตรกแสดงวัตถุ ๑๐ ประการนอกธรรมนอกวินัย พระยศกากัณฑกบุตรเป็นผู้ชักชวน ได้พระอรหันต์ ๗๐๐ รูป พระเรวตะเป็นผู้ถาม พระสัพพกามีเป็นผู้วิสัชนา ได้พระอรหันต์ ๗๐๐ รูป พระเรวตะเป็นผู้ถาม พระสัพพกามีเป็นผู้สิสัชนาประชุมทำที่วาลิการาม เมืองเวสาลี เมื่อุทธศักราช ๑๐๐ โดยพระกาลาโศกราชเป็นศาสนูปภัมภก์ สิ้นเวลา ๘ เดือนจึงเสร็จ, x* e) E  U' H" F
          หลังจากพระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานผ่านไปได้ ๑๐๐ ปี พระภิกษุที่จำพรรษาในเมืองเวสาลี ได้ประพฤติผิดวินัย ๑๐ ประการเรียกว่าวัตถุ ๑๐ ประการคือ6 r3 ~# }; i6 ~) e* H) ]& x
          ๑. ภิกษุจะเก็บเกลือไว้ในเขนง (ภาชนะที่ทำด้วยเขาสัตว์) แล้วนำไปฉันปนกับอาหารได้
0 e8 B& ^9 g) ?$ J4 g' C3 J) ^  w          ๒. ภิกษุจะฉันอาหารหลังจากตะวันบ่ายผ่านไปเพียง ๒ องคุลี
* E" M- k/ @* l0 X6 H          ๓. ภิกษุฉันภัตตาหารในวัดเสร็จแล้ว ห้ามภัตแล้วเข้าไปสู่บ้านจะฉันอาหารที่ไม่เป็นเดนและไม่ได้ทำวันัยกรรมตามพระวินัยได้7 x6 ^' x  Y7 f9 a
          ๔. ในอาวาสเดียวมีสีมาใหญ่ ภิกษุจะแยกกันทำอุโบสถได้/ W' B7 E8 E, n1 S; ^: }
          ๕. ในเวลาทำอุโบสถ แม้ว่าพระจะเข้าประชุมยังไม่พร้อมกันจะทำอุโบสถไปก่อนได้ โดยให้ผู้มาทีหลังขออนุมัติเอาเองได้
, v$ ?) X! E5 w/ T+ g- q          ๖. การประพฤติปฏิบัติตามพระอุปัชฌายะอาจารย์ ไม่ว่าจะผิดหรือถูกพระวินัยก็ตาม ย่อมเป็นการกระทำที่สมควรเสมอ
4 J/ @# x$ q7 L: F          ๗. นมส้มที่แปรมาจากนมสดแต่ยังไม่กลายเป็นทธิ(นมเปรี้ยว)ภิกษุฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ห้ามภัตแล้ว จะฉันนมนั้นทั้งที่ยังไม่ได้ทำวินัยกรรม หรือทำให้เดนตามพระวินัยก็ได้1 b8 F6 K8 g; Q
          ๘. สุราที่ทำใหม่ ๆ ยังมีสีแดง เหมือนสีเท้านกพิราบ ยังไม่เป็นสุราเต็มที่ ภิกษุจะฉันก็ได้
% u% o, }8 m& n, l          ๙. ผ้าปูนั่งคือนิสีทนะอันไม่มีชาย ภิกษุจะบริโภค ใช้สอยก็ได้
0 S' k' G% M1 ^3 }          ๑๐. ภิกษุรับและยินดีในทองเงินที่เขาถวายหาเป็นอาบัติไม่# a7 [; f8 ?4 R9 l
          ต่อมาพระเถระอรหันต์ รูปหนึ่งชื่อพระยสกากัณฑกบุตร จากเมืองโกสัมพีได้ไปที่เมืองเวสาลี ได้พบเห็นพระภิกษุวัชชีบุตรชาวเมืองเวสาลี นำถาดทองสำริดเต็มด้วยน้ำ นำมาวางไว้ที่โรงอุโบสถ แล้วประกาศเชิญชวนให้ชาวบ้านบริจาคเงินใส่ลงในถาดนั้น โดยบอกว่าพระมีความต้องการด้วยเงินทอง แม้พระยสเถระจะห้ามปรามไม่ให้มีการถวายเงินทองในทำนองนั้น พระภิกษุวัชชีบุตรก็ไม่เชื่อฟังชาวบ้านเองก็คงถวายตามที่เคยปฏิบัติมา พระเถระจึงตำหนิทั้งพระวัชชีบุตรและชาวบ้าน ที่ถวายเงินทองและรับเงินทองในลักษณะนั้นเมื่อพระภิกษุวัชชีบุตรได้รับเงินแล้ว นำมาแจกกันตามลำดับพรรษานำส่วนของพระยสการัณฑบุตรมาถวายท่าน พระเถระไม่ยอมรับและตำหนิอีก
3 k# b2 M& `# c' W' ]          ภิกษุวัชชีบุตรไม่พอในที่พระเถระไม่ยอมรับตำหนิ จึงประชุมกันฉวยโอกาสลงปฏสาราณียกรรม คือการลงโทษให้ไปขอขมาคฤหัสถ์โดยกล่าวว่าพระเถระรุกรานชาวบ้าน ซึ่งพระเถระก็ยิยยอมไปขอขมาโดยนำภิกษุอนุฑูตไปเป็นพยานด้วย เมื่อไปถึงสำนักของอุบาสก พระเถระได้ชี้แจงพระวินัยให้ฟัง และบอกให้ชาวบ้านเหล่านั้นทราบว่า การกระทำของพระภิกษุวัชชีบุตรเป็นความผิด โดยยกเอาพระพุทธภาษิตที่พระพุทธเจ้าทรงไว้ความว่า
7 }6 w8 D: R. s7 Z) `          "พระจันทร์และพระอาทิตย์ไม่ได้ร้อนแรงและรุ่งเรืองด้วยรัศมีเพราะโทษมลทิน ๔ ประการ คือ หมอก ควัน ธุลี และอสุรินทราหู กำบังฉันใด ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ จะไม่มีตบะรุ่งเรืองด้วยศีล เพราะโทษมลทิน ๔ ประการปิดบังไว้ คือ ดื่มสุราเมรัย เสพเมถุนธรรม ยินดีรับเงินและทองอันเป็นเหมือนภิกษุนั้นยินดีบริโภคซึ่งกามคุณ และภิกษุเลี้ยงชีพในทางมิชอบด้วย เวชชกรรม กุลทูสกะ (ประจบเอาใจคฤหัสถ์ด้วยอาการอันผิดวินัย) อเนสนา (การหาลี้ยงชีพในทางที่ไม่สมควรภิกษุ) และวิญญัติ (ขอสิ่งของต่อคฤหัสถ์ผู้ที่ไม่ญาติ ผู้ไม่ใช่คนปวารณา) พร้อมด้วยกล่าวอวดอตตริมนุษย์ธรรม อันไม่มีจริง"( P/ }/ M) z$ F
          เมื่อพระยสกากัณฑกบุตรชี้แจง ให้อุบาสกอุบาสิกาเข้าใจแล้ว คนเหล่านั้นเกิดความเลื่อมใสพระเถระ อาราธนาให้ท่านอยู่จำพรรษา ณ วาลการาม โดยพวกเขาจะอุปฐากบำรุงและได้อาศัยท่านบำเพ็ญกุศลต่อไป ฝ่ายภิกษุที่เป็นอนุฑูตไปกับพระเถระ ได้กลับมาแจ้งเรื่องทั้งปวงให้ภิกษุวัชชีบุตรทราบ ภิกษุวัชชีบุตรจะใช้พวกมากบีบบังคับพระเถระด้วยการลงอุปเขปนียกรรม (ตัดสิทธิแห่งภิกษุชั่วคราว) แก่ท่านได้พากันยกพวกไปล้อมกุฏิของพระเถระ แต่พระเถระทราบล่วงหน้าเสียก่อนจึงได้หลบออกไปจากที่นั้น$ G$ t1 U: t5 i) ~
          พระยาสกากัณฑกบุตรพิจารณาเห็นว่า เรื่องนี้หากปล่อยไว้เนิ่นนานไป พระธรรมวินัยจะเสื่อมถอยลง พวกอธรรมวาทีอวินัยวาทีได้พวกแล้วจักเจริญขึ้น จึงได้ไปเมองปาฐา เมืองอวันตี และทักขิณาบถแจ้งให้พระที่อยู่ในเมืองนั้น ๆ ทราบ เพื่อจะได้ร่วมกันแก้ไข และได้ไปเรียนให้พระสาณสัมภูตวาสี ซึ่งพำนักอยู่ ณ อโหคังคบบรรพตทราบและขอการวินิจฉัยจากพระเถระ พระสาณสัมภูตวาสีมีความเห็นเช่นเดียวกับพระยาสกากัณฑกบุตรทุกประการ
3 Z. e3 t# A7 k* D$ ?          ในที่สุดพระเถระอรหันต์จากเมืองปาฐา ๖๐ รูป จากแคว้นอวัตีและทักขิณาบถ ๘๐ รูป ได้ประชุมร่วมกับพระสาณสัมภูตวาสีและพระยสกากัณฑกบุตร ณ อโหคังคบพรรพต มติของที่ประชุมเห็นร่วมกันว่าเรื่องนี้จะต้องมีการชำระกันให้เรียบร้อย โดยตกลงให้ไปอาราธนาพระเรวตเถระ ซึ่งเป้นพระอรหันต์ที่เป็นพหูสูตร ชำนาญในพระวินัยทรงธรรมวินัยมาติกาฉลาดเฉียบแหลม มีความละอายบาปรังเกียจบาปใคร่ต่อสิขาและเป็นนักปราชญ์ ให้เป็นประธานในการวินิจฉัยตัดสินเรื่องวัตถุ ทั้ง ๑๐ ประการนี้* k9 H+ a) `/ W3 x2 H6 I! K. b# \
          พระสาณสัมภูตวาสีได้นำเรื่องวัตถุ ๑๐ ประการ เรียนถวายให้พระเรวตเถระทราบ และขอให้ท่านวินิจฉันทีละข้อ ปรากฏว่าทุกข้อที่ภิกษุวัชชีบุตรกระทำนั้น เป็นความผิดทางวินัยทั้งหมด จึงตกลงร่วมกันที่จะชำระเรื่องนี้ และจัดการสังคายนาพระธรรมวินัยทั้งหมด จึงตกลงร่วมกันที่จะชำระเรื่องนี้ และจัดการสังคายนาพระธรรมวินัยตามที่พระสังคีติกาจารย์ได้กระทำมาแล้วในคราวสังคายนา6 ]& g, V# {$ D$ ]& d/ C4 r
          ในที่สุดที่ประชุมของพระอรหันต์ทั้งหลายได้ตกลงกันว่า อธิกรณ์ (เรื่องที่สงฆ์ต้องดำเนินการ) เกิดขึ้นในที่ใด ควรไปจัดการระงับในที่นั้นโดยพระเรวตเถระได้ประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ขอให้สงฆ์ระงับอธิกรณ์ด้วยอพุพาหิกา คือ การยกอธิกรณ์ไปชำระในที่เกิดอธิกรณ์ สงฆได้คัดเลือกพระเถระ ๘ รูปคือ
3 _6 m2 A+ s1 W* o1 Y          - พระสัพพากามีเถระ พระสาฬหเถระ พระขุชชโสภิตเถระ พระวาสภคามีเถระทำหน้าที่แทนฝ่ายปราจีนคือพวกวัชชีบุตร ทำหน้าที่ในการวินิจฉัยอธิกรณ์
( |8 d  T" G# d6 f+ I* m  f          - พระเรวตเถระ พระสาณสัมภูตวาสี พระยสกากัณฑกบุตร เถระพระสุมนเถระเป็นตัวแทนฝ่ายเมืองปาฐา ทำหน้าที่เป็นตัวแทนฝ่ายเมืองปาฐา ทำน้าที่เป็นตัวแทนฝ่ายสงฆ์ธรรมวาที มีหน้าที่ในการเสนออธิกรณ์ต่อสงฆ์6 d" G) ~1 v4 P! C( {2 x  ^# ?, E
          สงฆ์ได้มอบหมายการสวดปาติโมกข์ การจัดแจงเสนาเสนะให้เป็นหน้าที่ของพระอชิตะ ซึ่งพรรษาได้ ๑๐ พรรษา และตกลงเลือกเอาวาลิการามหรือวาลุการาม เมืองเวสาลี อันเป้นที่เกิดเรื่องวัตถุ ๑๐ ประการ เป็นศิษย์ของพระอนุรุทธเถระ อีก ๖ รูป เป้นศิษย์ของพระอานนท์เถระซึ่งเป็นสังคีติกาจารย์สำคัญในราวปฐมสังคายนา! X" T. X* I5 o/ Z
          เมื่อพระเจ้ากาลาโศกราชรับสั่งให้พระสงฆ์ทัเง ๒ ฝ่ายประชุมร่วมกัน และขอให้แต่ละฝ่ายแถลงเหตุผลให้ทราบ ทรงโปรดในเหตุผลของฝ่ายพระอรหันต์ทั้งหลาย จึงปวารณาพระองค์ที่จะให้การอุปถัมภ์ฝ่ายอาณาจักรทุกประการ และโปรดให้ชำระมลทินพระศาสนา พร้อมด้วยการทำทุติยสังคายนา (การร้อยกรองพระธรรมวินัยครั้งที่ ๒) ที่วาลุการาม เมืองเวสาลี พระอรหันต์เข้าร่วม ๗๐๐ รูปโดยมีการทำตามลำดับดังนี้
7 T6 n0 U3 b' E! {9 [- j% C' T          ๑. พระเถระที่ได้กำหนดหน้าที่กันฝ่ายละ ๔ รูปนั้น พระเรวตเถระเอาวัตถุ ๑๐ ประการขึ้นมาถามทีละข้อ พระสัพพากามีเถระได้ตอบไปตามลำดัสว่า; |1 y& H6 R1 r! `8 P5 M
          ๑.๑ การเก็บเกลือไว้ในแขนง โดยตั้งใจว่าจะใส่ลงในอาหารที่จืดฉันเป้นอาบัติปาจิตตีย์ (จัดไว้ในจำพวกอาบัติเบา พ้นได้ด้วยการแสดง) เพราะการสะสมอาหารตามโภชนสิกขาบท0 K% h. w8 o) }4 T9 w
          ๑.๒ การฉันโภชนะในเวลาวิกาลเมื่อตะวันบ่ายคล้อยไปแล้ว ถึง ๒ องคุลี ผิดต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะฉันโภชนะในยามวิกาล4 Q9 \6 G/ B$ \( N. p" }5 G2 W3 Q$ n
          ๑.๓ ภิกษุฉันอาหารเสร็จแล้วคิดว่าจักฉันอาหารเข้าไปในบ้านแล้วฉันโภชนะที่เป็นอนติริตตะ (อาหารซึ่งไม่เป็นเดน ที่ว่าเป็นเดนมี ๒ คือ เป็นเดนภิกษุไข้ ๑ เป็นของที่ภิกษุทำให้เป็นเดน ๑) ผิดเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เพราะฉันอาหารที่ไม่เป็นเดนภิกษุไข้ และไม่ได้ทำวินัยกรรมก่อน
4 m9 x5 z# T% Q9 e- ~, |' P          ๑.๔ สงฆ์ทำสังฆกรรมด้วยคิดว่าให้พวกมาทีหลังอนุมัติทั่งที่ยังประชุมไม่พร้อมหน้ากัน ผิดหลักที่ทรงบัญญัติไว้ในจัมเปยขันธกะ ใครทำต้องอาบัติทุกกฏ  h& f. c. k) g( ?7 {% M
          ๑.๕ อาวาสแห่งเดียวมีสีมาเดียวเท่านั้น ภิกษุจะแยกกันทำอุโบสถสังฆกรรมไม่ได้ ผิดหลักที่สรงบัญญัติไว้ในอุปโบสถขันธกะ ใครขืนทำต้องอาบัติทุกกฏ
& w, Q" A/ r! H  |5 {! Q          ๑.๖ การประพฤติปฏิบัติด้วยความเข้าใจว่าอุปัชฌาย์อาจจารย์ของเราเคยประพฤติมาอย่างนี้ ไม่ถูกต้องนัก เพราะท่านเหล่านั้นอาจจะประพฤติผิดหรือถูก ก็ได้ ต้องยึดหลักพระวินัยจึงจะสมควร
) R7 f* J6 ^" P/ t) ]          ๑.๗ นมส้มที่ละความเป็นนมสดไปแล้ว แต่ยังไม่กลายเป็นทธิภิกษุฉันภัตตาหารส้มห้ามภัตรแล้ว จะดื่มนมนั้นอันไม่เป็นเดนภิกษุไข้หรือยังไม่ทำวินัยกรรมไม่ควรต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะฉันอาหารที่เป็นอนติริตตะ/ b# R) I; ]! h: i/ c* Z2 m
          ๑.๘ การดื่มสุราอย่างอ่อนที่มีสีเหมือนเท้านกพิราบ ซึ่งยังไม่ถึงความเป็นน้ำเมาไม่ควร เป็นปาจิตตีย์ เพราะดื่มสุราและเมรัย  I. X7 z5 {+ Y3 p
          ๑.๙ ผ้านิสีทนะที่ไม่มีชายภิกษุจะใช้ไม่ควร ต้องอาบัติปาจิตตีย์ซึงต้องตัดเสียจึงแสดงอาบัติตก
! K4 b9 y/ K. X+ f          ๑.๑๐ การรับเงินทองหรือยินดีทองเงินที่เขาเก็ไว้เพื่อตนไม่ควรต้องอาบัตินิสสัคคียะ ปาจิตติยะ เพราะรับทองและเงินซึ่งจะต้องสละจึงแสดงอาบัติตก/ I' U: v. A: I2 m
          ทุกข้อที่พระสัพพกามีวิสัชชนา ฝ่ายพระเรวตเถระได้เสนอให้สงฆ์ทราบทุกข้อและขอมติจากสงฆ์เพื่อให้ยอมรับว่า1 y( C/ V* v. t) q
          "วัตถุเหล่านี้ผิดธรรม ผิดวินัย เป็นการหลีกเลี่ยงต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า" และได้ขอให้สงฆ์ลงมติทุกครั้นที่พระสัพพากมีเถระตอบ มติของสงฆ์จึงเห็นว่าวัตถุ ๑๐ ประการนี้ ผิดธรรม ผิดวินัย โดยเสียงเอกฉันท์4 u5 U& K5 H# R+ C$ }
          ๒. จากนั้นพระเถระทั้งหลายจึงเริ่มสังคายนาพระธรรมวินัยตามแบบที่พระมหากัสสปเถระ เป็นต้น ได้กระทำในคราวปฐมสังคายนากระทำสังคายนาคราวนี้ใช้เวลา ๘ เดือนจึงสำเร็จ
( N- G% e! r. V! t# m$ k) b

Rank: 1

5#
มารน้อย โพสต์เมื่อ 2013-8-14 13:15 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
ต้นฉบับโพสต์โดย visutti เมื่อ 2013-8-13 23:51
( ~. A7 A' E: K; L1 Q) |ที่คุณมารน้อยอธิบายก็ถูกนะ แต่ก็ถูกในสมัยพุทธกาลนะ  ...

# A' p- k% a3 v' m- v4 |- H& `

ตามที่คุณvisutti
; v% g+ Z' M( H# s5 }. K9 mให้ความเห็นเรื่องวัดท่าซุงที่ปฏิบัติมา หากเป็นเรื่องนี้ ผมเองไปวัดท่าซุงเกือบทุกเดือน ไปที่ศาลา ๑๐๐ เมตร ก่อนเพล ก่อนเวลาที่จะมีสอนปฏิบัติกัน จากนั้นผมจะถวายสังฆทาน ชุดละ ๑๐๐ บาท จำนวน ๕ ชุด แล้วอุทิศบุญให้กับนายเวรที่มาถึงตัว ญาติที่ตายไปแล้ว กับคนที่ญาติธรรมฝากมาให้ช่วยเหลือ
- y" K% f- E3 H. X: N/ x2 Xต่อจากนั้นผมจะทำบุญเหรียญทอง อีก ๕๐๐ บาท โดยแลกเหรียญทอง ต่อจากนั้นมานั่งบริเวณ หน้าสมเด็จองค์ปฐม เพื่อตรวจสอบว่าผู้ที่เราช่วยเหลือเขามาสู่สุขติภพ หรือยัง ถ้าอยู่แล้วผมก็จะไปไหวยังจุดต่างๆ แต่ถ้ายังผมก็จะมาทำที่เหรียญทองอีก จนเขาสบายขึ้น ทำเช่นนี้เป็นประจำ ด้วยความชาญฉลาด ของพระเดชพระคุณหลวงปู่ฤาษี ลิงดำ ท่านจัดสังฆทานไว้ดีแล้วจนครบ ซึ่งประกอบด้วย อาหาร ผ้าอาบน้ำฝน เครื่องเวชภัณฑ์ และพระพุทธรูป
; K+ a" }* J, ~เมื่อผมมีโอกาส ได้เขียนหนังสือเรื่อง “ประสบการณ์วิญญาณกับการอุทิศบุญ” ก็ได้นำเรื่องของวัดท่าซุงมาเขียนไว้ในบางส่วนบางตอน ด้วยเช่นกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกอย่างก็ต้องขึ้นอยู่กับกฎไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามกาลเวลา ไม่เว้นแม้กระทั้งตัวเรา

‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-5-10 07:58 , Processed in 0.040867 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.