แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: UMP
go

ขอเชิญร่วมปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ ณ สวนปฏิบัติธรรมจิตต์ประภัสสร อ.หนองแค จ.สระบุรี [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

"จมแช่อยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง"

เมื่อผ่านอาการโงกง่วงมาแล้ว หากนั่งนานเกินไปจะมีการจมแช่อยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ระยะหลังคุณแม่ท่านให้นั่ง 5 นาที เดิน 5 นาที เพื่อไม่ให้จมแช่ทั้งขณะเดินและขณะนั่ง

นั่ง 5 นาทียังไม่ทันง่วงและไม่จมในความคิด เดิน 5 นาทีก็ยังไม่ทันออกนอกวัด ทำแบบนี้แล้วทำให้มีความรู้สึกตัวต่อเนื่องไม่ขาดตอน กว่าจะแก้ได้ไม่ใช่แค่วันเดียว เราใช้เวลาร่วม 3 เดือนกว่าจะแก้ได้ เมื่อดีขึ้นแล้วคุณแม่ท่านก็ให้เพิ่มเวลาขึ้นตามความเหมาะสม แต่หากกลับมาเป็นอีกเพราะสติอ่อนกำลังลง ท่านก็ให้กลับไปทำแบบเดิมอีก

ถามคุณแม่ว่านั่งสมาธิลืมตาได้หรือไม่ เพราะหลับตาแล้วมันจะพาหลับ คุณแม่บอกว่าจะลืมตาก็ได้ขอให้มีสติรู้ตัวอยู่ เราก็เลยนั่งหลังตรงและลืมตา หากวันไหนง่วงทั้งเดินและนั่งจนเอาไม่อยู่ จะด้วยสภาพร่างกายหรือสภาพอากาศ เราแก้ด้วยการจับไม้กวาดกวาดใบไม้ไปจนหมดชม. ดีกว่าทนนั่งง่วงเดินง่วงอยู่อย่างนั้น


Rank: 1


"มีความคิดเกิดขึ้นมากขณะเดินและนั่ง"

ถามคุณแม่ว่า...มีความคิดเกิดขึ้นมากขณะเดินและนั่ง บางทีคิดไปข้างหน้า บางทีคิดไปข้างหลัง ควรทำอย่างไรดี

คุณแม่ท่านบอกว่า...พอมีความคิดเกิดขึ้นก็ให้หยุด เช่นกำลังจะก้าวเท้าลง หากเห็นมันก็หยุดคาอยู่อย่างนั้นเลย พอมันดับเราก็ค่อยไปต่อ

ทำตามที่ท่านบอก เราเห็นสิ่งที่คิดดับลงไป เดี๋ยวมันก็มาอีก เราก็หยุดอีก มันก็ดับลงไปอีก ไปๆมาๆอยู่อย่างนี้ สู้กันหลายยก ผ่านวันที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 มันก็แทบจะไม่โผล่ขึ้นมา

อีกวิธีที่ท่านแนะนำเวลาที่ฟุ้งมากๆ ให้กำหนด คิดหนอ คิดหนอ หลายๆ ครั้ง เอาจนมันหายไปเลย หรืออยากหนอ อยากหนอ ถ้ามันอยากขึ้นมา วิธีนี้จะช่วยให้หายฟุ้งได้ เพราะจิตมาสนใจคำที่เราพูดออกมา และมารับรู้การเคลื่อนไหวที่ปากอย่างต่อเนื่อง การปรุงแต่งสิ่งที่คิดขาดตอน จนเลิกปรุงแต่งไป ความคิดจึงดับลง

ทุกวิธีต้องใช้ความตั้งใจและความเพียรพยายาม แม้ขณะนี้จะไม่ดีเลิศมากนักแต่ก็เบาบางจากความฟุ้งซ่าน เสียงข้างในเงียบขึ้นมากเหลือเพียงแต่เสียงภายนอก คุณแม่ท่านบอกว่าผู้ใดที่ไปร่วมปฏิบัติธรรมกับท่านไม่ได้ หากมีปัญหาอารมณ์ใจท่านยินดีให้คำแนะนำผ่านทางโทรศัพท์ พูดคุยเกี่ยวกับการปฏิบัติกับคุณแม่ชีเกณฑ์ ได้ที่ 0621270465(12call) , 0868540049 (dtac) 4.00-5.30,10.00-22.00 น.

Rank: 1

"วางเพื่อรู้จักตัวเอง"

บอกกับคุณแม่ว่า....พอเดินจงกรมมากๆ บริกรรมพุทโธในใจไปด้วย นานไปกลับรู้สึกหนวกหูคำว่าพุทโธ ทั้งๆ ที่บริกรรมมาตั้งหลายปีแล้ว ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ จะบาปไหม ใจมันรู้แล้วตรงไหนพุธ ตรงไหนโธ มันก็อันเดียวกัน มันอยากรู้เฉยๆ ไม่อยากบริกรรมแล้ว

คุณแม่ท่านบอกว่า...ก็ใจมันไม่เอาแล้ว ก็วางเสีย ให้จับจุดที่เคยพุทโธแทน เรารู้ว่าจังหวะไหน จุดไหนที่เป็นจุดที่เราบริกรรมพุท , โธ ก็ใช้การรับรู้ตำแหน่งนั้นแทนคำว่าพุธ โธ

ทำตามที่คุณแม่แนะนำ คือรับรู้จุดที่เคยพุท โธ เฉยๆ ไม่มีคำบริกรรม แต่พอออกจากทางจงกรม ในชีวิตประจำวันเราก็ยังพุทโธ จะทำอะไรก็คอยพุทโธ คุณแม่ท่านแนะให้ปล่อยในชีวิตประจำวันด้วย เราไม่กล้ากลัวใจไม่สงบ พอมีอารมณ์โกรธขึ้นมา ก็พุทโธทันทีจนติดเป็นนิสัย

คุณแม่ท่านว่า.....บริกรรมมาตั้งนาน แต่ยังไม่ทันอารมณ์ตัวเอง เราต้องแก้ปัญหาให้ถูกจุด แก้กันที่เหตุ บริกรรมแบบนกแก้วนกขุนทอง ไม่มีสติตามรู้ตามเห็นมันจริงๆ ไม่มีปัญญากำกับเห็นโทษเห็นภัยมันจริงๆ มันก็โกรธอยู่อย่างนั้น ถ้ามัวแต่หลบ จะเห็นตัวเองได้ยังไง

2 วันแรกพยายามไม่พุทโธ ตาเห็น หูได้ยิน คิดทันที รู้สึกทันที วุ่นวายไปหมดจนแทบจะทนไม่ได้ เลยรู้ว่าตัวเองยังถูกปรุงแต่งได้ง่าย อะไรเข้ามาก็เอาไม่อยู่ วันที่ 3 จึงค่อยดีขึ้นและก็ดีขึ้นเรื่อยๆ หลายวันผ่านไปใจเริ่มสงบโดยไม่ต้องพุทโธก็ได้ คุณแม่ท่านให้วิ่งเข้าหาอารมณ์ที่เกิดตรงหน้า วิ่งเข้าหาเวทนาที่เกิดขณะนั้น วิ่งเข้าใจที่มันรู้สึกจริงๆ เพื่อจะได้เห็นเหตุจริงๆ ที่ทำให้ใจสับสนวุ่นวาย

พอโกรธต้องทนเห็นมันไหม้ มันเดือด มันร้อนรน มันมอดไหม้จนสุดจะทน อดทนดูเฉยๆ จนมันดับลงเอง เรารู้แล้วว่าถ้าไม่ไปยุ่งกับมัน แต่งโน่น เติมนี่ ทนเอาหน่อย ไม่ถึงนาทีเดี๋ยวมันก็ดับ

เมื่อเห็นอาการตัวเองที่กำลังมอดไหม้อย่างเต็มที่ เราขยาดกลัวอารมณ์เหล่านี้มาก คุณแม่ท่านว่าถ้าไม่เห็นว่ามันเป็นของร้อน เราจะไปรู้โทษของมันจริงๆ ได้อย่างไร พยายามฝึกสติและใช้ปัญญา พาตัวเองอยู่เหนืออารมณ์เหล่านี้ให้ได้แล้วจะไม่ร้อน


Rank: 1

"นั่งสมาธิแล้วความจำหาย บางทีพุทธโธก็หาย แต่ก็จะดึงกลับมา จะเดินนั่งนอนยืนมีแต่พุทธโธ ฟังธรรมได้ทั้งคืน จิตของลูกเป็นอะไร แก้ไขอย่างไรค่ะ"

ขณะที่นั่ง พอหายใจเข้าพุท พอหายใจออกโธปุบ ให้ใช้สติสำรวจอาการ 32 ของตัวเอง จากปลายเท้าจรดหัว จากหัวจรดปลายเท้าว่า ยังนั่งตัวตรง ตัวเอน คอก้ม คอหักมั้ย ให้มีสติเห็นสมบูรณ์เหมือนลืมตาอยู่ทุกขณะ แล้วจะไม่มีอาการอย่างนั้น ที่มันวูบหายไปเพราะสมาธิลงลึก แล้วจิตดิ่งลงในสมาธิ สติอ่อนมันเลยวูบหายไปแว่บเดียว เหมือนตัวเองไม่มีตัวไม่มีตน

อย่านั่งนาน ให้นั่งแค่ 10 นาที เดิน 10 นาที ไปจนครบชม. พอสติแก่กล้าขึ้น มีสติสมบูรณ์เมื่อไหร่ นั่งนานก็จะไม่เป็นอาการนั้น ทำถูกแล้ว ไม่ว่าอะไรเกิดขี้น ก็ให้มีสติรู้อยู่กับพุทกับโธ แต่อย่าลืมสำรวจตัวเองอยู่ทุกขณะ รู้ตัวเองทุกขณะ ว่าครบถ้วนบริบูรณ์อยู่ นั่งอยู่ท่าอะไร จิตก็จะไม่ลงลึก เพราะมีสติสมบูรณ์

ที่ฟังธรรมได้ทั้งคืน เพราะจิตมีศรัทธา มีความเลื่อมใสในธรรม จิตมันจดจ่อ ถ้าจิตมาอยู่กับกายก็ให้หยุดฟัง ให้ฟังจิต เอาจิตกับสติมาตั้งอยู่กับตัวเอง จิตจะไม่คล้อยไปกับเสียงธรรม ปฏิบัติให้มากแล้วจะเข้าใจสิ่งที่ฟัง ฟังแค่ 5 นาที แต่เข้าถึงและเข้าใจ ก็มีอานิสงส์มากกว่าฟังทั้งคืน


Rank: 1

"การเดินจงกรม 6 จังหวะ สำหรับผู้ที่ทุกข์ใจและฟุ้งมาก"

1. ยกส้น...(หยุด)...หนอ...(หยุด)
2. ยก...(หยุด)....หนอ...(หยุด)
3. ย่าง...(หยุด)...หนอ...(หยุด)
4.ลง...(หยุด)...หนอ...(หยุด)
5. ถูก...(หยุด)....หนอ...(หยุด)
6. เหยียบ...(หยุด)....หนอ...(หยุด)

นอกจากจะรับรู้ที่เท้า ปาก ใจ หูก็ยังคงได้ยินเสียง บางทีมันก็รู้ลมหายใจ ตาก็เห็นสัตว์ที่เดินบนพื้นดิน รู้อากาศร้อนเย็น จิตแว่บออกไปคิดก็รู้

ออกเสียงดังทุกจังหวะและคำว่าหนอ ให้การรับรู้ของเท้า ปากและใจตรงกัน หากความคิดเข้าแทรกหยุดค้างไว้ทันที ความคิดดับจึงไปต่อ หากมันไม่ยอมดับก็ค้างไว้เลย เมื่อขาเริ่มเกร็งมันจะทิ้งความคิดมารับรู้อาการที่ขา การเดินจงกรมเช่นนี้ เป็นวิธีที่ขัดใจมากสำหรับผู้ที่ใจร้อน อารมณ์รุนแรง มันจะดิ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ขณะที่หยุดค้างไว้ ให้เราดูใจที่มันดิ้น มันหยุดดิ้นเมื่อไหร่จึงจะไปต่อ อดทนฝืนจิตไม่ทำตามที่มันสั่งให้ได้ 1-2 อาทิตย์มันก็จะหยุดดิ้น ยกเว้นคนที่ไม่สม่ำเสมอและไม่เอาจริง เมื่อมันหยุดดิ้นความสงบเย็นจะเกิดขึ้น 4 วันแรกจะปวดเมื่อยไปทั้งตัว เริ่มแรกตัวจะเอียงซ้ายเอียงขวาให้ทำความรู้สึกไปตามอาการเอียง ถ้ามันคิดติดกันเป็นลูกโซ่ ให้กำหนด คิดหนอๆเอาจนมันหยุด

วิธีนี้เป็นวิธีหักดิบ ผู้ที่ความอดทนน้อยมักจะถอยไปเสียก่อน สิ่งที่จำเป็นมากคือความต่อเนื่อง อย่างน้อยวันละ 1 ชม. เป็นเวลา 2 อาทิตย์จึงจะเริ่มเห็นผลชัดเจน หลังการปฏิบัติทุกครั้ง คุณแม่ท่านให้แผ่เมตตาเจาะจงให้เจ้ากรรมนายเวรเราก่อน เมื่อจิตใจเราเข้มแข็งขึ้นจึงจะแบ่งปันให้ผู้อื่นได้ และหมั่นตักบาตรให้เขาด้วย

เรื่องใดที่ขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำอีก ให้พิจารณาไตร่ตรอง ทำไมใจเรายังคิดเรื่องนี้ ยังคาใจตรงไหน ตัดสินใจเด็ดขาดกับมันว่าจะทำยังไงแล้วก็วางมัน และคอยเตือนตัวเองหากตายขณะนี้ ต้องไปเกิดเป็นจิ้งจกตุ๊กแกเฝ้าอยู่บ้านเขาแน่นอน การรับรู้หลายจุดถี่ๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดสติและให้สติเร็วขึ้น

เมื่อมีสติ ก็จะเกิดสมาธิ และปัญญาในการแก้ไขปัญหาก็จะตามมา ส่วนการหยุดนั้น เพื่อให้เห็นการเกิดดับของการรับรู้และความคิด ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดแล้วดับในทันที เมื่อเข้าใจในความเป็นจริง มันก็จะค่อยๆ ยอมรับว่าทุกสิ่งมันจบไปแล้ว และเลิกที่จะไปขุดคุ้ยขึ้นมาอีก เมื่อถึงเวลาที่จิตเขาก้าวเดินเองได้ คำบริกรรมก็จะค่อยๆ เลือนหายไป


Rank: 1

"รู้เท่าทันจิต"

ผู้ปฏิบัติธรรม : คุณแม่ค่ะ ปฏิบัติธรรมยังไงให้ถึงธรรมค่ะ
คุณแม่ชีเกณฑ์ : ก็วางสิ วางทุกอย่างมันก็ถึงเท่านั้นเอง ถ้าจิตไม่ว่างมันจะไปถึงได้ยังไง มัวแต่วุ่นนั่นวุ่นนี่ คิดโน่นคิดนี่ กังวลนั้นกังวลนี้...วาง ทำจิตให้ว่าง ทำจิตให้เป็นกลางๆ มีหน้าที่รู้เท่าทันจิต จิตมันมีหน้าที่คิด แต่เราทำใจเป็นกลางๆ เราพยายามว่า...เราจะปล่อยวางทุกอย่าง แต่มันก็ปล่อยไม่ได้ พอทำใจเป็นกลางๆ มีหน้าที่รู้เท่าทันจิต เราจะปล่อยมัน รู้เท่าทันทุกอย่าง มันก็พ้นทุกข์ ถ้าไม่รู้เท่าทัน ก็หลงใช่มั้ย

ผู้ปฏิบัติธรรม : แล้วทำอย่างไรถึงจะเข้าถึง มรรคมีองค์ 8 ค่ะ
คุณแม่ชีเกณฑ์ : จะเข้าสู่มรรคมีองค์ 8 ก็ต้องเดินอย่างนี้เสียก่อน รู้เท่าทันจิตเสียก่อน ถ้าไม่รู้เท่าทันจิต มันจะไปได้อย่างไรเล่า เริ่มต้นมันก็ต้องไปรู้เท่าทันจิตก่อน มันถึงจะเข้าถึงมรรคมีองค์ 8

จะให้มันเข้าสู่มรรคมีองค์ 8 มันไม่ไป ไม่มีทางหรอกคนเรา กิเลสไม่ยอมหรอก ใช่ไหม เหมือนที่แม่บอกให้เราปฏิบัตินั่นนะ อันน้นมันตายตัวอยู่แล้ว มันจะไปของมันเอง

การตามรู้จิตนี่แหละมรรคมีองค์ 8 จิตจะผิดศีลมันก็รู้ใช่มั้ย มรรคมีองค์ 8 ให้เว้นจากการฆ่าก่อนใช่มั้ย แล้วก็ห้ามคิดชั่วคิดร้ายต่อผู้อื่นใช่มั้ย ลงวาระสุดท้าย ให้รู้กายในกาย ให้รู้จิตในจิต รู้เวทนาในเวทนาใช่มั้ย ถึงจะไปได้ ให้ตั้งสติมั่น ตามรู้จิต ถ้าไม่ตามรู้จิต ไม่ตั้งสติมั่น มรรคมีองค์ 8 จะเกิดไหมนั่น

ต้องบอกให้เขาตามรู้จิตก่อน มรรคมีองค์ 8 ถึงจะสมบูรณ์ ถึงจะเกิดขึ้น เขาจะรู้ของเขาเอง ทำจิตให้ว่างให้บริสุทธิ์ มรรคมีองค์ 8 อยู่ในนั้น เขาจะเข้าใจเอง บอกไปก็มีแต่ไปท่องมรรคมีองค์ 8 แต่ไม่เข้าใจ มันต้องเดินก่อน ทำจิตให้เป็นกลางๆ ว่างๆ มรรคมีองค์ 8 ก็จะเกิดเอง ปฏิบัติแล้วมีสติเดี๋ยวก็เข้าใจเอง

มรรคมีองค์ 8 มันมีหลาย มีสติรู้เท่าทันจิตก่อนก็แล้วกัน ทันคิดชั่วคิดดีก็ให้รู้ รู้ไปก่อนมันจะไปเอง ทำใจเป็นกลางๆ ปล่อยวาง ว่างทุกอย่าง ทำจิตให้สะอาดหมดจด ผ่องแผ้ว ก็ศีล 5 ศีล 8 บอกอยู่แล้ว เดี๋ยวมันปฏิบัติ ถ้ามันไปเจอทุกข์ เจอเวทนา ทำไมเราถึงทุกข์ เพราะเราทำกรรม เออ อันนี้ท่านจึงให้เว้นจากการฆ่า

เพราะความบริสุทธิ์ หมดจด มันจะเป็นศีล มีสมาธิ มันจะรู้ของมันเอง แม่รู้ของแม่เอง นี่ละ ลงมรรคมีองค์ 8 แจ้งเลย อ่านจนหูแตก แม่ก็เคยอ่าน หนังสืออ่านกันมานานแล้วไม่ใช่หรือ แล้วเข้าใจมั้ย มันเข้าใจลึกซึ้งมั้ย

ต้องบอกให้มันตามรู้จิต จิตคิดชั่ว จิตคิดดี ให้รู้จิตพยาบาท อาฆาต จิตคิดฆ่าอะไร จิตมันโกรธ มันเกลียด ให้มันรู้ มันจะรู้เอง ไปอ่านมรรคมีองค์ 8 มันไปท่อง อ่านแล้วมันไม่ซึ้งในธรรมะ มันไม่เห็น ต้องให้มันเห็นด้วยฐานแท้ นั่นละ มรรคมีองค์ 8 อยู่ตรงนี้ ถึงจะเข้าใจ

ถ้าไม่มีสติ แล้วไม่รู้เท่าทันจิต มรรคมีองค์ 8 จะเกิดมั้ย มันก็ไม่เกิดใช่มั้ย ให้มีสติตามรู้เท่าทันจิตเสียก่อน มรรคมีองค์ 8 ถึงจะเกิดขึ้น ปัญญาถึงจะเข้าใจ ปัญญาถึงจะถ่องแท้ รู้แล้วก็วาง ดีก็วาง ชั่วก็วาง ติดสุขติดดีก็วาง รู้แล้วไม่วาง มันก็ไม่ใช่มรรคมีองค์ 8


Rank: 1

"ผมพยายามศึกษาพระธรรมคำสอน แล้วก็ศึกษาไปไกลโพ้นพอสมควร เพื่อหวังเข้าให้ถึงแก่น แต่ก็เข้าไม่ถึงสักที แก่นพระพุทธศาสนา... อยู่ตรงไหนหนอ? "

แก่นพระพุทธศาสนาก็อยู่ที่ใจคุณต่างหาก คุณทำใจให้ผ่องแผ้ว ไม่คิดไม่ปรุงไม่แต่ง ทำใจให้สะอาดหมดจด ให้ขาวรอบอยู่ทุกขณะ จิตไม่ฟุ้งซ่าน ไม่พยาบาท ให้ลดละปล่อยวาง ว่างอยู่ตลอด ไม่อุปาทาน ไม่ยึดมั่นในตัวกูของกู ทำแต่จิตตัวเองให้ขาวสะอาด หมดจดผ่องแผ้วอยู่ทุกขณะลมหายใจ

แล้วก็ให้เห็นตามความเป็นจริง กับทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป สรรพสัตว์ทั้งหลาย สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง มีแต่ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ทำจิตให้ขาวรอบผ่องแผ้วหมดจด ทุกลมหายใจเข้าออก ลดละปล่อยวางตัวกู อัตตาตัวตน นี่คือแก่นแท้ของพระพุทธศานา.


Rank: 1

"สมาธิกับวิปัสสนาต่างกันยังไงค่ะ"

ถ้าสมาธิอย่างเดียวก็นิ่ง ไม่รู้ตัวเอง เสึยงเข้ามาก็ไม่รับรู้ เย็นร้อนอ่อนแข็งมาสัมผัสกายก็ไม่รับรู้ นั่งนิ่งอย่างเดียว แต่ถ้าเป็นอารมณ์วิปัสสนา วิ แปลว่าตัวปัญญา รู้แจ้งในอารมณ์ ที่นิ่งก็รู้ว่านิ่ง วิปัสสนามีสติและปัญญาปนอยู่กับสมาธิ มีสติรับรู้อารมณ์ 

ที่เป็นสมาธิก็รับรู้ว่าเป็นสมาธิ รู้ว่ามันสงบ แต่ถ้ามีอารมณ์มากระทบทางหูก็รับรู้ ถ้าลืมตา ตาไปกระทบรูปก็รับรู้ทันที หรือว่ากายอยู่ในองค์สมาธิ หูได้ยินเสียงก็รับรู้ ได้ยินเสียงมาสัมผัสหู เย็นมา มีลมผ่านมา กายเย็นก็รับรู้ว่ากายเย็น กายร้อนก็รับรู้ว่ากายร้อน มีมดมีอะไรมาแตะต้องตัวก็รับรู้ มีอะไรก็รับรู้หมด พร้อมกับปัญญาคอยพิจารณาในสิ่งนั้น รู้แล้วก็วาง

วิ แปลว่าตัวปัญญา รู้เท่าทันอารมณ์นิ่ง อารมณ์สุข อารมณ์ทุกข์ นิ่งในสมาธิ จิตเสพอารมณ์ เบิกบานในอารมณ์สมาธิก็รู้ รู้แล้วก็ใช้ปัญญาพิจารณา ถอนออกจากความยินดียินร้าย ไม่ให้ไปติดในอารมณ์ที่ชอบใจ ไม่ชอบใจ เพราะอารมณ์ชอบใจและไม่ชอบใจนี้ เป็นนิวรณ์เครื่องขวางกั้นให้ผู้ปฏิบัติธรรมเนิ่นช้า หรือติดอยู่แค่ตรงนั้น


Rank: 1

"อาการที่เรียกว่าปิติมีอะไรบ้างค่ะ เกิดเพราะอะไร ดีหรือไม่ดี และแก้ไขอย่างไร"

อาการซาบซ่านทั่วร่างกาย  ตัวเบาเหมือนจะลอย  น้ำตาไหล ขนลุกขนพอง  ตัวโยกไปมา  คันเหมือนมดไต่ ตัวแข็งเหมือนหิน  ลมหายใจหายไป  ตัวหายไป  ไม่รู้สึกว่ามีร่างกายนี้อยู่เลย ตัวลอยขึ้น ตัวสั่น มือมาตีหน้าผาก หัวโขกพื้น ตัวยืดตัวยาว ตัวขยายใหญ่กว้าง เห็นสีแสงสว่าง สั่นเป็นเจ้าเข้า นี้เป็นอาการของปิติ เกิดเพราะสติเราอ่อน หนักสมาธิไป 


เมื่อเกิดสมาธิที่ไม่มีสติเท่าเทียมกัน ทำให้เราไม่มีสติพอที่จะประคองร่างกายให้ตั้งไว้ได้ หรือหากน้ำตาไหล สติเราไม่ทันกับใจที่ถูกปรุงแต่ง และด้วยวิบากกรรม เมื่อสติไม่พอวิบากกรรมจะเข้าแทรก ปิติก็เป็นนิวรณ์หรือเครื่องข้องที่ทำให้การปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้า หยุดอยู่ตรงนั้น พอนั่งสมาธิก็ผลุบเข้าสู่สภาวะนี้เหมือนไปติดอยู่ในอีกภพหนึ่ง รู้ตัวอยู่แต่ไม่มีกำลังพอที่จะต่อต้านหรือพาตัวเองออกมา ต้องปล่อยให้คลายตัวลงเองจึงจะออกมาได้ 


นั่นเพราะสติเราอ่อนยังไม่มีกำลังพอที่จะต่อต้าน บางคนไปติดภาวะแบบนี้เป็น 10 ปีเพราะไม่รู้จะแก้อย่างไร ทำให้เลิกนั่งสมาธิไปเลยก็มี สรุปว่าไม่ดี แรกๆบางคนอาจจะตื่นเต้นเพราะไม่เคยเจอภาวะเช่นนี้ จากปกติมีแต่ภาวะฟุ้งซ่าน พอจิตสงบมาเจอสภาวะเช่นนี้ เลยคิดไปว่าตัวเองก้าวหน้าขึ้น ไม่ฟุ้งซ่านแล้ว 


บางคนอาจคิดไปว่ากำลังเข้าฌานนั้นฌานนี้ ไม่มีหรอกฌานตัวโยกไปโยกมา มีแต่ฌานโลกีย์ นั่งแล้วไม่มีสติรู้ตัวหรือควบคุมตัวเองไม่ได้ หากตายขณะนั้นคิดว่าจิตจะไปไหน ก็ไปแบบคนไม่มีสติ ไปตามบุญตามกรรมที่ทำมา หรือวิบากกรรมเก่าเข้าแทรกพอดี ก็ไปตามกรรมนั้นเลย น้ำตาไหล ขนลุกขนพอง  เห็นสีแสงสว่าง คันเหมือนมดไต่ ให้กำหนดรู้หนอๆ ไปจนกว่าอาการจะหาย อย่าไปปรุงแต่งต่อ 


ส่วนอาการอื่นๆทางร่างกาย ให้เดินจงกรม 5 นาที นั่ง 5 นาที ทำสลับไปสลับมาจนครบ 1 ชม. การทำแบบนี้ทำให้สติตื่นและตั้งมั่น ไม่ฟุ้งซ่าน ขจัดนิวรณ์ในใจ และทำให้ไม่ติดในความชอบที่จะนั่งนานๆ กระฉับกระเฉง ไม่ขี้เกียจ ช่วยปรับสมดุลร่างกาย โรคที่เป็นอยู่ถูกขับออก เป็นการรักษาโดยธรรมชาติ ทำเช่นนี้ประมาณ 2 อาทิตย์ อาการทุกอย่างก็จะหายไป เมื่อสติมีมากขึ้นก็เพิ่มเวลาตามสมควร หากเป็นอีกก็แก้กันอีก 


บางคนวิบากกรรมเข้าแทรกขณะนั่งสมาธิเกิดนิมิต ไม่รู้ว่าต้องกำหนด เจ้ากรรมนายเวรมาแสดงตัวและดึงเธอไป หลังจากนั้นก็กลายเป็นคนสติเลื่อนลอย ไม่รับรู้อะไรอีก เขาก็มาปฏิบัติแก้ด้วยการลุกนั่ง 5 นาที มาเป็นนิมิตมาอีกก็ให้กำหนดรู้หนอๆ อย่างเดียว ทำอยู่ปีกว่าและแผ่เมตตา อาการก็เป็นปกติ


ช่วงแรกอาจต้องตั้งเวลา เราต้องทนกับใจที่มันดิ้น มันขัดใจ มันไม่เอา มันไม่ยอม  ก็เพราะไอ้ใจที่มันดิ้นนี้ไม่ใช่หรือที่พาเราเดือดร้อน หากเราทนได้ ฝืนได้ มันก็จะหยุดดิ้นเอง เพราะมันชินแล้ว เมื่อจำระยะเวลาที่ต้องลุก ต้องนั่งได้ เราก็ลุกนั่งเองโดยไม่ต้องตั้งนาฬิกา  ทุกครั้งหลังการปฏิบัติ คุณแม่จะให้แผ่เมตตาเจาะจงให้กับเจ้ากรรมนายเวรตัวเอง แผ่ไปจนกว่าเราจะพ้นสภาวะตรงนี้ จึงเริ่มแผ่เมตตาให้คนอื่น


Rank: 1

"หนูไม่มีเงินทำบุญเลย แล้วการแผ่เมตตาของหนูจะมีกำลังได้อย่างไรค่ะ"

คุณแม่เราป่วยหนักมานานแล้ว ท่านร้องครวญครางเสียงดังทั้งวันทั้งคืน นอกจากการดูแลรักษา คุณแม่ชีเกณฑ์ท่านให้แบ่งเวลาเพื่อปฏิบัติธรรมจริงๆ จังๆ ทุกวัน แล้วแผ่เมตตาเจาะจงให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคุณแม่ของเรา

ตอนนี้เราแทบจะไม่มีเงินทำบุญเลย ถามท่านว่าแล้วจะมีบุญแผ่เมตตาให้เขาได้อย่างไร ท่านบอกว่าไม่เป็นไร อย่าได้กังวลในเรื่องนั้น ให้นึกถึงทานทุกอย่างที่เคยทำไว้มากมายในอดีต แล้วแผ่เมตตาออกไป

เรายังบอกท่านอีกว่า บางวันยุ่งมากจนไม่มีเวลาปฏิบัติ บางวันก็เหนื่อยมากจนปฏิบัติไม่ไหว นั่งสมาธิ พอสงบสักนิดก็หลับทุกที แล้วการแผ่เมตตาจะมีกำลังได้อย่างไร

ท่านบอกว่าแม้จะไม่ได้ปฏิบัติมากมายนักด้วยความจำเป็น แค่ปฏิบัติเดินจงกรมและนั่งสมาธิด้วยใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน ตั้งมั่น แน่วแน่ เป็นหนึ่งเดียว แค่เพียง 20 นาทีก็เพียงพอที่จะทำให้การแผ่เมตตานั้นมีกำลังแล้ว หรือในแต่ละวัน จิตเราไม่ถูกปรุงแต่ง ไม่ฟุ้งซ่าน ก็จะทำให้การแผ่เมตตานั้นมีกำลังเช่นกัน

ท่านให้เราส่งจิตไปถึงเจ้ากรรมนายเวรของคุณแม่ของเรา บอกเขาว่าหากเขายินดีปลดปล่อยแม่ของเรา ไม่ให้ท่านทุกข์ทรมาน เราจะบวชและปฏิบัติธรรมอย่างจริงๆจังๆ แล้วอุทิศบุญให้พวกเขาได้พ้นจากความทุกข์ทรมานและภพภูมิที่เป็นอยู่

ถามคุณแม่อีกว่า จะเจรจาขอเจ็บป่วยทุกข์ทรมานแทนคุณแม่ของเราได้ไหม ท่านถามกลับว่าเวลาเราโกรธใคร หากลูกเขามาบอกให้ไปโกรธเขาแทน เราเปลี่ยนคนโกรธได้ไหม มันเป็นคนละคนกัน ใจเราก็ไม่โกรธ หากไปทำอะไรเขาก็เท่ากับสร้างกรรมให้ตัวเองเสียอีก ทางเดียวที่จะแทนกันได้คือปฏิบัติธรรมจริงๆ จังๆ อย่างถูกทางและแผ่เมตตาให้กับพวกเขา

เราไม่รอเวลา แม้จะยังไม่ได้บวช เราก็ขอตั้งจิตอธิฐานปฏิบัติธรรมอย่างจริงๆ จังๆ ทุกวัน แล้วแผ่เมตตาให้กับพวกเขา เพื่อให้ความทุกข์ทรมานของคุณแม่ของเราได้คลายลงบ้าง ขอแบ่งปันความรู้เล็กๆน้อยๆ นี้ ไปยังเพื่อนๆ ทุกท่าน เผื่อว่าอาจจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง


‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-4-20 03:07 , Processed in 0.466750 second(s), 13 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.