แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: UMP
go

ขอเชิญร่วมปฏิบัติธรรมเนื่องในวันมาฆบูชา 13-16 กพ. 57 มูลนิธินิธิกร บางปู สมุทรปราการ [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

"รู้ปัจจุบันที่แม่ว่าคืออะไรค่ะ"

" ถ้าทุกข์เกิดขึ้นมาในใจ โกรธขึ้นมาในใจ ก็ให้รู้ว่ามันโกรธ แล้วก็ใช้ปัญญาดับมันทัน ทุกข์เกิดขึ้นให้รู้เท่าทันแล้วก็วางมันหรือปล่อยมันไป ก็เหมือนว่าปล่อยให้มันดับไป  รู้เท่าทันมันโกรธ มันเกลียด มันพยาบาท มันอาฆาต มันพอใจ รัก ชอบ ชัง ให้คุณรู้หมด รู้แล้วคุณก็วางมัน อารมณ์มันดีคุณก็อย่าไปหลงมัน "

Rank: 1

*******สิ่งที่อาจต้องเตรียมไป******

ที่นี่เปิดปฏิบัติธรรมเฉพาะกิจ ของใช้บางส่วนต้องเตรียมไปเอง หมอนนิ่มๆ เพราะที่มีเป็นหมอนแข็งแบบทางอีสาน ผ้าห่มอาจเป็นผ้าคลุมบางๆหรือผ้าขนหนูผืนใหญ่ก็ได้ ผ้าปูนอน เสื่อพอจะมีหรือใครมีรถสามารถนำติดไปได้  มุ้งมีให้ประมาณ 30 หลัง หากไม่พอมีบริการขายหลังละ 250-300 กว่าบาท ถ้ามีนำติดไปด้วยได้ค่ะ

หากใครมีเต้นท์สามารถนำไปกางนอนได้เลย เตรียมตัวไปเหมือนไปเขาใหญ่ ยกเว้นอาหารไม่ต้องนำไปค่ะ สามารถซักผ้าได้แต่ต้องนำไม้แขวนไปเอง ห้องนอนมีประมาณ 20 กว่าห้องในห้องนอนมีห้องน้ำ และสามารถนอนในศาลาใหญ่โล่งๆได้หากใครชอบลมเย็นๆ กาแฟมีให้บริการ อุปกรณ์กันยุงแบบฉีด ธูปยุง ไฟแช็ค และหากใครนำพัดลมติดรถไปด้วยจะยิ่งดีค่ะ  สำหรับชุดหากท่านใดไม่มีชุดขาวสามารถโทรไปขอยืมกับท่านแม่ชีได้ ท่านจะนำมาจากร้อยเอ็ด หรือใช้เสื้อผ้าสีอ่อนเช่นขาว ครีม หรือเป็นเสื้อขาวกับกางเกงดำก็ได้ และเตรียมใจไปเรียนรู้กับสิ่งใหม่ๆค่ะ

Rank: 1

***ติดตามอ่านอารมณ์ใจจากผู้ปฏิบัติธรรมได้ที่****

https://www.facebook.com/profile ... 950&ref=tn_tnmn

Rank: 1

"บัวบาน 4 เหล่า"

แม่ชีเกณฑ์ท่านเปรียบคนกับบัวบาน 4 เหล่าที่อยู่ในน้ำให้ฟังว่า

บัวเหล่าที่ 1 บานอยู่ใต้น้ำขึ้นมาแค่คืบก็ถูกปลา เต่า กินเป็นอาหาร อยู่ใต้น้ำก็เหมือนอยู่กับกิเลส ดุจเหมือนคนที่มืดมน จะบอกว่าอันนี้เป็นบาป ไม่เคยฟัง มีอบายภูมิเป็นที่ตั้ง กินเหล้า เมายา เสเพล บ้าผู้หญิง ตีฆ่า ปล้นจี้ ไม่รู้จักทำบุญทำทาน โมหะเข้าครอบงำ บาปเต็มตัวบุญไม่เคยทำ คนพวกนี้เหมือนบัวใต้น้ำเป็นเหยื่อของกิเลส เป็นเหยื่อของโมหะที่ถูกเข้าครอบงำ ตายไปเป็นเดรัจฉานอย่างเดียว      
     
บัวเหล่าที่ 2 บานติดกับน้ำขึ้นมาแต่ยังไม่พ้น มีโอกาสตกเป็นอาหารของปลาของเต่าเหมือนกับคนที่ยังรู้จักทำบุญทำทานบ้าง รู้จักบาปบุญคุณโทษ รู้จักเก็บ รู้จักทาน แต่ยังไม่พ้นกิเลส ยังมีโอกาสตกเป็นเหยื่อของกิเลสอยู่           

พวกเหนือขึ้นมาอีกเป็นระยะที่ 3 สูงขึ้นเหนือน้ำแต่ไม่มากนัก ยังมีโอกาสถูกปลาหรือสัตว์ที่กะโดดสูงๆได้เอาไปเป็นเหยื่อได้ เหมือนกับคนที่รู้จักมาถือศีล มาภาวนา รู้จักทาน ศีล ภาวนา รู้จักทำสมาธิ เพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ออกจากตัวเอง ถึงแม้จะไม่ได้วางความทุกข์ตลอด แต่สามารถละได้เป็นระยะ         

บัวระดับที่ 4  สูงโด่งขึ้นมาเหนือน้ำ รอดพ้นจากการเป็นเหยื่อของเต่า ของปลา เปรียบเหมือนคนที่ไม่มีวันที่จะกลับคืนไปสู่พื้นปฐพีอีก ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก เหนือทุกอย่างแล้ว มีแต่จะคอยระมัดระวัง จนจะล่วงหล่นลงไปเมื่อไหร่เท่านั้นเอง ไม่เกาะไม่เกี่ยวกับใคร มีแต่แมลงเล็กๆน้อยๆมาตอมเอาเกสรไป ก็เหมือนผู้ที่มีสติปัญญาคอยระมัดระวังอารมณ์ที่จะเข้ามาเท่านั้นเอง           

ถามท่านว่าบัวที่อยู่ใต้น้ำบานได้ด้วยหรือ ท่านบอกว่าบานได้ถ้ามันแก่ มันถึงอายุของมัน แต่มันไม่สวยไม่มีสีสัน และไม่เคยโผล่พ้นน้ำมาให้เห็น เพราะมันตกเหยื่อของสัตว์ที่อยู่ในน้ำไปเสียก่อน

Rank: 1

" ฝากข้อคิดต้อนรับปีใหม่ หรือปีเก่าที่กำลังจะส่งท้าย  เห็นตัวเองเมื่อไหร่ ก็จะพ้นทุกข์เมื่อนั้น แม่ขออวยพรให้พิจารณาธรรมนี้อย่างเนือง ๆ นะ "   

ถามแม่ชีเกณฑ์ท่านว่าทำไมท่านจึงบอกว่าเห็นตัวเองเมื่อไหร่ ก็จะพ้นทุกข์เมื่อนั้น ท่านบอกว่าเมื่อเห็นใจตัวเองก็จะเห็นว่าตัวเองยึดติดอะไรอยู่ ลาภยศสรรเสริญ ความยินดี ความยินร้าย ความพอใจกับกิเลสอันพาปรุงแต่ง มันรู้จักพอไหม ถ้าเห็นใจตัวเอง มันจะเห็นว่าตัวเองกำลังเกาะ กำลังยึดอัตตาตัวตนตัวเองนั่นแหละ เรามาหลงโลกธรรม 8 มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีสุขก็ต้องมีทุกข์ เรามายึดนี่เอง เหตุที่มันพาทุกข์                              


เราเห็นตัวเอง เราเข้าใจตัวเอง เราระวังตัวเองไม่ให้ไปยึดกับอารมณ์ใดๆ ทั้งดีทั้งชั่ว คำว่าดีกับชั่วรวมกันหมด พยาบาท อาฆาต มองย้อนตัวเองว่าเวลาไปนอนเจ็บ วันหนึ่งจะต้องเป็นของเรา วันคืนล่วงไปๆ เราทำอะไรอยู่ บุญกุศลทำไปบ้างไหม  สมบัติที่จะไปวันข้างหน้ามีไหม จะเวียนว่าตายเกิดเป็นมนุษย์หรือจะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน              

เห็นตัวเองเห็นยังไง เห็นวัฏการเวียนว่ายตายเกิด แล้วเห็นโทษที่จิตมันเข้าไปยึด เวลาโกรธมันก็ไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าพยาบาทอาฆาตก็ไปเป็นสัตว์ดุร้าย ที่จะไปเป็นคนก็เป็นคนที่ร้าย ตายไปก็ยังร้ายอีก เราเคยสลดสังเวช เราเคยมาก่อน อันนี้ว่าเราเห็นตัวเองแล้วเห็นทุกข์ เห็นเหตุที่เกิดทุกข์เมื่อไหร่ก็จะพ้นทุกข์เมื่อนั้น

Rank: 1

"ความยินดียินร้าย"               

วันหนึ่งแม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าเราต้องละความยินดียินร้ายลงให้ได้ ถ้ายังมีความยินดียินร้ายภพชาติก็ไม่มีวันหมด ท่านบอกเพียงสั้นๆ เคยเห็นในหนังสือสวดมนต์พึงละความยินดียินร้ายในโลกลงเสียได้ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไม จนสังเกตเห็นว่าเวลาโกรธ ที่มันเกิดง่ายและบ่อยในหลายๆเรื่องเพราะมันมีทุนเดิมในใจอยู่แล้ว มีความไม่ชอบอยู่แล้ว มันจึงง่ายต่อการปรุงแต่ง พอตาเห็นมันก็เกิดทันที เริ่มเข้าใจสิ่งที่ท่านพูด ตราบใดเรายังมีความยินร้ายอยู่ในใจ คงต้องใช้คำว่าโกรธหนอๆๆ อยู่ร่ำไป เราต้องดับที่ต้นเหตุ                    

แต่ไม่เข้าใจทำไมต้องละความยินดีด้วย วันหนึ่งไปจ่ายเงินกู้ที่ธนาคาร ยื่นเงินให้เจ้าหน้าที่พร้อมสมุด เขายื่นสมุดมาให้ก่อน เปิดดูมีเงินโอนเข้ามาแสดงว่าถูกรางวัล ดีใจเดินออกจากธนาคารทันที ผ่านไปเกือบครึ่งชม.นึกขึ้นได้ ใบเสร็จอยู่ไหน ย้อนกลับเข้าไปใหม่ โชคดีที่พบและเจ้าหน้าที่รับเงินไปแล้ว บอกแม่ชีเกณฑ์ท่านว่าความยินดีร้ายกว่าความยินร้ายเสียอีก มันทำให้เราขาดสตินานกว่าความยินร้าย เวลาโกรธเรายังรู้ตัวและรีบวางลงทันที ความยินดีเหมือนของเย็น เราพอใจทำให้ขาดสติลืมโน่นลืมนี่ ถ้าตายขณะนั้นคงแย่ มีแต่ความหลง  

เริ่มเข้าใจสิ่งที่ท่านพูด ทำไมต้องละทั้งยินดีและยินร้าย นี่คือทุนเดิมที่มีในใจเรา มันง่ายต่อการปรุงแต่งให้เกิดความรู้สึกนานา ไม่ต้องสงสัยเลยพอเจอเหตุการณ์นี้ทำไมจึงยังไม่ชอบอยู่ร่ำไป ทำไมเจอคำนี้จึงชอบอยู่อย่างนั้น ความยินดียินร้ายพาให้ใจเราไปยึดไปเกาะ หากตายขณะนั้นเราจะไปเกิดกับสิ่งนั้น แม่ชีเกณฑ์ท่านมักจะไม่บอกว่าทำไม ท่านจะให้เราพบกับตัวเองว่าทำไม ท่านบอกว่าถ้าท่านบอกก็จะไม่จำ แต่ถ้าเจอกับตัวเอง เข้าใจกับตัวเองจะจำได้อย่างที่ไม่มีวันลืม

Rank: 1

"ความฉลาดอยู่ที่ไหน"               

บอกกับแม่ชีเกณฑ์ท่านว่าตอนนี้ใจรู้สึกพอแล้ว ท่านถามว่าพอกับอะไรพอกับการปฏิบัติหรือ เรารีบตอบในทันทีว่าไม่ใช่การปฏิบัติ แต่เราพอเราไม่ต้องการฉลาดไปมากกว่าที่เป็นอยู่ ไม่คิดอยากจะไปหาหนังสืออ่านเพื่อทำให้ตนเองฉลาดขึ้น ท่านถามขึ้นว่าแล้วคิดว่าความฉลาดอยู่ตรงไหน เราตอบไปภาษาซื่อว่าก็อยู่ในตัวของเรา ท่านบอกว่ายังไม่ใช่ให้ตอบให้ตรงคำถาม เราคิดคำตอบใหม่เราคิดว่าความฉลาดอยู่ที่หนังสือเพราะคิดว่าถ้าไปอ่านหนังสือแล้วจะฉลาดขึ้น

ท่านก็ยังคงตอบว่าไม่ใช่ เราจึงตอบไปใหม่ว่าความฉลาดอยู่ที่จิตอยู่ในตัวของเราอยู่ที่ความมีไหวพริบ ท่านก็ยังคงตอบว่าไม่ใช่ แล้วถามกลับว่าแล้วความฉลาดอยู่ตรงไหนในตัวของเรา ครั้งนี้เราไม่ตอบแต่ถามกลับท่านว่าแล้วท่านคิดว่าความฉลาดอยู่ตรงไหน ท่านบอกหากให้ท่านตอบ ท่านจะตอบว่าความฉลาดอยู่ที่รู้เท่าทันปัจจุบัน ได้ยินเพียงแค่นี้เราลงให้กับคำตอบของท่านอย่างหมดใจ                                

ใช่มองย้อนกลับไปความฉลาดหาใช่อยู่กับการอ่านมาก เราเคยอ่านมามากแต่หาช่วยตัวเองได้เมื่อมีความทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส แต่สิ่งที่ท่านสอนคือให้รู้เท่าทันปัจจุบันอยู่ทุกขณะต่อเนื่องให้นานที่สุด รู้ให้ทันปัจจุบันว่าเกิดอะไรขึ้นทั้งที่กายและที่ใจ ทั้งดีและไม่ดี รู้แล้ววาง รู้แล้วละ รู้แล้วอย่าไปปรุงต่อ รู้แล้วอย่าไปคิดต่อ รู้แล้วดับลงทุกขณะจิต สิ่งนี้ต่างหากที่พาเราพ้นจากกองทุกข์นั้นมาได้

คำตอบของท่านทำให้การใช้ชีวิตในวันนี้มีความตื่นตัวขึ้นอีกครั้ง ใจเราอยู่กับทุกการเคลื่อนไหวของกายและใจ เรารู้สึกสนุกกับทุกย่างก้าวในบ้านแม้จะเป็นบ้านแคบๆ ไม่ได้เดินจงกรมแต่กลับรู้สึกเหมือนอยู่บนทางจงกรม

Rank: 1

"หลังงอ"           

ดูรูปถ่ายแม่ชีเกณฑ์กับผู้ปฏิบัติธรรมขณะนั่งสมาธิ เห็นมีเพียงท่านที่นั่งหลังตรง ท่านบอกว่าเวลานั่งให้ยืดหลังให้ตรงอย่าให้งอเพราะจะทำให้ปวดหลัง ช่วยให้ไม่ง่วง และสติตั้งมั่น ในเวลาปกติก็พยายามยืดหลังให้ตรง อย่าให้งอ กระดูกที่งอจะทำให้เกิดอาการปวดหลัง  ทำตามที่ท่านบอก เวลานั่งสมาธิจะคอยดูว่าหลังงอไหม กลายเป็นว่าสติมาจดจ่อที่นี่ เป็นเรื่องดี พอหลังตรง ลมหายใจเข้าสะดวกยาวถึงท้อง หายใจโล่งขึ้น ไม่รู้สึกอึดอัด และไม่รู้สึกแล้วว่าต้องบังคับลมหายใจ กลับเห็นลมเข้าลมออกของเขาเองกลายเป็นแค่คนดูเฉยๆ      
           

ในขณะเดียวกันเมื่อลมเข้าถึงท้องก็จะรู้สึกถึงการพองตัวของท้องโดยไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปรู้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นดูแทบตาย ไหนท้องพองอันไหนท้องยุบเพราะแยกไม่ออก และรับรู้ถึงการบีบตัวของหัวใจด้วย พอหลังงอเราก็ยืดออก ทำให้รู้สึกตัวบ่อย ไม่ง่วง แต่บางทีขี้เกียจและลืมโดยเฉพาะในชีวิตปกติ เมื่อเห็นคนแก่หลังงอก้มหน้าเดินจนเกือบถึงพื้น เราไม่อยากเป็นอย่างนั้น จึงพยายามฝืนความขี้เกียจของตัวเอง                  

บอกท่านว่าเวลานั่งสมาธิหรือนั่งสวดมนต์นานๆ จะไม่รู้ตัวว่าขาชา มารู้สึกตอนลุก ขาชามากจนลุกไม่ได้ ท่านบอกว่าจมอยู่ในสมาธิมากเกิน ถ้ามีสติขาชาเล็กน้อยก็จะรู้ตัวแล้ว หาใช่เรื่องดี ขาชาเพราะเลือดไหลไปเลี้ยงขาไม่ได้ แก่ตัวไปอาจทำให้เป็นอัมพฤกอัมพาต ใช่ว่าตั้งใจจะนั่งให้ถึงชม.แล้วห้ามขยับตัว หากขาชาให้ขยับขาได้ ไม่ใช่ให้ทนอยู่อย่างนั้น เปลี่ยนขาเราก็มีสติรู้ตัวต่อเนื่องก็เป็นสมาธิเหมือนกัน              

ถามแม่ชีท่านว่าแล้วคนที่อ้วนมากหรือคนที่เอาขาทับกันไม่ได้ให้นั่งอย่างไร ท่านบอกว่าไม่ต้องยกขามาทับกันก็ได้ ให้วางขาบนพื้นในรูป 3 เหลี่ยม หรือนั่งแล้วขาชามากขยับขาไว้แบบนี้ก็ได้ สำหรับคนที่นั่งนานไม่ได้ ปวดเข่า ปวดหลัง ก็ให้นั่ง 5 นาที 10 นาทีแล้วลุกขึ้นเดิน หรือเดินมากไม่ได้ก็ให้เดิน 5 นาที 10 นาทีแล้วนั่ง ช่วยให้ไม่ต้องทนกับความเจ็บปวดมากและไม่ทำให้จมในความคิดมากเกินไป  ช่วยกระตุ้นให้สติมีกำลังตื่นตัวมากขึ้น เรื่องฟุ้งซ่านก็จะหายไป แต่ต้องใช้เวลา เมื่อดีขึ้นแล้วค่อยเพิ่มเวลาขึ้นทั้งเดินทั้งนั่ง

Rank: 1

"อสรพิษ"           

เล่าให้แม่ชีเกณฑ์ท่านฟังว่าเวลาขับรถ มักจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ทั้งที่เป็นเวลาที่มีสติมากที่สุด เจอรถจอดขวางทาง รถขับช้า รถผิดเลนส์ อารมณ์ขึ้นมาทันที บีบแตรใส่เขาด้วยความมีอารมณ์ ถามท่านว่าทำอย่างไรจึงจะบีบแตรไปแบบไม่มีอารมณ์ปนไปด้วย ท่านบอกว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะสติเราช้ากว่าใจ พอตาเห็นใจก็ถูกปรุงแต่งทันที ห้ามไม่ทันจนเกิดเป็นอารมณ์ขึ้นมา           

ท่านบอกว่าถ้าตายขณะนั้น จะไปเกิดเป็นสัตว์ดุร้ายหรืออสรพิษ เช่น งูเห่า งูจงอาง หมาบ้า เสือ ตะขาบ แมงป่อง คงเคยเกิดเป็นงูเห่ามาก่อน จึงมีใจที่ร้ายเช่นนั้น พร้อมที่จะฉกกัดทุกคนที่ไม่พอใจ มันเกิดเพราะยังมีอัตตาตัวตนอยู่ข้างใน เห็นไหมของข้างนอกวางได้แต่ของข้างในมันยังไม่ขาด เราต้องเห็นโทษเห็นภัยมันอย่างแท้จริง จึงจะขาดจากมันได้                        

ถามท่านว่าแล้วทำอย่างไรจึงจะห้ามมันทัน ท่านบอกว่าต้องให้สติถี่ยิบทันกับสิ่งที่มากระทบทางอายตนะทั้ง 6 ให้สติหนาแน่นประดุจกำแพงปูน แค่รูขุมขนไม่พอเพราะความมีตัวตนมันแทรกขึ้นมาได้ทุกรูขุมขน ท่านแนะวิธีดึงใจให้ช้าลงและให้มีสติมากขึ้น ด้วยการกำหนด เห็นหนอๆๆ ได้เย็นหนอๆๆ คิดหนอๆๆ กำหนดทุกอิริยาบถเท่าที่จะกำหนดได้ หากไม่ทันโกรธขึ้นมาแล้วก็ต้องกำหนด โกรธหนอๆๆเพื่อดึงขามันไว้            

การหนอเป็นการสะกัดกั้นความปรุงแต่งต่อ เช่นตาเห็นหากเรากำหนดทันมันก็จะไม่ไปต่อ ว่าเธอทำอย่างนั้นอย่างนี้ มันจะหยุดอยู่แค่นั้น หรือหูได้ยิน เราก็กำหนดได้ยินหนอๆๆ ไม่อย่างนั้นมันจะคิดต่อว่าเขาว่าเราหรือเปล่า ท่านบอกว่าแค่รู้ทัน มันแค่ห้ามไม่ให้มันเกิดขึ้น ถ้าวันใดสติอ่อนกำลัง มันก็จะโกรธขึ้นมาอีก ถามท่านว่าแล้วทำอย่างไรให้มันขาดไปเลย ท่านบอกว่าเราต้องเห็นโทษเห็นภัยของความมีอัตตาตัวตนอย่างแท้จริง มันจึงจะขาดไปได้ ปัญญาที่เกิดในขณะเดียวกันกับสติที่สมบูรณ์เท่านั้นที่จะตัดขาดได้      

ถามท่านอีกว่าแล้วจะทำอย่างไรให้สติถี่ยิบและเร็วขึ้นอย่างที่ท่านว่า ท่านบอกว่าความต่อเนื่องคือเรื่องใหญ่และสำคัญมาก หากต้องทำงานให้แบ่งเวลาปฏิบัติบ้างทุกวัน วันละเล็กน้อยเพื่อความต่อเนื่อง ไปทำงานก็ต้องเจริญสติต่อไม่ให้ขาด ต้องรู้ทุกขณะที่มีอารมณ์มากระทบใจ โดนตำหนิรู้สึกอย่างไร หิวเป็นยังไง เห็นผู้ชายผู้หญิงรู้สึกอย่างไร ขับรถไปรถติดเป็นยังไง นั่งนานเป็นยังไง ไม่กินกาแฟเป็นยังไง เห็นอาหารแล้วเป็นอย่างไร เห็นเงินในกระเป๋ารู้สึกยังไง ถึงบ้านแล้วเป็นยังไง ให้รู้ไปจนกระทั่งหลับ ตื่นขึ้นมาก็ให้รู้ต่อ ความต่อเนื่องจะทำให้สติมีกำลัง ในคนทำงานต้องใช้เวลา เดือนหรือ 3 เดือนจิตจึงจะมีกำลังขึ้นมา               

เราตั้งใจแล้วที่จะทำตามท่านบอก จะขยันกำหนดไม่ขี้เกียจไม่ขี้ลืม ไม่อิดออดอ้างโน่นอ้างนี่เพราะไม่อยากทำ เราทนกับนิสัยอันเลวร้ายของตัวเองไม่ได้แล้ว ตายไปไม่แคล้วเป็นงูเห่าแน่นอนหากปล่อยไว้เช่นนี้

Rank: 1

"สติไม่ทันกับใจ"

บอกกับท่านว่าเราใจร้อนเวลาขับรถ เป็นเหตุให้ไม่พอใจทุกครั้งที่ขับรถ ท่านบอกให้ใช้สติ ปัญญาเข้ามาดับมัน แต่ก็ยังไม่ทัน ปัญญาสอนตัวเองมักมาทีหลัง โกรธไปก่อนแล้ว ท่านบอกว่านั่นเพราะจิตมันไปเร็วกว่าสติ            

ท่านถามว่าเวลาเดินจงกรมเดินอย่างไร เราบอกเดินหยุด 3 จังหวะช้าๆ ท่านบอกให้เดิน ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ วันถัดมาท่านให้เดิน 4 จังหวะ คือ ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ  เราหายไป 2 วันหาจังหวะให้ลงตัว บอกท่านว่าพูดติดๆกันไม่ได้ ต้องพูด ยกส้น.....หยุดไปนิด.....แล้วพูดว่าหนอ ยกหยุดไปแล้วก็หนอ เดินจงกรม1 ชม.ได้แค่ 2 รอบ ไม่เหลือเวลาสำหรับนั่งสมาธิ            

เราบอกท่านว่าวันแรกเห็นจิตมันดิ้น มันถูกขัดใจไม่ได้ตามใจมัน วันที่ 2 ม้นเริ่มหยุดดิ้นแต่ก็ยังไม่เย็น เมื่อผ่านไป 3 วัน พบว่าการเดินมี 5 จังหวะ ท่านจึงบอกว่าจริงๆแล้วมี 6 จังหวะคือ ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ ลงหนอ ถูกหนอ เหยียบหนอ  เมื่อเริ่มเดิน 6 จังหวะวันแรกเดินได้แค่ 1 รอบ วันที่ 2 ของการเดิน 6 จังหวะใจของเริ่มเย็นลงไม่ร้อนเหมือนวันแรก  เมื่อกลับบ้านเริ่มหนอมากขึ้น โดยไม่ต้องบังคับใจตัวเอง ซ้ายหนอ ขวาหนอ ยกหนอ ก้มหนอ เงยหนอ คิดหนอ เห็นหนอ            

ผ่านไปเกือบอาทิตย์บอกท่านว่าการหนอนี้เหมือนทางลัด จะก้มเงยหยิบจับบิดหมุนก้าวเดิน รู้สึกตัวได้ง่ายขึ้น ไม่เหมือนแต่ก่อนพยายามแทบตายแต่ยังไม่รู้ทั่วตัว ใครๆก็คิดว่าการหนอช้า ในชีวิตปกติจะไปทันการณ์ได้อย่างไร มัวแต่หนอมันก็ดับไปแล้ว ท่านบอกว่าหากเรามีสติที่ช้าการหนอจะทำให้จิตเราช้าลง เมื่อสติกับจิตทันกันก็จะมีการหยุดยั้งคิดก่อนที่จะทำอะไรลงไป ก่อนจะโกรธเราก็จะมีสติตามทันหยุดยั้งอารมณ์ไว้ได้            

เราเห็นคุณค่าของการหนอแล้วในวันนี้ ท่านไม่ได้บังคับให้ทำแต่เราเต็มใจทำเพราะเห็นว่านี่คือวิธีที่จะแก้นิสัยใจร้อนลงได้ อาจต้องทนกับไฟที่เผาตัวเองหลายวันหรือหลายสัปดาห์ ท่านบอกว่าการหนอเป็นการฝึกให้เราทนกับไฟที่เผาลนจิตใจเราให้ได้ ผลจากการเดิน 6 จังหวะและหนอช้าๆ ปวดขามาก ปวดไปทั้งตัว นั่นเพียงแค่ชม.เดียว แต่ตอนนี้เราผ่านมาได้แล้ว ทุกอย่างเป็นเครื่องทดสอบความตั้งใจจริงๆ

‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-5-4 06:01 , Processed in 0.037929 second(s), 13 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.