แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: UMP
go

ขอเชิญร่วมปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ 4-8 ธันวาคมนี้ มูลนิธินิธิกร เยื้องวัดอโศการาม [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

7..............."ใบมะขาม"
                    แม่ชีเกณฑ์ท่านถามว่าใบมะขามขังน้ำได้ไหม ด้วยความที่ไม่ค่อยได้เห็นใบมะขามจึงนึกอยู่นานและตอบท่านไปว่าใบมะขามไม่มีขอบจะขังน้ำได้อย่างไร ท่านก็บอกว่าเหมือนจิตที่เป็นอุเบกขาอยู่เป็นกลางมันจะขังอารมณ์ได้อย่างไร เมื่อมีอะไรมากระทบทางอายตนะทั้ง 6 มันรู้แล้วก็วางไม่เข้าไปสัมผัสถึงใจเหมือนกับน้ำที่อยู่บนใบบัวขังน้ำไม่ได้ ดุจดังใบมะขามก็ไม่สามารถขังน้ำได้มีแต่จะไหลผ่านไม่ได้แทรกซึมเข้าไปในเนื้อใบมะขามเลย ถามท่านว่าอุเบกขาทางโลกกับอุเบกขาทางธรรมต่างกันอย่างไรท่านยกตัวอย่างให้ฟังเช่นลูกดื้อไม่ยอมฟังเตือนก็แล้วจะทิ้งไปเลยก็ไม่ได้ จะเปลี่ยนเขาก็ทำไม่ได้ก็ต้องอุเบกขาคือวางแบบยังมีความยินดียินร้ายอยู่ ต้องบังคับให้ตัวเองวางทั้งที่ใจยังไม่วาง วางแบบยังมีอารมณ์ปนอยู่ วางแบบนี้ยังไม่ใช่อุเบกขาที่แท้จริง วางเพราะความจำยอมแต่ใจเขายังไม่ยอม เพราะอย่างนั้นเมื่อใดที่สติอ่อนความไม่อุเบกขาจึงยังแสดงตัวอยู่ อุเบกขาที่แท้จริงนั้นคือการวางที่ไม่ต้องบังคับใจไม่มีแม้อารมณ์ใดเจือปนรู้แล้วก็วางลงทันทีในขณะนั้น แต่ทุกอย่างก็ไม่เที่ยงวันใดที่ทิ้งการดูแลใจของตัวเองอารมณ์ก็เกิดขึ้นมาอีก แม่ชีเกณฑ์ท่านจึงบอกเสมออย่าได้ประมาทเราเผลอเมื่อใดมันก็ขึ้นมาเมื่อนั้น ประมาทไม่ได้ไปจนวินาทีสุดท้ายที่สิ้นลม ท่านถามว่าแล้วอย่างนี้เราจะทิ้งการปฏิบัติได้หรือ การปฏิบัติไม่ใช่แค่นั่งหรือเดินวันละชม.แต่หมายถึงทุกลมหายใจเข้าออก ในแต่ละวันหากเราไม่ได้ปฏิบัติแบบเต็มรูปแบบ อย่างน้อยๆเราต้องรู้ทุกขณะว่าใจเราเป็นเช่นไร

Rank: 1

8..........เรื่องเล่าจากผู้ที่ปฏิบัติเองที่บ้านและส่งอารมณ์กับท่านทางโทรศัพท์                     
                แม่ชีเกณฑ์ท่านสอนให้เราคลายทุกข์ด้วยวิธีง่ายๆคือชี้ให้เห็นการเกิดดับ เราเดินจงกรมตามปกติไม่มีคำบริกรรมท่านสอนเดินให้ช้าลง ขายกขึ้นแล้วหยุด ไปต่อแล้วหยุด ท่านเน้นให้การรับรู้การหยุดและการไปของขาเกิดขึ้นในขณะเดียวกัน เราเห็นความคิดเกิดขึ้นแล้วดับไป ใจที่สั่งให้ไปเกิดขึ้นแล้วดับ เรารอให้คำสั่งดับไปก่อนแล้วเราจึงก้าวขาเพื่อให้การรับรู้กับขาที่ก้าวเกิดขึ้นพร้อมๆกัน เราเห็นการรับรู้เกิดขึ้นขณะก้าวเท้าแล้วดับลงขณะที่หยุดเท้าในแต่ละจังหวะ เกิดดับๆอยู่อย่างนั้น ใจรู้สึกเย็นขณะที่เท้าหยุดพอความคิดเกิดขึ้นเราหยุดค้างไว้เราเห็นความคิดดับ เราลืมเรื่องทุกข์ใจหมดเสียสิ้นขณะเดินจงกรม ค่อยๆถอนวันละนิดจนเหลือน้อยมาก                           
ท่านมีคำถามให้เราฉุกคิดด้วย ท่านถามว่าเสียงมาหาหูหรือหูไปหาเสียง ตั้งแต่นั้นเราสังเกตการได้ยินเสียงของหูเพื่อหาคำตอบนี้ให้แน่ใจโดยที่เราไม่รู้ตัวเองเลยว่าลืมเรื่องที่ทุกข์ใจอยู่ เราตอบท่านว่าพอได้ยินเสียงใจก็วิ่งไปที่เสียงนั้นท่านบอกให้กลับไปดูให้ดี เรากลับไปดูใหม่แล้วพบว่าหูเป็นแค่ทางผ่านของเสียงไม่อาจเลือกฟังแต่เสียงที่ถูกใจได้ เราพบว่าใจนี่แหละเป็นผู้ที่เข้าไปรับรู้ การได้ยินเกิดขึ้นที่หูรับรู้แล้วก็ดับ ไปรับรู้เสียงใหม่อีกไม่มีเสียงไหนค้างอยู่ได้นานเสียงทุกเสียงเกิดแล้วดับอยู่อย่างนั้น เรารู้แล้วว่าการได้ยินเกิดขึ้นที่หูไม่ต้องส่งใจไปไว้ที่ต้นกำเนิดเสียงให้เหนื่อย เอาแค่ที่หูนี้ก็พอแล้ว ภาพที่เห็น จมูกที่ได้กลิ่น ผิวที่เย็นล้วนแต่เกิดในบ้านไม่ต้องวิ่งออกไปก็ได้ แต่ต้องฝืนไม่ส่งใจออกไปรับรู้นอกบ้าน                  เราพบว่าเสียงเขามาแล้วเขาก็ไปไม่มีเสียงไหนตกค้างอยู่ได้เลยมันเกิดขึ้นแล้วก็ดับในขณะนั้น ท่านก็ถามอีกว่าเสียงที่เขาว่าเขาตำหนิมันเกิดแล้วมันก็ดับไปแล้วแล้วอะไรมันจะเหลืออยู่ เราจะเอามานั่งคิดอยู่อีกทำไมมันดับลงไปตั้งนานแล้ว เราคิดตามอืมใช่เสียงเขาดับไปตั้งแต่ปีที่แล้ว แล้วอะไรล่ะที่มันดังอยู่ในใจเราไม่ใช่เสียงเขานี่เสียงของความคิดของเราต่างหาก คนที่ทำให้เราทุกข์ตอนนี้ไม่ใช่เขาแต่เป็นตัวของเราเองที่ทำให้ทุกข์ เราเริ่มหาเหตุที่ตัวเองทุกข์ใจได้แล้ว

ติดตามอ่านรวมเรื่องเล่าจากผู้ปฎิบัติธรรมท่านอื่นๆที่เคยนำมาลงแล้วได้ที่   http://pantip.com/topic/30892856    ขอบคุณค่ะ

Rank: 1

9............คัดมาจากบางส่วนการตอบคำถามทางอีเมมล์
            
             3.ที่นั่งสมาธิตัวหายแต่ข้างในรู้อยู่ การนั่งสมาธิที่ดีต้องมีสติรับรู้กายอยู่ครบถ้วน รู้ว่ายังมีร่างกายอยู่ รู้สิ่งที่เข้ามาสัมผัสกาย รู้ความรู้สึกที่เกิดกับร่างกายทุกๆส่วน ที่นั่งแล้วหายไปจิตไปจดจ่ออยู่ที่สมาธิมากเกิน นั่งแล้วจะรู้สึกสงบเย็นจะกลายเป็นติดสุขไป เราต้องนั่งให้มีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ทำไมต้องให้มีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาเพราะเราจะได้เห็นความจริงที่เกิดขึ้นกับกายนี้ ความปวดที่เกิดจากการนั่งนาน เห็นการเกิดดับทั้งความคิดที่จรเข้ามาและการรับรู้ทางกาย เห็นทั้งความทุกข์ความไม่เที่ยงเพราะทุกสิ่งที่เกิดมีแต่เกิดแล้วดับเห็นความเป็นอนัตตาเพราะทุกสิ่งแสดงให้เราเห็นแล้วว่ามันบังคับไม่ได้ ขาห้ามปวดก็ไม่ได้ ความคิดห้ามเกิดก็ไม่ได้ การรับรู้ห้ามรู้ก็ไม่ได้ ความง่วงก็ยังห้ามไม่ได้เลย นั่งแบบรู้ทุกอย่างกับนั่งแล้วตัวหายสงบเย็นอย่างไหนจะได้ประโยชน์กว่ากัน ความจริงนี้ไม่ใช่หรือที่จะพาเราพ้นทุกข์ได้                  
             หากนั่งแล้วเกิดภาวะเช่นนี้ให้ถอยออกมารู้ตัว ยืดหลังให้ตรง ตั้งสติใหม่ หรือยังเป็นอีกเมื่อเกิดภาวะเช่นนี้ให้ลุกเดิน หากเป็นทุกครั้งที่นั่งให้ลองเดิน 5 นาที นั่ง 5 นาที สลับไปมาอย่างนี้ เป็นการกระตุ้นการรู้ตัวให้ต่อเนื่องไม่ขาดตอน พอเลิกปฏิบัติเราจะรับรู้ถึงความหนักแน่นของจิตใจ ใจจะมีพลังมากกว่าการนั่งแล้วตัวหายไป พอดีขึ้นเราก็ขยับเวลาขึ้นไปอีก                       4. จะฝึกแบบช้าหรือเร็วก็ลงที่จุดเดียวกันคือการรู้ตาม ช้าเราก็รู้จะเร็วเราก็รู้ เพียงแต่ให้เราสังเกตตัวเอง หากแบบตามรู้เฉยๆมันค่อนข้างเร็วกว่าแบบตามรู้ทีละจุดใจของเราเป็นอย่างไร มันร้อนหรือมันเย็น แล้วพออารมณ์มันเกิดขึ้นเราเอามันทันไหม ใจมันดิ้นไหมเมื่อเจอเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจเช่นเวลาขับรถ หากสติเรายังไม่ทันกับใจ เราก็ต้องฝึกให้สติให้ทันกับใจและก็ต้องหาวิธีการดึงใจให้มันช้าลง                  
                         การฝึกแบบช้าๆเป็นการฝึกความทนได้ของใจ ให้ทนกับไฟที่มาเผาใจ เมื่อเราเย็นลงแล้วมีความทนได้ต่อทุกเหตุการณ์ใจเขาก็จะวางลงเอง ไม่ต้องไปจับจ้องทุกจุดอย่างตั้งใจ แต่เขาจะรับรู้ของเขาเองทุกจุดเพราะชำนาญแล้ว สุดท้ายเขาก็จะตามรู้เฉยๆโดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวแต่ว่าจะได้กำไรอีกนิด เขาจะตามรู้อย่างละเอียดเพราะเขาเคยผ่านการฝึกการตามรู้แบบละเอียดช้าๆทีละจุดมาแล้ว ทุกวิธีสุดท้ายก็ลงที่จุดเดียวกันขึ้นกับการพลิกแพลงของเราจะใช้วิธีใดก่อนให้เหมาะสมกับเหตุการณ์                       
             อย่างเช่นเดินแล้วคิดแล้วคิดอีกเรื่องเดิมไม่ยอมหยุด เราก็ต้องเดินให้ช้าลง เพิ่มจุดรับรู้ให้ถี่ขึ้น หรือจะบริกรรมไปด้วยเช่นการหนอ เช่น เดิน 6 จังหวะถ้าฟุ้งมากก็ออกเสียงดังหรืออกเสียงในใจหรือไม่มีคำเรียกเหลือเพียงแต่จังหวะ ยกส้นแล้วหยุดค้างไว้ดูใจตัวเอง มันดิ้นไหม หรือมันสั่งให้ไปต่อ พอมันดับเราก็ยกเท้าแล้วหยุดค้างไว้กลับไปดูใจอีก ทำอย่างนี้ทุกจังหวะ ต่อให้คิดพันเรื่องมันก็ต้องหยุดเพราะมันเข้ามารับรู้เวทนาที่เกิดขึ้นที่เท้าที่ค้างไว้ ขาที่เกิดอาการเกร็ง มันต้องเข้ามาดูใจที่มันดิ้นเพราะมันทนไม่ไหว                  
                         ยิ่งใจดิ้นทนไม่ได้เรายิ่งต้องฝืน ก็เพราะเราฝืนมันดิ้นไม่ได้ไม่ใช่หรือที่ทำเรื่องเดือดร้อนใจให้เรา มันหยุดดิ้นเมื่อไหร่หรือเลิกฟุ้งหนักๆเราก็กลับมาเดินตามรู้ตามปกติก็ได้ สิ่งสำคัญให้ใจรับรู้ทันปัจจุบันกับจังหวะของเท้า การเห็นทันปัจจุบันคือสิ่งที่สำคัญ เพราะเราจะเห็นทันเขาเกิดขึ้นและดับลง การเห็นการเกิดดับคือจุดเริ่มต้นของการวิปัสสนา หากเย็นลงเราไม่ต้องค้างนานก็ได้ให้เหลือแต่จังหวะเพื่อให้มีการรับรู้ถี่ขึ้น แล้วเราจะเห็นความคิดโผล่มาแล้วก็ดับลงไปทั้งๆที่เรายังรับรู้จังหวะของเท้าอยู่เลยทำ                        
               วิธีไหนก็ไม่ผิดขึ้นกับปัญญาของเราว่าจะใช้อาวุธไหนเมื่อใด หลายคนบอกว่ายิ่งเดินแบบนี้ยิ่งไม่สงบเพราะใจมันดิ้นที่ถูกขัดใจ ยิ่งดิ้นยิ่งไม่สงบเลยสรุปไปว่าแบบนี้ไม่เหมาะกับตัวเองไม่สงบ ไปหาวิธีที่ใจชอบพอมันไม่ดิ้นเราก็เลยรู้สึกสงบแต่จริงๆแล้วเท่ากับเราเลี้ยงใจที่จอมดื้อเอาไว้ ใจมันดิ้นได้มันก็ดับได้ มันเกิดดับอยู่ทุกขณะ ลองสักพักใจมันเริ่มชินมันก็จะหยุดดิ้นเอง พอไปเจอเหตุการณ์ที่มันเคยดิ้นมันกลับไม่ดิ้นเพราะมันถูกฝึกให้ทนได้มาแล้ว เมื่อใจหายพยศแล้วใครล่ะจะสร้างความเดือดร้อนให้เรา      
               สิ่งหนึ่งที่อยากจะแนะให้ทำในช่วงที่ได้เริ่มปฏิบัติทุกวันให้เพลาการอ่านหนังสือลงสักระยะหนึ่งหรือหยุดไปเลยเพราะในช่วงแรกนั้นการมองการเห็นสิ่งต่างๆในธรรมชาติเราจะขาดความเป็นตัวของตัวเอง จะคิดอ่านอะไรให้เป็นธรรมะก็ยังรู้สึกติดๆขัดๆต้องแบบนั้นแบบนี้ตามตำรา ต่อให้ออกมาดีแต่ก็ยังไม่โดนใจเราจริงๆ หรือเดินไปก็จะมีประโยคนั้นคำนี้ขึ้นมาในหัวซึ่งเป็นคำที่ได้อ่านมาได้ยินมา สัญญาความจำมักจะออกมาตอนเราเดินจงกรมกว่าจะหมดก็เกือบสองเดือน ให้เราหันมาอ่านใจตัวเองมาฟังเสียงใจของตัวเองดีกว่า ดูมันทั้งวันมันคิดอะไร มันอยากอะไร มันบอกอะไรเรา เมื่อเรารู้จักใจตัวเองความเป็นธรรมชาติเป็นตัวของตัวเองที่แท้จริงก็จะเกิดขึ้นกับเรา จะคิดจะอ่านก็เป็นในแบบฉบับของเรา ถึงแม้เริ่มแรกยังดูขัดๆแต่นานไปเขาจะเข้าที่เข้าทางของเขาเอง วางสักช่วงหนึ่งแล้วค่อยกลับมาอ่านเราจะอ่านโดยเข้าถึงมากกว่าทุกวันนี้

Rank: 1

10............เล่าประสบการณ์ตรงจากผู้ที่ป่วยเป็นโรคร้าย      

                   เราพบก้อนที่เต้านมซ้ายและบางเวลามีอาการเจ็บแต่ไม่มาก  ตัดสินใจเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาล หลังจากทำแมมโมแกรมและอุลตร้าซาวด์แล้ว หมอเชื่อว่าน่าจะเป็นมะเร็ง แต่ต้องยืนยันด้วยการเจาะเอาชิ้นเนื้อไปตรวจ ขณะที่ได้ยินเสียงคุณหมอ ใจเราไม่มีอาการตกใจ กังวล หรือสะดุ้งสะเทือนใดๆเลย เหมือนฟังหมอพูดถึงอาการป่วยของคนอื่น เราตัดสินใจไม่ทำการรักษาแผนปัจจุบันต่อ โดยเลือกที่จะใช้สมุนไพรร่วมกับการปฏิบัติธรรมแทน         
                   ขณะนั่งรอชำระเงิน ท่านแม่ชีที่นับถือมากโทรมาถามข่าวคราวพอดี เรากราบเรียนตามที่หมอพูดและเล่าถึงความตั้งใจในการรักษา พร้อมทั้งกราบเรียนท่านว่าความรู้สึกเหมือนถ้าอยู่แล้วเกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่นเราก็อยากอยู่ แต่ถ้าอยู่แล้วไม่เกิดประโยชน์เลยเราก็พร้อมจะไป เพราะไม่ไปวันนี้ก็ต้องไปวันหน้าอยู่ดี ท่านแนะให้อธิษฐาน "หากโรคหายก็ขอถึงซึ่งคุณพระรัตนตรัยตลอดชีวิต และขอทำงานรับใช้พระศาสนา นำพาผู้คนเข้าทางธรรม"  เรากราบเรียนท่านแม่ชีว่า "ถ้าโรคร้ายเขาจะอยู่ หนูก็จะไปเอง" ข้างในใจสบายเหมือนความตายเป็นเรื่องธรรมดา      
                    ย้อนกลับไปเพียงไม่กี่วันก่อนที่จะรู้ว่าป่วย ท่านแม่ชีชี้แนะและให้อุบายในการปฏิบัติ ทำให้เราเห็นแล้วว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนในเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นอย่างไร ทุกสิ่งเป็นเพียงสิ่งเกิด-ดับ ไม่มีตัวตนถาวร ไม่มีเรา ไม่มีใคร  แล้วหลังจากนั้นใจเราก็เปลี่ยนไปมาก มารู้ว่าใจเปลี่ยนไปมากจริงๆ ก็ตอนที่มาตรวจแล้วหมอคาดว่าน่าจะเป็นมะเร็งนี่แหละ  ไม่มีเรื่องใหญ่โตจนทำให้ใจดวงนี้ทุกข์มากอีกแล้ว        
                    ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราวันนี้เกิดเร็วขึ้นกว่านี้ วันที่ใจยังยึดมั่นถือมั่นอย่างเหนียวแน่น เราก็ต้องทุกข์มาก และสมมุติว่าเรามีเงินเป็น100ล้าน1000ล้านก็ตาม เราก็ต้องทุกข์มากอยู่ดี แต่มันจะไม่ใช่เพียงเท่านั้น คนรอบข้าง คนใกล้ชิดต้องทุกข์ไปกับเราหมด ถึงแม้เราจะปิดบังไม่ให้รู้ก็ตาม เพราะความทุกข์ของเรา ความซึมเศร้าของเราที่มันจะต้องโชยออกมาให้คนใกล้ชิดได้รับรู้ เราจะเหมือนคนตายทั้งเป็นทั้งที่ยังไม่ตาย ตายทางอารมณ์อย่างสนิท ไร้เรียวแรงที่จะทำอะไร แต่วันนี้ สำหรับเราแล้วไม่มีวันพิเศษ ไม่มีวันเลวร้าย มีแต่ทุกขณะที่เราจะทำประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านอย่างเต็มกำลังเท่าที่เราจะทำได้      
                    เรายังคงเป็นลูกที่ดูแลแม่ยามไม่สบาย หน้าที่เราเป็นคนพาไปหาหมอ เรายังคงรดนำต้นไม้ ทำงานจุกจิกตามหน้าที่เหมือนเดิม โดยมีสติตามรู้และหากเผลอมีความยินดียินร้ายเกิดขึ้น ก็มีสติให้รู้เท่าทัน เพื่อให้ใจกลับมาเป็นปรกติ สงบเย็น เป็นสิ่งที่เราถือว่าเป็นประโยชน์ตนที่เราจะยังใช้ชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท และเราก็นำตัวเองเป็นแบบอย่างของความไม่เที่ยง แบ่งปันประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรมให้กับผู้ที่สนใจ ให้คนที่เรารู้จักหันมามองอีกมุมนึงของชีวิตกันบ้าง ซึ่งเป็นมุมที่ทุกคนต้องเจอไม่วันใดก็วันนึง เป็นสิ่งที่เราถือว่าเราได้ทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นบ้าง      
                    ใจเรามาถึงวันนี้ได้ เกิดจากการแบ่งปันจากหลายๆท่าน เรารู้สึกมันเป็นความสวยงามของโลกใบนี้ ที่ยังไงเราก็เกิดมาแล้ว เราจึงอยากจะแบ่งปันเรื่องราวของเราด้วยเช่นกัน เผื่อว่าบางคนที่เขายังทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เขาจะได้รู้ว่าเขาไม่จำเป็นต้องทุกข์ไปตลอดชีวิต มีทางออกจากทุกข์นี้ตามที่พระพุทธองค์ท่านทรงสอน เพื่อที่ว่าเขาจะยังคงอยู่กับโลกใบนี้ได้อย่างสงบเย็นในทุกๆขณะ เท่าที่เวลาในชีวิตนี้ของแต่ละคนจะเอื้ออำนวย        

Rank: 1

11........."ความฉลาดอยู่ที่ไหน"                  

บอกกับแม่ชีเกณฑ์ท่านว่าตอนนี้ใจรู้สึกพอแล้ว ท่านถามว่าพอกับอะไรพอกับการปฏิบัติหรือ เรารีบตอบในทันทีว่าไม่ใช่การปฏิบัติ แต่เราพอเราไม่ต้องการฉลาดไปมากกว่าที่เป็นอยู่ ไม่คิดอยากจะไปหาหนังสืออ่านเพื่อทำให้ตนเองฉลาดขึ้น ท่านถามขึ้นว่าแล้วคิดว่าความฉลาดอยู่ตรงไหน เราตอบไปภาษาซื่อว่าก็อยู่ในตัวของเรา ท่านบอกว่ายังไม่ใช่ให้ตอบให้ตรงคำถาม เราคิดคำตอบใหม่เราคิดว่าความฉลาดอยู่ที่หนังสือเพราะคิดว่าถ้าไปอ่านหนังสือแล้วจะฉลาดขึ้น ท่านก็ยังคงตอบว่าไม่ใช่ เราจึงตอบไปใหม่ว่าความฉลาดอยู่ที่จิตอยู่ในตัวของเราอยู่ที่ความมีไหวพริบ ท่านก็ยังคงตอบว่าไม่ใช่ แล้วถามกลับว่าแล้วความฉลาดอยู่ตรงไหนในตัวของเรา ครั้งนี้เราไม่ตอบแต่ถามกลับท่านว่าแล้วท่านคิดว่าความฉลาดอยู่ตรงไหน ท่านบอกหากให้ท่านตอบท่านจะตอบว่าความฉลาดอยู่ที่รู้เท่าทันปัจจุบัน ได้ยินเพียงแค่นี้เราลงให้กับคำตอบของท่านอย่างหมดใจ                               
ใช่มองย้อนกลับไปความฉลาดหาใช่อยู่กับการอ่านมาก เราเคยอ่านมามากแต่หาช่วยตัวเองได้เมื่อมีความทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส แต่สิ่งที่ท่านสอนคือให้รู้เท่าทันปัจจุบันอยู่ทุกขณะต่อเนื่องให้นานที่สุด รู้ให้ทันปัจจุบันว่าเกิดอะไรขึ้นทั้งที่กายและที่ใจ ทั้งดีและไม่ดี รู้แล้ววาง รู้แล้วละ รู้แล้วอย่าไปปรุงต่อ รู้แล้วอย่าไปคิดต่อ รู้แล้วดับลงทุกขณะจิต สิ่งนี้ต่างหากที่พาเราพ้นจากกองทุกข์นั้นมาได้ คำตอบของท่านทำให้การใช้ชีวิตในวันนี้มีความตื่นตัวขึ้นอีกครั้ง ใจเราอยู่กับทุกการเคลื่อนไหวของกายและใจ เรารู้สึกสนุกกับทุกย่างก้าวในบ้านแม้จะเป็นบ้านแคบๆ ไม่ได้เดินจงกรมแต่กลับรู้สึกเหมือนอยู่บนทางจงกรม 

Rank: 1

12........."คำถามลองใจ"               

แม่ชีเกณฑ์ท่านเล่าให้ฟังว่าขณะที่ท่านไปอยู่ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ขณะนั้นวัดพระพุทธบาทป่างแฟนอยู่กำลังสร้างวิหาร ขึ้นเสาไว้แล้วแต่ยังไม่มีหลังคา มีพระองค์หนึ่งเดินทางมาจากกรุงเทพฯเข้ามาพบท่านและบอกว่าท่านมีเวลาไม่มากนักท่านหาวัดที่จะทำบุญด้วย รู้มาว่าที่นี่มีแม่ชีผู้ปฏิบัติดีอยู่ ท่านมีคำถามสั้นๆให้ตอบหากตอบได้ท่านจะเป็นเจ้าภาพหลังคา                                             
ท่านถามว่า 84,000 พระธรรมขันธ์ ย่อลงมาให้ตอบแค่ 2 ข้อและให้อธิบายสั้นๆ แม่ชีเกณฑ์ท่านตอบว่า 84,000 พระธรรมขันธ์ อธิบายย่อๆแค่ 2 ข้อคือสิ่งที่เที่ยงกับสิ่งที่ไม่เที่ยง สิ่งที่เที่ยงคือพระนิพพาน สิ่งที่ไม่เที่ยงคือทุกข์ขัง อนิจจัง อนัตตามีแต่ความแปรปรวน ย่อลงมาเหลือเท่านี้ พระรูปนั้นพอใจในคำตอบของท่านและให้ไปสั่งของที่ร้านได้เลย แล้วท่านก็จากไป

Rank: 1

13.............."กว้างสามภูเขา ยาวหกศอก แคบหนึ่งคืบ"                  
แม่ชีเกณฑ์ท่านเคยถามว่า กว้างสามภูเขา ยาวหกศอก แคบหนึ่งคืบ ใน 3 อย่างนี้จะเลือกเอาอะไร ท่านเล่าว่ามีปราชญ์ถามท่านดังนี้ซึ่งขณะนั้นท่านอยู่เชียงใหม่ ท่านตอบว่าท่านเลือกแคบหนึ่งคืบ แคบหนึ่งคืบของท่านหมายถึงใจ ใจเรากว้างหาที่สุดประมาณไม่ได้ ผู้คนต่างพากันไปค้นหาในที่ต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ ที่ไหนดีก็ไปที่นั่น อยู่ใกล้อยู่ไกลทางจะยาวจะสั้นก็ไปหมด ไปปฏิบัติตรงนั้นตรงนี้แล้วจะบรรลุ ที่ไหนได้ไม่บรรลุใจตัวเอง ไม่รู้เท่าทันใจตัวเอง ความคิดความปรุงแต่งอยู่ที่ใจตัวเอง แคบหนึ่งคืบทำไมไม่ดูตรงนี้ ใช่ทุกวันนี้เราได้พิสูจน์คำของท่านแล้ว เราอ่านใจของตัวเองไม่มีวันจบ เราหยุดที่จะออกไปค้นหาเพราะเราพบแล้วว่าสิ่งที่เราค้นหานั้นอยู่ที่ใจดวงนี้เอง

Rank: 1

https://www.facebook.com/profile ... 2950&ref=ts&fref=ts    ติดต่อสอบถามรายละเอียดหรือมีคำถามถามท่านได้ทางเฟสบุค

Rank: 1

14.............  "โกรธวันละ 100 ครั้ง"               

 บอกกับท่านแม่ชีเกณฑ์ว่าปฏิบัติมาตั้งหลายเดือนแล้วแต่ยังโกรธอยู่ เวลาออกนอกบ้าน เวลาเจอเหตุฉุกเฉินก็เอาไม่อยู่ ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ท่านจึงเล่าเรื่องหนึ่งขึ้นมาผู้ปฏิบัติธรรม: แม่ชีค่ะ ดิฉันอยากจะปรึกษาคุณแม่ว่า ดิฉันมีความท้อถอย ไม่อยากจะปฏิบัติเลย ดิฉันปฏิบัติมานานแล้ว ไม่มีความหวัง เวลาดิฉันโกรธ ดิฉันมีอารมณ์ร้ายมาก น้องๆเขาก็ว่าทำไม ดิฉันไปวัดบ่อย ทำไมถึงยังโกรธอยู่ ดิฉันไม่รู้จะเอาคำตอบไหนไปตอบน้องๆเขา ดิฉันอายเขาจนดิฉันท้อถอย ดิฉันไม่มีคำตอบ ไม่อยากปฏิบัติแล้วแม่ชีเกณฑ์ : ให้คุณไปบอกน้องๆนะ คำตอบของคุณเขาจะไม่ว่าอะไรเลย  ให้คุณไปบอกว่า เพราะพี่มันเป็นคนที่มีโมหะ มีอัตตา มีตัวตน มีทิฐิมานะ มีความโกรธอันแรงกล้ามาก่อน ด้วยจิตอันหยาบคายมาก่อน ไม่เหมือนพวกเธอ พวกเธอมีพื้นฐานมาดี ได้สะสมมาดี ได้เอาออกมาแล้ว แต่พี่ไม่เคยเอาออกเลย เพิ่งเอาออกชาตินี้ละมั้ง ก็เลยต้องไปวัดบ่อย ไปแล้วก็พยายามที่จะไปลดไปละ มันโกรธวันละ 100 ครั้ง ก็จะให้มันเหลือ 99 ครั้ง มันโกรธ 99 ครั้งก็พยายามจะลดมันทีละเล็กทีละน้อยจนมันขาดสะบั้น พี่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ตราบใดที่พี่ยังไม่เป็นอรหันต์ พี่ก็จะโกรธพวกเธออย่างนี้ร่ำไป                     เขาบอกท่านว่าอยากออกมาปฏิบัติอย่างจริงจัง ถามท่านว่าใช้เวลานานไหม ท่านตอบว่า "ใช้เวลา 3 เดือนจึงจะฆ่าอัตตาตัวตนที่คุณเห็นได้ ถ้าคุณไม่เดือดร้อนคุณก็ออกมาเสีย ถ้าคุณแก่แล้วอายุ 60 คุณจะเดินจะนั่งได้ไหม ถ้าคุณตายวันนี้ คืนนี้จะได้ปฏิบัติไหมนั่น" เขาเลยออกจากงานมาปฏิบัติกับแม่ชีเกณฑ์ ซึ่งขณะนั้นมีอายุ 49 ปี และเขาก็ลดทิฐิมานะอัตตาตัวตนลงได้ เห็นความร้อนของตนเอง ลดจิตที่ร้อนเป็นโทสะลงได้                                     
แม่ชีเกณฑ์ท่านบอกเสมอว่าอย่าประมาท ถ้าเผลอสติไม่รู้เท่าทัน ปัญญาไม่ทันก็จะถูกครอบงำความมีตัวตนจะเกิดขึ้นได้อีก ให้สติต่อเนื่องและหนาแน่นเหมือนกำแพงปูนหนาๆไม่ใช่เท่ารูขุมขนเพราะมันยังมีรูให้ความมีตัวตนแทรกขึ้นมาได้ ยามใดที่ขาดความเพียรแม้มันจะหายไปจนเราชะล่าใจ วันดีคืนดีมันก็กลับขึ้นมาได้อีก

Rank: 1

15...........การเดินทางตอนที่ 4                   

เมื่อเริ่มต้นไปวัดทุกวัน เกิดความมานะพยายามรีบทำงานทุกอย่างให้เสร็จเพื่อไปวัดให้ทันในตอนบ่าย ยิ่งออกมาเดินนอกศาลายิ่งชอบบรรยากาศในวัด  ขณะนั้นเดินจงกรมแบบพุทโธไปด้วย เดินแบบปกติทางจงกรมยาวประมาณ 20 ก้าว นานวันยิ่งกลับพบว่ายิ่งเดินเร็วใจยิ่งร้อนไม่เห็นจะเย็นได้เลย                               
เดินเร็วก็เกิดความเบื่อแม้จะพุทโธไปด้วยเหมือนไม่ช่วยอะไรเลย เดินตั้งหลายรอบแล้วยังไม่ถึงครึ่งชม.เลย คิดหาวิธีให้ตัวเองหายเบื่อด้วยการเดินไม่ให้เหยียบใบไม้บ้าง ตอนที่เดินในศาลาบอกว่าแคบเดินไม่ได้ พอออกมาข้างนอกบอกว่าแคบอีก ขยายเส้นทางเดินกว้างออกไปอีก ขนาดนั้นยังหยุดความอยากของใจไม่ได้ ทำอย่างไรก็ยังรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้า เดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงชม.สักที                                     สุดท้ายเดินแบบนับรอบจงกรมให้ได้ 20 รอบและเดินพุทโธช้าๆเพื่อฆ่าเวลา พบว่าการเดินช้าขึ้นกลับทำให้ใจเย็นลงได้ ใจไม่ไปพะวงกับเรื่องเวลา หลวงพ่อและคนอื่นๆบอกให้เดินตามปกติแต่เรารู้สึกอย่างนี้ หลวงพ่อท่านบอกว่าในชีวิตจริงเราเดินแบบปกติก็ต้องฝึกสติในท่าเดินจริงๆ การเดินแบบไหนเหมาะกับเรา เราคิดถูกหรือผิด ใครหนอจะให้คำตอบเราได้  คิดถึงแม่ชีเกณฑ์แต่ช่วงนั้นยังติดต่อท่านไม่ได้                                    
ครึ่งเดือนแรกคิดว่าท่านคงไม่ว่างเพราะต้องไปกรุงเทพฯ ท่านกลับมาแล้วจึงโทรหา เริ่มแรกที่คุยไม่พูดอะไรมากถามท่านตรงประเด็นเลยว่าตัวเองรู้สึกว่าการเดินช้าทำให้ใจเย็นลง และเหมาะกับการเดินแบบไหน ขอคำชี้แนะจากท่าน                              ท่านตอบว่าการเดินช้าๆเป็นการขัดกิเลส และท่านถามต่อว่าเดินแบบไหนพุทโธหรือไม่มีอะไรเลย บอกท่านว่าบริกรรมพุทโธ  ท่านบอกให้สังเกตเวลาเดิน เท้ายกขึ้น คำว่าพุทกับการรับรู้ที่เท้ายกขึ้นให้เกิดขึ้นพร้อมๆกัน และก่อนเท้าจะลงให้หยุดไว้ก่อน จะเห็นคำว่าโธผุดขึ้นในใจให้มันดับไปก่อนแล้วค่อยเอาเท้าลงพร้อมคำว่าโธ ให้การรับรู้ทั้งที่เท้าและคำว่าโธเกิดขึ้นพร้อมๆกัน                                     
ทำตามที่ท่านบอกเห็นคำว่าโธผุดขึ้นก่อนที่เท้าจะลงเสียอีก ไม่ทำตามมัน ค้างเท้าไว้แล้วเราเห็นคำว่าโธดับลงไป แล้วจึงเอาเท้าลงพร้อมคำว่าโธที่ตั้งใจเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งเพื่อให้เกิดดขึ้นพร้อมๆกัน เราเห็นใจที่มันสั่งให้ไปข้างหน้าแต่เราไม่ทำตามมัน แล้วมันก็ดับลง ตอนเย็นท่านโทรมาสอบอารมณ์ทุกวัน ท่านบอกต่อว่าถ้าความคิดเกิดขณะยกเท้าให้หยุดค้างไว้หรือความปวดเกิดขึ้นก็ให้หยุดค้างไว้ ท่านไม่บอกว่าทำไม  พอเริ่มเดินช้าไม่เหมือนคนอื่นจึงพาตัวเองไปเดินไกลๆ ได้ทำเลเหมาะเป็นฮวงซุ้ยของคนจีนอยู่บนเนินเขาติดกับชายป่าห่างศาลาวัดเข้าไปอีก ไม่มีความรู้สึกว่าที่นี่น่ากลัวแต่กลับเย็นเพราะมีไอเย็นออกมาจากป่า ไม่มีใครจะเดินท่าไหนใครก็คงไม่ถาม                                  
เริ่มเดินอย่างที่ท่านบอกพอมีความคิดเกิดขึ้นหยุดค้างไว้เราเห็นความคิดดับลง เราไม่กลัวมันแล้วเป็นครั้งแรกที่ไม่กลัวความคิดเกิด พอปวดขาก็หยุดค้างไว้เราเห็นความปวดดับลงไป ปวดมันไม่ได้อยู่กับเราตลอดมันก็มีช่องว่างเหมือนกัน แม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าการเห็นการเกิดดับนี่ละ เป็นต้นทางของการวิปัสสนา

‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-5-4 08:29 , Processed in 0.029707 second(s), 13 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.