แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

ธรรมโอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๑

หลักธรรมะชีวิตประจำวัน


(วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณพรชัย สุวรรณชื่น : ขอกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า เราจะมีหลักปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อละกิเลส ในเรื่องความโลภเห็นแก่ตัว จะปฏิบัติได้ด้วยวิธีใดครับ

สมเด็จ : เจริญพร คือ หลักที่ท่านจะปฏิบัติธรรมไม่ให้ตัวโลภะต่อตัวท่านนั้น

ขั้นแรก ท่านจะต้องถามตัวท่านว่า วันหนึ่ง ท่านต้องการกินข้าวกี่ชาม นี่เป็นจุดแรก

จุดที่ ๒  เมื่อท่านรู้ว่า ท่านต้องการกินข้าวกี่ชามแล้ว ชีวิตของท่าน ฝากอยู่กับสังคมหรือไม่

จุดที่ ๓  เมื่อท่านกินอิ่มแล้ว ท่านต้องการอะไรมากไปกว่านี้


จุดที่ ๔  สิ่งที่ท่านต้องการ เมื่อมีอยู่แล้ว ท่านรู้จัก “พอ” หรือไม่

เพราะเหตุใดเล่า ก็คือว่ามนุษย์ทุกวันนี้

๑. ไม่พยายามเข้าซึ้งถึงว่า สังขารเรานี้เกิดขึ้นมาได้นั้น เพราะปฏิกูลบำรุงปฏิกูล เพื่อให้ขันธ์นี้อยู่ อยู่เพื่อใช้กรรมตามวาระ ตามภาวะ

๒. ไม่คิดถึงว่า ความตายกำลังก้าวเข้ามาหาเราทุกๆ วินาที ในการสับเปลี่ยนของพระอาทิตย์และพระจันทน์ เพราะว่า วันหนึ่งๆ ผ่านไป ชีวิตท่านแก่ลงไปทุกวัน วันหนึ่งๆ ผ่านไป เด็กโตขึ้นมาทุกวัน เด็กผู้หญิงวันหนึ่งโต ๒ เมล็ดข้าวเปลือก เด็กผู้ชายวันหนึ่งโต ๑ เมล็ดข้าวเปลือก ถูกหรือผิดไม่รู้ ต้องถามศาสตราจารย์ชีววิทยา (ดร.คลุ้ม วัชโรบล)

ทีนี้ ภาวะทั้งหลาย เมื่อท่านกินอิ่ม ท่านมีปัจจัย ๔ พร้อม ท่านเพียงพอในปัจจัย ๔ ที่ท่านมีอยู่หรือไม่

ทีนี้ ในการที่ท่านไม่เพียงพอ เพราะว่า ท่านฝากชีวิตการเป็นอยู่ของท่านไว้กับสังคม โดยไม่ยอมพิจารณาว่า สังขารเรานี้ แท้ที่จริงต้องการเพียงสิ่งปกปิดธรรมดา เมื่อปกปิดแล้ว มันก็อยู่รอดตามภาวะ ไม่จำเป็นต้องไปเปลี่ยนตามภาวะตามกรรมของมนุษย์พวกที่ทะเยอทะยานในวัตถุนิยมอย่างไม่รู้จักจบสิ้น

เพราะฉะนั้นก็คือว่า การที่จะไม่ให้มีตัวโลภเข้ามา เราจะต้องรู้จักตัว “พอ” คือ พอกิน พออยู่ พอใช้ สามพอย่อมมีสุข

แล้วพิจารณาถึงความตายเป็นสรณะ ว่าโลกไปนั้น ถึงมีเงิน ๑๐ ล้าน เมื่อตายไป อีแปะหนึ่งจะคาบไปหายมบาลก็ยังไม่ได้ เพราะฉะนั้น สร้างความดีไว้กับสังคม ตายไปแล้วเหลือแต่ชื่อให้คนวิจารณ์ในรุ่นหลังดีกว่า

ฉะนั้น ถ้าทุกคนใช้หลักอันนี้เป็นสรณะ ในการพิจารณาชีวิตประจำวัน ก็ย่อมที่จะเป็นประตูอันหนึ่งที่จะป้องกันตัวโลภ ที่เข้าตัวท่านได้ พอจะเข้าใจไหม

คุณพรชัย : เข้าใจครับ

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๒

สวดพระคาถาชินปัญชรเพิ่มปุ๋ยใจ



ปุ๋ยใจนั้น สำคัญอย่างไร



เหตุที่มนุษย์นั้นวุ่นวาย ก็เพราะมีปุ๋ยกายมากเกินไป ลืมใส่ปุ๋ยใจ เมื่อบำรุงร่างกายมาก ด้านจิตใจไม่ได้บำรุง พูดอย่างสมัยใหม่ว่า มนุษย์พัฒนาแต่ร่างกาย แต่ไม่ได้พัฒนาจิตใจ

หันมาหาปุ๋ยใจให้กับตัวเองบ้าง ด้วยการสวดพระคาถาชินปัญชร ทำจิตให้สงบ ยกระดับจิตวิญญาณของตนให้สูงขึ้น แล้วโลกมนุษย์นี้ จะอยู่กันอย่างสงบ สันติสุข
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

9.png



ความเพ่งพินิจย่อมไม่มีแก่ผู้หาปัญญามิได้

ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เพ่งพินิจ  

ผู้ใดมีความเพ่งพินิจทั้งปัญญา

ผู้นั้นย่อมอยู่ใกล้นิพพาน


png-transparent-gold-colored-border-metal-gold-jewelry-chemical-element-gold-coi.png



ก่อนที่จะลงความเห็นในสิ่งใด
เราจะต้องเอาตนเข้าไปพัวพันกับสิ่งนั้น
และเข้าไปพิสูจน์ในสิ่งนั้น
แล้วได้ลองรู้หลักแห่งกฎเกณฑ์ของสิ่งนั้น
ค่อยลงความเห็น


png2.png



ผู้ใดเห็นธรรม   ผู้นั้นเห็นตถาคต

ผู้ใดปฏิบัติธรรม   ผู้นั้นรู้เอง


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

4.png



ตอนที่ ๑

สงสารสัตวโลก


(วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณจิ้นตง แซ่เลี่ยว : ขอนมัสการสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ครับ กระผมมีเรื่องที่จะถามหลวงพ่อ เรื่องของพุทธทำนายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กระผมจะอ่านใฟ้ฟังนะครับ...


พระพุทธพจน์ทำนาย


(คัดลอกจาก ศิลาจารึกเขตมหาวิหารในสวนมฤคทายวัน)

คณะธรรมทูตผู้ไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระศรีมหาโพธิ์ที่ประเทศอินเดีย เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๔ ได้คัดลอกพระพุทธพจน์ทำนายจากศิลาจารึกเขตมหาวิหารในสวนมฤคทายวัน

แปลได้ดังนี้

สาธุ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระเมตตากรุณาแก่สัตวโลก ซึ่งเกิดมาล้วนแต่ลำบากยิ่งนัก ในคราวที่พระองค์ใกล้ถึงพระชนมายุย่างเข้าพระปรินิพพานตามกาลเวลา จึงตรัสแก่พระอานนท์ ศิษย์ผู้อันสนิทสนมพากเพียรพยาบาลว่า

ดูกรอานนท์ สัตวโลกทั้งหลายที่เกิดมา ล้วนแต่ลำบากทุกชาติ ทุกศาสนา ตามธรรมชาติที่หมุนเวียนของโลก โลกหมุนไปใกล้ความแตกทำลาย จนถึงสมัยที่อาตมานิพพานไปแล้วได้ ๕๐๐๐ ปี

เมื่อโลกไปใกล้กึ่งจำนวนที่อาตมาทำนายไว้ (๒๕๐๐) ปี มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารทิศเสียครึ่งหนึ่ง ในระยะ ๓๐ ปี สิ่งที่ศาสนิกชนไม่เคยพบเห็น ยักษ์หินถูกสาปให้หลับก็กลับตื่นขึ้นมาอาละวาดยิ่งหนัก เมื่อใกล้กึ่งศาสนาของอาตมาก็ทวีภัยใหญ่ขึ้นทุกทิพาราตรี และมนุษย์นอกศาสนาก็จะมารบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินและแผ่นน้ำ

แม้ในอากาศก็มีอำนาจภัยจากฟ้าทุกทิศานุทิศ ไฟจะลุกลามเผาผลาญมนุษย์ไม่ขาดระยะ ต่างฝ่ายต่างทำลายกันย่อยยับเหมือนยักษ์กระหายเลือด แผ่นดินแผ่นน้ำจะเดือดเป็นไฟ และตายกันไปฝ่ายละครึ่ง จึงเลิกรา ต่างฝ่ายต่างหมดกำลังด้วยกันตามวิสัยของยักษ์ร้ายนอกศาสนา ซึ่งกำเนิดมาจากสัตว์ป่าอำมหิต

ส่วนศาสนิกชนผู้ขวนขวายในทางบุญตามเดิมวัจนะของอาตมา ก็จะสามารถระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านใดที่เคารพสักการะพระศรีมหาโพธิ์และกาสาวพัสตร์ จะได้รับวิบัติเบาบางลง แต่จะหนีธรรมชาติไม่พ้น

เริ่มแต่ศาสนาอาตมาล่วงมาได้ ๒๔๘๕ ปี เป็นต้นไป ไฟจะลุกมาทางทิศตะวันออกไหม้วัดวาอาราม สมณชีพราหมณ์จะอดอยากยากเข็ญ คนบ้านจะเข้าป่า สัตว์ป่าจะเข้ากรุง เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ มหาสมุทรจะชอกช้ำ สงครามจะทั่วทิศ ศึกจะติดเมือง ทหารจะเป็นเจ้า ข้าวจะขาดแคลน ทั่วแคว้นจะอดอยาก พลูหมากจะหมดเปลือง ปราชญ์เปรื่องจะสิ้นสูญ

ราชตระกูลอำมาตย์ ราษฎรทุกคนจะพากันถืออำนาจไม่เป็นธรรม มาเคารพหลักธรรม โดยปรวนแปรนิยม เชื่อถือถ้อยคำของคนโกง คนกล่าวคำเท็จ คนประจบสอพลอ ย่อมได้รับการเชื่อถือในท่ามกลางสังคมสันนิบาต ผู้ดีมีศีลธรรมประพฤติชอบ ไม่มีเสียง (อธรรมพูดจ้อ แต่ธรรมเป็นใบ้) จะเกิดการจลาจลวุ่นวาย ลูกจะพลัดจากลูกโคกเป็นน้ำ ผีโขมดป่าจะเข้าเมือง พระเสื้อเมืองทรงเมืองจะเข้าไพร เทวดาจะเรียกแมลงบี้เหล็กโกฏิหนึ่ง ผีเสื้อแสนหนึ่ง มาปล่อยไข้เป็นไฟผลาญ

เมื่อศาสนาอาตมาล่วงมาได้ ๒๕๐๗ (ปีมะโรง) เคยเปลี่ยนสภาพเดินเป็นคลาน ล่วงได้ ๒๕๐๘ (ปีมะเส็ง) ตลิ่งจะพัง แผ่นดินถิ่นอธรรมจะถล่มเป็นทะเล ล่วงได้ ๒๕๑๒ (ปีระกา) เมืองมนุษย์จะมืด ๗ วัน ๗ คืน โลกดิ่งสู่ความหายนะ

บุคคลเจริญด้วยเมตตา กรุณา ไม่เบียดเบียน ข่มเหง อิจฉาพยาบาท และไม่ประทุษร้ายซึ่งกันและกัน ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรม และยึดถือคาถาของอาตมา จะพ้นภัยพิบัติ ให้เจริญภาวนาดังนี้

“หิตะชิราทัน มันกะโลอังคะ ศิลากะละสา สาสะสะติ โหตะถิโหคะหะคะเน” ให้ท่องบ่นภาวนาเป็นนิจ ให้จดอักษรใส่กระดาษหรือผ้าขาวปิดไว้หน้าบ้าน หัวนอน หรือพันศีรษะไว้ สารพัดภัยพินาศ สันติประสิทธิ์

ดูกรอานนท์ อาตมาสงสารสัตวโลกเป็นล้นพ้น ที่มีอายุขัยอยู่ได้ใกล้ยุคกึ่งยุคสลาย


เมื่อศาสนาของอาตมาล่วงได้ ๒๕๑๒ (ปีจอ) พระจันทร์จะเริ่มเปล่งแสงฉายโลก ครั้นล่วงได้ ๒๕๑๕ (ปีชวด) นับพ้นระยะ ๓๐ ปี พวกอธรรม คือพวกที่ไม่ตั้งอยู่ในศีลในสัตย์ ไร้ซึ่งศีลธรรมนั้นจะหมดสิ้นไป เพราะพวกมิจฉาทิฐิจะต้องดับสิ้นไปจากโลก อธรรมแพ้ในที่สุด ครุฑจะบินกลับถิ่นสถาพร คนที่จรจะกลับเข้ากรุง บำรุงธรรม ธรรมจะชนะ พระจะต้องอยู่คู่บ้านเมืองต่อไป

การงานของมนุษย์ จะสำเร็จด้วยอริยศาสตร์ ซึ่งไม่ต้องเบียดเบียนแรงผู้ใด ทุกคนจะสมบูรณ์ด้วยศีลธรรมและชีวิตผาสุก มหากษัตริย์ธรรมิกราชผู้เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง จะเกิดภายในความอุปถัมภ์ของพระมหาเถระโพธิสัตว์ ทั้งสององค์นั้น จะจัดการบำรุงศาสนาของอาตมา ในระยะนี้เป็น “ยุคศรีวิไล” พระมหาเถระโพธิสัตว์จะเกิดในสมัยของอาตมาล่วงมาแล้ว ๒๔๕๔ ปี

เมื่อล่วงได้ ๒๔๖๗ ถึง ๒๔๘๖ พระมหากษัตริย์ธรรมิกราชจะมาเกิด ทั้งสองพระองค์นั้นสถิตอยู่ ณ เบื้องทิศตะวันออกของมัชฌิมประเทศ ระหว่างปีจอ ปีกุน เมื่อศักราช ๒๕๑๓ กับ ๒๕๑๔ ผู้มีบุญทั้งสองพระองค์นั้น จะเสด็จเข้าบำรุงศาสนาให้เที่ยง แม้สมณชีพราหมณ์จะเสด็จมา ๘๔,๐๐๐ รูป

ดูกรอานนท์ อาตมาสงสารสัตว์ เวลานั้นพลโลกยังเหลือน้อยเต็มที คำทำนายของอาตมานี้ ยังสัตว์ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้ว เชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่บอกเล่าให้ผู้ใดรู้กันต่อๆ ไป นับว่าเป็นกรรมแห่งสัตว์ต่างสิ้นสุดกันตามเวลา ผู้ใดปรารถนาจะได้เห็นหรือทันผู้มีบุญ ให้รักษาศีลห้าประการหนึ่ง ยำเกรงบิดามารดา รู้จักคุณท่านผู้มีคุณหนึ่ง ให้เจริญภาวนาในพรหมไตรสภาพหนึ่ง คาถาว่าดังนี้

พุทธิทุกขัง อนิจจัง อนัตตา นะโมสัพพะราชา ขัตติโย อิติ ปาระมิตา ตึสา อิติ สัพพัญญุมาคะตา อิติ โพธิ มะนุปปัตโต อิติปิโส จะ เต นะโม

รู้แล้วอย่าประมาท ให้ท่องบ่นภาวนารักษาศีล


สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี : เรื่องพุทธทำนายนี้ ผู้ที่จะศึกษารู้ในเรื่องนี้ จะศึกษามาจากในด้านพระสูตร

ทีนี้ ในการทำนายในครั้งนี้ ไม่ใช่ที่ราชคฤห์ ไม่ใช่เชตวัน แต่การทำนายครั้งนี้ อยู่ใกล้ ณ เมืองกุสินารา ฉะนั้นก็ค้านกับตำราปัจจุบัน ก็คือ เมื่อองค์สมณโคดมได้เดินทางมาถึงใกล้เมืองกุสินารา ในภาวการณ์ที่จะปรินิพพานในกรุงกุสินารานั้น เพราะได้ฉันอาหาร ณ บ้านนายจุนทะ หลังจากฉันอาหารแล้ว ก็เกิดอาการปั่นป่วน ก็ได้บอกกับพระอานนท์ว่า

อานนท์ เรานี้จะไม่พ้นในการทิ้งสังขารแล้ว เวลาแห่งการปรินิพพานของเราใกล้มาแล้ว อานนท์ เราจะเร่งรีบเดินทาง เพื่อให้ถึงชานเมืองกุสินารา จะได้เข้าไปประกาศให้เหล่ากษัตริย์ในแคว้นนั้น ให้เตรียมการที่จะทำการเผาผลาญสรีระของเรา เมื่อเราปรินิพพานแล้ว

ในกาลครั้งนั้น พระอานนท์ยังไม่สำเร็จเป็นพระอริยบุคคล ยังติดในรส ติดในรูป ติดในเสียงองค์สมณโคดมอยู่ ก็ร้องห่มร้องไห้ว่า ถ้าพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว อะไรจะเป็นตัวแทนของพระองค์เล่า

องค์สมณโคดมก็บอกว่า พระธรรมที่ตถาคตแสดงมาทั่วแคว้นนั้นแล จะเป็นครูที่ดีของเรา พระอานนท์นั้นยังไม่คลายโศก ท่านก็เดินไปร้องไห้ไป


องค์สมณโคดมจึงตรัสว่า อานนท์เอ๋ย การโศกาเป็นผู้แพ้จึงหลั่งน้ำพระเนตร พสุธาไม่ช่วยเจ้า การหลุดพ้นอยู่ที่ตนปฏิบัติให้ถึงซึ้งในจิต ไม่ใช่ร้อง ตถาคตไม่มีกลับ” นี่คือวิธีการของนักปราชญ์นักแสดงพุทธพจน์ เขาเรียกว่า หลักปรัชญา ย่อมที่จะไม่ต้องแสดงถึงในความแจ่มแจ้งแห่งอรรถาธิบายแบบนิยาย

การศึกษาธรรมะให้แท้จริง พระกัสสปะจะบอกว่า “สาวกข้าทั้งหลาย เจ้าจงดูเบื้องหน้าข้านั้นแหละพระโพธิสัตว์” ก็คือ ภูเขา

ภูเขานั้นนิ่ง นี่คือการสอนธรรมะในยุคนั้น


ทีนี้ ในพลังทั้งหลาย องค์สมณโคดมก็พยายามทุกวิถีทางที่จะเร่งให้อานนท์รีบๆ เข้าฌานญาณ เพื่อจะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ในขณะนั้น ก็ได้กล่าวพุทธพจน์ว่า “หลังจากตถาคตเข้าสู่ปรินิพพานนั้น หลังจากนั้น ความปั่นป่วนในโลกมนุษย์ก็จะเกิดขึ้น พุทธศาสนาจะบินเหนือจากชมพูทวีป หลังจากตถาคตสิ้นไปแล้ว ๑๐๐ ปี” ก็เป็นความจริงในยุคนั้น

ทำไมองค์สมณโคดมจึงสามารถพยาการณ์ล่วงหน้า รู้แจ้งแทงตลอดเป็นเวลาพันๆ ปี ก็เพราะว่า องค์สมณโคดมนั้น เป็นผู้ที่เรียกว่า เป็นพุทธะแห่งยุค พุทธะแห่งยุคย่อมสะสมเจโตปริยญาณอย่างแข็งแกร่ง เจโตปริยญาณขององค์สมณโคดมนั้น เหนือกว่าอรหันต์ ๓ เท่า จึงสามารถพยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้าได้เป็นพันๆ ปี


pngegg.5.3.1.png




ยุค ๑๐๐ ปี หลังพุทธกาล


สมเด็จ : เมื่อองค์สมณโคดมทิ้งขันธ์จากโลกมนุษย์สู่โลกวิญญาณแล้วนั้น หลังจากนั้น ๑๐๐ ปี ศาสนาพุทธได้แตกแยกออกเป็น ๓๒ นิกาย ความปั่นป่วนไม่รู้จะเชื่ออะไรเป็นหลัก ก็เกิดขึ้นในชมพูทวีปในยุคนั้น จนพุทธศาสนาล่วงไปแล้ว ๓๐๐ ปี ค่อยมาเกิดการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาอีกครั้ง หนึ่งในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช จึงได้เจริญขึ้นในขณะนั้น

pngegg.5.3.2.png




ยุค ๒๐๐๐ ปี หลังพุทธกาล


สมเด็จ : พระพุทธองค์ได้พยากรณ์ไว้อีกว่า “ศาสนาตถาคตดำเนินไปสิ้นสุดสมัยพระเจ้าอโศก ศาสนาของตถาคตจะสิ้นสูญจากชมพูทวีปไปเจริญสู่ตะวันออก” คือเดินทางเข้ามาเจริญในแคว้นธิเบตมาทางสุวรรณภูมิ ผ่านทางแหลมมลายู

ทำไมศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นศาสนาที่เกิดขึ้นในชมพูทวีป แต่หลังจากพุทธกาลล่วงเลยไปไม่ถึง ๒๐๐๐ ปี ศาสนาพุทธทำไมต้องสูญสลายจากอินเดียเล่า ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าเกิดในอินเดีย และเป็นศาสนาที่รุ่งเรืองในยุคก่อนพุทธกาล

เหตุไฉน จึงทำให้ชาวชมพูทวีปไม่ค่อยรู้เรื่องศาสนาพุทธ หลังจากพุทธกาลล่วงเลยไปแล้ว ๒๐๐๐ ปี ศาสนาพุทธกลับมาโผล่ขึ้นทางลังกา พม่า ขอม สยาม จีน และธิเบต ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นเล่า สิ่งเหล่านี้ มันเป็นวิบากกรรมของเขา เรียกว่า ถึงภาวะแห่งความวิบากในจุดหนึ่ง มันจำเป็นต้องปล่อยตามภาวะกรรมนั้นๆ

pngegg.5.3.3.png




ยุค ๒๕๐๐ ปี หลังพุทธกาล


สมเด็จ : พระพุทธองค์ได้พยากรณ์ไว้อีกว่า “เมื่อพุทธกาลล่วงไปแล้ว ๒๕๐๐ ปี จิตใจของมนุษย์จะเสื่อมจากศีลธรรมประจำใจ ในขณะนั้น ก็จะเกิดกลียุคทั่วพิภพไปจนกว่าพุทธกาลจะถึง ๓๐๐๐ ปี ในระหว่างที่เกิดกลียุคนั้น ก็จะมีพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง มาช่วยผดุงศาสนา เมื่อหลังพุทธกาล ๒๕๐๐ ปีไปแล้ว”

พระโพธิสัตว์องค์นั้น ในขณะนี้มนุษย์ให้ฉายาว่า หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) แห่งกรุงสยาม แต่ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จะไม่ทันการ เพราะต้องใช้เวลาแห่งการเติบโตของกายเนื้อ มติโลกวิญญาณจึงได้สั่งตั้งสำนักปู่สวรรค์ขึ้นในโลกมนุษย์ เพื่อที่จะดำเนินการในการผดุงศาสนาขึ้น

เรื่องนี้ ถ้าท่านเป็นนักศาสนาแท้จริงแล้ว ท่านจะเข้าใจว่า พวกคริสตัง คริสเตียน เขาจะมีคัมภีร์ไบเบิล ในคัมภีร์ตอนหนึ่ง มีคำพยากรณ์ว่า เมื่อระยะหนึ่งแห่งคริสตกาลล่วงไปแล้ว อาตมาคิดว่าคงมีระบุว่า จะมีสำนักหนึ่งเกิดขึ้นในเอเชีย ซึ่งพระเจ้าลงมาทำงาน และถ้าท่านค้นคว้าเข้าไปในตำราอิสลาม ในคัมภีร์อัลกุรอาน ก็จะมีการพยากรณ์ถึงการที่พระเจ้ามาทำงานในพื้นภาคนี้

ทีนี้ ในภาวะนั้นก็เรียกว่า สัตวโลกทั้งหลายอยู่ในสภาพการณ์ที่จะต้องรับกรรมวิบากตามพุทธทำนาย หลายเรื่องที่อาตมาไม่อยากจะเทศน์มาก แล้วในการที่เขาพยากรณ์ที่อ่านมาเมื่อตะกี้นี้ บางตอนก็เป็นอรรถกถาจารย์ขยายความต่อเติมให้ดีขึ้น


เพราะฉะนั้น ในพุทธทำนายก็คือว่า เมื่อเลยกึ่งพุทธกาลไปแล้ว จิตใจของมนุษย์จะเสื่อม คนดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนน คนไร้สัตย์มีอำนาจ คนมีสัตย์ต้องอยู่ป่า

ในภาวะเหตุการณ์ทั้งหลายที่ท่านเห็นอยู่นี้ ก็กำลังเกิดขึ้นในโลกมนุษย์ อาตมาก็มาทำงาน เพื่อที่จะช่วยผดุงเกี่ยวกับงานนี้ ซึ่งงานที่สำนักปู่สวรรค์จะทำนั้น เป็นงานระดับโลก ระดับประเทศ ไม่ใช่ระดับชาวบ้าน


ถ้าระดับชาวบ้านก็แค่มารักษาโรค แค่มาเทศน์ธรรมดา เวลานี้เขาก็เทศน์กันเยอะแยะ อาจารย์เยอะแยะ อาจารย์มากกว่าขอทานในยุคนี้ และการมารักษาโรคธรรมดาแค่นี้ เทวดาสักองค์หนึ่งก็ลงมารักษาได้ ไม่ต้องถึงขั้นขรัวโตลงมาทำงานหรอก ไม่ต้องถึงขั้นพระโพธิสัตว์ลงมาทำงานหรอก

p6.png




โลกมนุษย์จะเกิดไฟเผาผลาญ


สมเด็จ : ส่วนในเรื่องที่ว่า โลกมนุษย์จะเกิดไฟเผาผลาญนั้น ก็ในขณะนี้ มนุษย์ได้สร้างสิ่งที่ไปดวงจันทร์ คือโลกเรานี้ มันมีแกนของโลก แล้วการที่ท่านสร้างในเหล็กทั้งหลาย (ยานอวกาศ) ที่ยิงไปสู่ดวงจันทร์นั้น มันเป็นการกระทบกระเทือนระหว่างรัศมีของนภากาศ ทำลายเมฆหมอกฝนที่จะตกต้องตามฤดูกาล

และตอนที่ (ยานอวกาศ) จะกลับมาสู่โลก ชนผิดทางก็เหล็กสลาย ชนถูกทางก็เกิดการกระเทือน เมื่อกระเทือนมากๆ แกนของโลกมันก็ไม่มั่นคง ก็เรียกว่า มนุษย์ขณะนี้กำลังสร้างวัตถุ เพื่อทำลายมนุษย์กันเอง

มนุษย์ทั้งหลาย ท่านอย่าโง่เลย วัตถุที่ท่านสร้างยิงออกไปนอกโลกนั่นน่ะ ท่านจะทำอย่างไร ก็ไม่มีทางถึงในจุดที่ท่านต้องการ สู้ท่านหันกลับมาค้นจิตในจิต ค้นกายในกายดีกว่า สมาธิอำนาจฌาน จะทำให้ท่านเรียกว่า ลัดนิ้วมือเดียว เที่ยวทั่วพิภพจักรวาลได้

แค่ขณะจิต ท่านสามารถไปเที่ยวถึงนรกโลกได้
ขณะจิต ท่านสามารถไปเที่ยวถึงพรหมโลก
ขณะจิต ท่านสามารถไปเที่ยวถึงดาวพระอังคาร ดาวพระศุกร์ พระจันทร์


p5.png




ทะเลเพลิงบนโลกพระจันทร์


สมเด็จ : แม้ท่านสามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ไปในที่นั้นได้ ท่านก็ไม่มีโอกาสที่จะใช้ในที่นั้นให้เป็นประโยชน์ เพราะว่า

๑. อากาศบนดวงจันทร์กับอากาศบนโลกมนุษย์ไม่เหมือนกัน

๒. บนดวงจันทร์มีทะเลเพลิง ท่านยังไม่ได้เข้าไป เกิดวันไหนท่านกะว่าตรงนั้นเป็นน้ำ เมื่อนั้นแหละ ท่านจะส่งสิ่งวัตถุ ส่งมนุษย์เข้าไปเผาผลาญในทะเลเพลิงบนโลกพระจันทร์

สิ่งที่ท่านสร้างขึ้นมานั้น ท่านต้องใช้ปัจจัยเท่าไหร่ ท่านต้องใช้เหล็กกล้าชั้นหนึ่งของโลกมนุษย์ ท่านต้องใช้ใยสังเคราะห์ชั้นหนึ่งมาเป็นเครื่องนุ่งห่มของมนุษย์ที่จะไป ท่านจะต้องลงทุนเป็นพันๆ ล้าน แต่ไปถึง ท่านยังไม่มีความสำเร็จในการที่จะจัดตั้งสถานีอยู่บนนั้นได้โดยเร็ว เพราะว่า ดวงจันทร์นั้นอาศัยการโคจรของจักรวาลนี้ แต่ว่าได้รับรังสีรัศมีของอีกจักรวาลหนึ่ง

อาตมาก็เคยเทศน์ไว้แล้วว่า จักรวาลทั่วพิภพนี้ ไม่ใช่ว่ามีดวงอาทิตย์ดวงเดียว จักรวาลที่ท่านค้นพบนี้ เป็นเพียงเศษหนึ่งส่วนสิบของสิ่งธรรมชาติในพิภพ ดวงอาทิตย์ในพิภพมีอยู่ ๓๔ ดวง และในการดึงดูดของกระแสคลื่นของดวงดาว อยู่ในภาวะต้องอาศัยแกนแม่เหล็กไหลในการยึดตน เพื่อโคจรตามภาวะในนภากาศ


เพราะเหตุนี้ ถ้าท่านพยายามสร้างสิ่งเหล่านี้มากๆ ยิงไปดวงจันทร์มากๆ ภายใน ๓ ปีนี้ ความสั่นสะเทือนก็จะทำให้เกิดความแห้งแล้งในพิภพ ไม่ถึง ๒๐ ปี ความอดอยากก็จะเกิดขึ้นในโลกมนุษย์ ภาวะที่มนุษย์จะกินมนุษย์ก็จะเกิดเร็วเข้า

ฉะนั้น สิ่งทั้งหลาย เราจะทำอย่างไรให้มนุษย์มาเข้าใจ รู้ถึงว่าจักรวาลนี้ ยังมีสิ่งลี้ลับเหนือท่าน ท่านจะไปเที่ยวที่ดาวอังคาร ท่านไม่ต้องไปด้วยวัตถุ ท่านไปด้วยจิตวิญญาณได้ โดยท่านหันกลับมาศึกษากรรมฐานวิปัสสนาตามแนวของโคตมะซิ

p4.png




ทำงานเพื่ออนาคต ปี พ.ศ.๓๐๐๐


สมเด็จ : ฉะนั้น ในเหตุการณ์ทั้งหลาย คำพยากรณ์เป็นปัจจัยอันหนึ่ง แต่ขึ้นอยู่กับมนุษย์ฆ่ามนุษย์เป็นปัจจัยอันหนึ่ง

พระพุทธองค์มีเจโตปริยญาณเหนือกว่าสรรพวิญญาณในโลกมนุษย์ จึงสามารถคาดการณ์เหตุการณ์ทั้งหลายเป็นเวลาพันๆ ปี แล้วเรื่องศาสนาพุทธนี้เป็นเรื่องใหญ่ คือ

หลังจากพุทธกาลล่วงไปแล้ว ๑๗๐๐ ปี การปฏิบัติตามแนวอันแท้จริงขององค์โคตมะมีน้อยมาก จึงไม่มีการเหาะเหินเดินอากาศของมนุษย์เกิดขึ้น คือไม่มีผู้ปฏิบัติให้ถูกหลักของกรรมฐานวิปัสสนา พอมาถึงอรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ยุคนี้ ยิ่งร้ายใหญ่ อ่านตำรา ๒ เล่ม ก็ประกาศตนเป็นอาจารย์ แล้วก็เที่ยวค้านในสิ่งลี้ลับ สิ่งมหัศจรรย์ที่ตัวเองทำไม่ได้

อาจารย์สอนวิปัสสนาขณะนี้ ไปดูแล้วท่านจะสังเวช ก็คือว่า ให้ลูกศิษย์นั่งตามนี้นะ ต้องว่าตามนี้นะ เดี๋ยวอาจารย์ไปดูดยาก่อน ให้ลูกศิษย์นั่งไป อาจารย์ไปเคี้ยวหมากก่อน นี่คืออาจารย์ที่สอนวิปัสสนาในยุคนี้

ฉะนั้น การจะปฏิบัติถึงขั้นเอกัคตาจิต ถึงขั้นฌานญาณ เหาะเหินเดินอากาศ จึงเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ เพราะว่าตัวผู้สอนก็ไม่ถึง ตัวผู้เรียนก็ไม่ถึง เล่นวิปัสสนึก เวลานี้ก็นึกกันจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

ในการมาทำงานของอาตมา อาตมาก็บอกแล้วว่า ขรัวโตถ้าจะทำงาน งานเล็กไม่ทำ ต้องทำงานใหญ่ และในการทำงานของสำนักปู่สวรรค์ ก็ไม่ใช่ทำงานเพื่อยุคปัจจุบัน สำนักปู่สวรรค์ทำงานเพื่อยุคอีกยุคหนึ่ง เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไปแล้ว ๓๐๐๐ ปี ในขณะนั้น สำนักปู่สวรรค์จะถูกขุดคุ้ยขึ้นมาในกลุ่มชนในยุคนั้นได้ศึกษา

คุณจิ้นตง : แล้วเรื่องคาถานี่เล่าครับ ที่ว่าทุกๆ บ้านจะต้องเขียนติดไว้แล้วท่องบ่นจะพ้นภัย เป็นจริงหรือเปล่าครับ

สมเด็จ :  คาถานี้เป็นอรรถาธิบาย เป็นการสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัยของผู้มีศีล เพราะฉะนั้น ถ้าคาถานี้ติดอยู่ที่บ้านเฉยๆ แล้วผู้นั้นไม่เป็นอะไร เอ็งก็ติดคาถาแล้วไปเที่ยวปล้นคน ดูซิว่าจะเป็นอะไรไหม

คุณจิ้นตง : เขาให้สวดทุกวันด้วยครับ สวดทุกเช้า

สมเด็จ : เพราะว่าในการสวด การสาธยายมนต์นั้น เป็นการพูดถึงพุทธพจน์ พูดถึงในสิ่งที่ดี ในสิ่งที่เป็นมงคล เป็นการสรรเสริญพระพุทธคุณ ถ้าแปลออกมาเป็นภาษาไทยแล้วก็เป็นการเตือนใจ เป็นการให้เรามีเมตตา เป็นการให้เราประพฤติปฏิบัติจิตให้ถ่องแท้ ให้เข้าซึ้งถึงธรรมชาติ เพราะฉะนั้น คาถาทั้งหลาย ถ้าแปลอรรถพยัญชนะออกมาแล้ว ก็เป็นธรรมล้วนๆ นั่นเอง ไม่มีอะไรมาก อยู่ที่ท่านปฏิบัติเอง

แบบบางคนบอกว่า คาถาชินปัญชรของอาตมาสวดแล้วดี เพราะว่าบารมีของผู้สำเร็จเป็นอรหันต์ เป็นอริยบุคคลมาคุ้มครองเรา ไม่แน่เสมอไป คือ สิ่งสำคัญ ท่านต้องปฏิบัติดีด้วย ไม่ใช่สวดคาถาชินปัญชรแล้วรวย ถ้าอย่างนั้น ไม่ต้องทำอะไร กินอิ่มแล้วนอนลูบพุง แล้วสวดคาถาชินปัญชร ดูซิว่าจะรวยไหม

ทุกอย่างมันอยู่ที่กรรม การกระทำ สิ่งแวดล้อม ซึ่งอาตมาก็ได้เทศน์ไว้มากมายแล้วว่า มนุษย์นั้นก็จะประสบความสำเร็จในชีวิตก็ด้วย วาสนาเก่ามี ๑ ดวงขึ้น ๑ จังหวะให้ ๑

ท่านปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เทพพรหมก็อนุโมทนา ดลจิตดลใจให้ท่านมีสติปัญญา ปฏิบัติตนในสิ่งที่ชอบ มีสมองที่แจ่มใสในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วง เมื่อนั้นการสัมมาอาชีวะของท่านก็ดีขึ้นได้

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒

การเป็นพุทธมามกะ


(วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณจิ้นตง แซ่เลี่ยว : หลวงพ่อโตครับ การที่นับถือศาสนาพุทธ จะให้รู้ซึ้งถึงธรรมนั้น จะต้องปฏิบัติอย่างไรครับ

สมเด็จ : จะรู้ซึ้งถึงธรรม ท่านจะต้องประกาศตนเองเป็นพุทธมามกะใช่ไหม

คุณจิ้นตง : ใช่ครับ

สมเด็จ : ท่านประกาศตนเป็นพุทธมามกะ ท่านจะต้องศึกษาให้รู้แจ้งในศีลบริสุทธิ์ แล้วท่านต้องปฏิบัติตามในธรรม ในศีล สมาธิ ปัญญา ให้แข็งแกร่งให้ถ่องแท้ ก็คือท่านต้องถามตัวเองว่า

เวลานี้ท่านเป็นชาวพุทธที่แท้จริงหรืออย่างไร
ท่านเป็นชาวพุทธที่แท้จริง ท่านมีความโกรธมากขนาดไหน
ท่านมีความพยาบาทมนุษย์ด้วยกันหรือไม่
ท่านมีความโลภขนาดไหน


หลักของพระพุทธศาสนาก็คือ พระพุทธเจ้าสอนให้อยู่อย่างสันโดษ กินง่ายนอนง่าย เจรจาง่าย ไม่มีการพยาบาท รู้จักอภัยทานเป็นหลัก คนนั้นๆ ก็คือ พุทธมามกะที่แท้จริง

ถ้าคนนั้นไม่มีหลักอย่างนี้แล้ว ก็อย่าอวดตนว่าเป็นพุทธมามกะ เพราะพระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้คนมีความพยาบาท ความพยาบาททำให้โลกวุ่นวายทุกวันนี้ ก็เพราะตัวพยาบาทกับตัวโลภ จึงทำให้มนุษย์ฆ่ามนุษย์ คือผู้ที่มีอำนาจเหนือมนุษย์ที่ไม่มีอำนาจ สั่งมนุษย์ผู้ที่ไม่มีอำนาจทำลายมนุษย์ฝ่ายตรงกันข้าม

สิ่งเหล่านี้ก็คือว่า ท่านจะเป็นพุทธมามกะ

๑. ท่านจะต้องรู้จักสันโดษ


๒. ท่านจะต้องรู้จักช่างมัน


๓. ท่านจะต้องรู้จักมีเมตตา


สามประการนี้ถ่องแท้ ท่านจะเป็นพุทธมามกะที่แท้จริง
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๓

เป้าหมายแห่งชีวิต



สมเด็จ : ท่านทั้งหลาย การดำเนินชีวิตนั้น

ชีวิตคนเราเกิดมาในโลกมนุษย์นี้สั้นนัก เราเกิดมาเพื่อมาใช้กรรม ต่างคนต่างมีกรรม ต่างคนต่างมาเสวยกรรม แล้วมีกรรมพัวพัน จึงได้มานั่งอยู่ด้วยกัน

ฉะนั้น เราจะทำยังไงว่า กาลเวลาที่สั้นนัก ที่มาอยู่ในโลกมนุษย์นี้ เราจะทำอย่างไรให้ชีวิตเราอยู่อย่างมีความสุข


ความสุข นั้น ก็ได้บอกกับท่านทั้งหลายแล้วว่า ความสุขอยู่ที่ใจ ความสุขไม่ใช่อยู่ที่โลกภายนอก เราจะทำยังไงที่จะทำให้ใจของเราสะอาด สงบ สันติ นี่คือสิ่งสำคัญ

การจะมีความสุขไม่ใช่มีเงินร้อยล้าน พันล้าน
การจะมีความสุขไม่ใช่มีบ้านใหญ่โตรโหฐาน
การจะมีความสุขไม่ใช่จะมีเครื่องแต่งตัวดีๆ


สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสมมติ และขณะนี้ เราติดสิ่งสมมติบัญญัติทั้งสิ้น

ท่านต้องวางเป้าหมายแห่งชีวิตไว้ ก่อนอื่น ท่านต้องถามตัวท่านก่อนว่า ชีวิตท่านต้องการอะไรเป็นเป้าหมายแรกก่อน ถ้าท่านบอก ชีวิตต้องการมีความสุข ท่านก็ต้องตั้งคำถามว่า เราจะทำยังไงให้ปลดภาระสังคมให้เบาบางลง แล้วเราก็จะมีความสุข แต่ถ้าชีวิตยังอยากจะเป็นใหญ่ อยากจะเป็นนายกรัฐมนตรี อยากไม่มีที่สิ้นสุด ชีวิตท่านก็จะมีแต่ความทุกข์

ท่านจะมีชีวิตที่สุขที่สุด นั่นคือท่านจะต้องมีหลักปฏิบัติ คือ

หนึ่ง เราอย่าไปคิดเหมือนเขา คือเราอย่าไปมองคนอื่นที่ฐานะสูงกว่าเรา ให้มองคนที่ฐานะต่ำกว่าเขา


สอง ชีวิตมนุษย์นั้นอยู่ไม่ถึงร้อยปีก็ต้องตาย ตายแล้วเหลือแต่ความดีและความชั่ว ให้อนุชนรุ่นหลังสรรเสริญและนินทาเท่านั้น

ชีวิตคนเรา ก็ได้บอกกับท่านหลายๆ ครั้งแล้วว่า ไม่ต้องคิดมาก วาสนาเก่าท่านมี ดวงขึ้น จังหวะให้ มันสำเร็จของมันเอง นี่คือชีวิต และทุกๆ ชีวิตเหมือนกัน มันมีทางเดินของมันเอง ตามวิบากกรรมของมันเอง

ฉะนั้น ท่านทั้งหลายไม่ต้องไปคิดมาก สิ่งที่ผ่านไปนั้น ดีก็ดี ชั่วก็ชั่ว ไม่สามารถกลับคืนได้ ชีวิตตั้งต้นกันใหม่ สิ่งที่แล้วมา เราต้องทิ้งไป เขาเรียก

อดีต คือ ความฝัน
ปัจจุบัน คือ การต่อสู้
อนาคต คือ ความหวัง แต่อย่าหลง


ถ้าท่านใช้คตินี้แล้ว ท่านจะดำเนินชีวิตไปได้อย่างสบายๆ แต่ถ้าท่านดิ้นรนอะไรมากมาย ในบางสิ่งที่ไม่สมควรคิด ไปคิดจนฟุ้งซ่านอะไรอย่างงี้ มันจะไม่มีความสุข

เขาถึงได้บอกว่า ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่กายพร้อมกับใจ ตนทำดีย่อมมีสุข ตนทำชั่วย่อมมีทุกข์

เจริญพร


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๔

หนทางดับทุกข์


(วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณประยูร ศุภเกียรติ : หลวงพ่อสมเด็จเจ้าคะ เวลานี้คนมีทุกข์กันมากค่ะ อยากให้หลวงพ่อช่วยบอกว่า วิธีที่จะทำให้คนมีทุกข์น้อยลงหรือหมดทุกข์นี่ จะทำอย่างไรเจ้าคะ

สมเด็จ : ทุกข์เกิดจากอะไร ท่านต้องถามตัวท่านเองก่อน ทุกข์มีหน้าตาไหม ทุกข์ที่เกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะเรามีอุปทานในการยึด เมื่อมีอุปาทานในการยึด ก็ย่อมทุกข์ ท่านทิ้งอุปาทานในการยึดซิ

ทั่วโลกจะไม่มีทุกข์เกิดขึ้นได้ ก็คือว่า ชนกลุ่มต่างๆ ให้ยึดหลักมรณสติ พิจารณาความตายเป็นอารมณ์ เมื่อชนกลุ่มต่างๆ พิจารณาความตายเป็นอารมณ์แล้วไซร้ เมื่อนั้นย่อมลดทิฐิมานะแห่งความยึดตน

เมื่อลดทิฐิมานะแห่งความยึดตนแล้วไซร้ อุปกิเลสแห่งความคิดในโลภ โกรธ หลง ย่อมขัดเกลาจากจิตได้เบาบางลง เมื่อขัดเกลาจากจิตได้เบาบางลงแล้วไซร้ ก็ย่อมที่จะลดทุกข์ได้

เหล่าผู้นำที่มีอำนาจอยู่ อย่าบูชาอำนาจเหนือความตาย ชนชั้นที่เรียกว่าพอจะเป็นเศรษฐีอยู่ อย่าบูชาเงินเป็นพระเจ้า ชนชั้นกลาง อย่าดิ้นรนเทียบคนอื่น คนชั้นต่ำ อย่ายึดมั่น ข้าวสามกำมือข้าก็รอด รับรองไม่มีทุกข์


ทีนี้ มีทุกข์ก็เพราะว่า เช่น อีหนูก็บอกว่า ชุดไทยเดิมนี่สั้นๆ ไม่มีสตางค์ก็ต้องขอแม่ตัดให้ได้ นี่ทุกข์เพราะการแต่งตัว ไอ้หนุ่มบอกว่า ยุคนี้ยุคกัญชาก้าวหน้า ต้องขโมยเงินแม่ไปสูบกัญชา สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะอะไร

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เพราะว่าสังคมครูปัจจุบันมีครูที่เป็นตัวอย่างไม่ดี เพราะว่าเด็กที่เข้าสู่ในการเรียน ต้องอบรมแห่งการเรียนรู้ชีวิตการเป็นคน ครูคือบิดามารดาคนที่ ๒ ของอนุชาที่จะขึ้นเป็นผู้นำประเทศชาติ ครูสอนศีลธรรมสอนเขาว่า สุราเมระยะ กินเหล้าไม่ดี แต่ครูคนสอนพอออกจากห้อง เมาเป็นระยะๆ ได้ สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ว่าผู้สอนทำไม่ได้ แล้วจะให้ผู้รับการสอนทำได้อย่างไร

เพราะฉะนั้น จึงทำให้คนไม่เข้าซึ้งถึงศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าสอนอะไร พระองค์จะต้องทำได้ พระองค์จะสอนตติยฌาน จตุตถฌาน พระองค์จะต้องทำได้ก่อน แต่อรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ในยุคนี้ หญ้าปากคอกตัวเอง ยังละไม่ได้ สอนไปถึงนิพพานแน่ะ นิพพานไปอย่างงี้ๆ เดี๋ยวมึงรอก่อน กูเคี้ยวหมากหน่อยก่อน สิ่งเหล่านี้แหละ เป็นสิ่งที่ว่า ตู่พระพุทธเจ้าทั้งนั้น

ทีนี้ ท่านจะทำให้คนไม่มีทุกข์ ก็คือว่า ท่านจะต้องมาช่วยกันประกาศให้ผู้นำทั่วโลก อย่าบูชาอำนาจเหนือชีวิต อย่าบูชาเงินตราเหนือคุณธรรม เมื่อท่านทั้งหลายทำลายอัตตาทิฐิสองจุดนี้ได้แล้ว สันติสุขในโลกมนุษย์ย่อมเกิดขึ้นได้

ถ้ามนุษย์มีอุปาทานแห่งมรณสติว่า บ้านที่เราโกง ไม้ที่เราโกงลากออกมา ขายเป็นเงินได้เท่าไหร่ กินเป็นขี้ มันก็ตาย เราตายไป สิ่งเหล่านี้เอาไปไม่ได้หรอก ครูที่เป็นพ่อพิมพ์แม่พิมพ์สอนให้คนอย่าอิจฉากัน ครูก็ต้องอย่าอิจฉากันให้ลูกศิษย์เห็น คือเรียกว่า แม่พิมพ์เบี้ยว ลูกพิมพ์มันก็เลี้ยวตามไปเป็นของธรรมดา

เพราะฉะนั้น ในภาวะแห่งการที่จะระงับทุกข์นั้น เป็นสายใยแห่งลูกโซ่ของสังคมทั่วโลก ก็ขอยืนยันว่า ทำลายอำนาจ ทำลายอุปทานแห่งเงินตรา ทำลายความเย่อหยิ่งของสันดานคนได้ และให้มีมรณสติ รับรองไม่มีทุกข์

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๕

ความสุขอันแท้จริง


(วันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๔)



สมเด็จ : พระพุทธเจ้าสอนว่า ความสุขอันแท้จริงก็คือ ท่านต้องวางอุปาทานในสรรพสิ่งทั้งหลาย ให้รู้ทันอายตนะแห่งความเคลื่อนไหวของธรรมชาติ ให้ตามทันและยิ้มรับวิบากกรรมที่จะเกิดขึ้น

คือ ท่านอย่ายึดชีวิตให้จริงจังนัก ถ้าท่านยึดจริงจังเกินไป ท่านก็มีความกระวนกระวายมาก จิตท่านไม่สงบ ภาวะแห่งจิตท่านไม่สงบ จะทำให้ท่านเกิดความทุรนทุราย เมื่อท่านเกิดความทุรนทุราย ประสาทท่านตึงเครียด ปัญญาย่อมไม่มีทางเกิด

เพราะฉะนั้น ในทางที่จะทำให้ท่านมีปัญญาเกิด ก็คือ ท่านจงรับทราบว่า ท่านเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น เพราะท่านมีกรรมของท่านเป็นปัจจัยแห่งสมุฏฐาน ที่ทำให้ท่านเกิดมา เพื่อใช้กรรมนั้นๆ ตามวิบากของกุศลและอกุศล


ท่านวางจิตให้นิ่ง อย่ามีอุปทานในความจริงจังกับชีวิตของการเป็นคน ยิ้มต้อนรับทั้งทุกข์และสุข ไม่มีความกระวนกระวาย ไม่เอาคนอื่นมาเป็นเครื่องเปรียบเทียบตัวเรา จิตท่านย่อมมีความสงบ

ภาวะจิตสงบนี้แหละ จะทำให้ท่านมีสมาธิ ภาวะแห่งสมาธินี้ จะทำให้ท่านเกิดปัญญาในการพิจารณาว่า การเป็นคนนั้น ท่านกอบโกยวัตถุ ตายไปก็เอาไปไม่ได้ เรามีโอกาสที่จะสร้างงานให้กับสังคม เรามีโอกาสที่โปรดสัตว์ที่ยึดอยู่ในอัตตาทิฐิ ให้ช่วยกันระงับความฟุ้ง เมื่อท่านเข้าถึงภาวะอันนี้ ท่านย่อมเข้าซึ้งถึงคำว่าศาสนาเป็นอย่างไร ความสุขอันแท้จริงอยู่ที่ไหน

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๖

ทำไมสังคมเมืองไทยจึงร้อนนัก


(วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๔)



อาจารย์เกหลง พานิช : หลวงพ่อเจ้าคะ ทำไมเดี๋ยวนี้บ้านเมืองไทยนี่ร้อนเหลือเกินเจ้าคะ ได้ยินแต่ข่าวสยอง จะมีทางผ่อนคลายได้ไหมเจ้าคะ

สมเด็จ : คือเรื่องมันร้อนอยู่ มันเป็นภาวะกรรมวิบากหลายๆ อย่าง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อีกประการหนึ่งก็คือว่า สังคมในยุคปัจจุบันนี้ เป็นสังคมที่สักแต่ว่าเป็นพุทธสาวก

ถ้าท่านเป็นพุทธสาวกที่ดี ท่านจะต้องเดินตามพุทธพจน์ แต่สังคมทุกวันนี้ ล้วนแต่ว่าข้านี้คือชาวพุทธ ล้วนแต่ตู่พระพุทธเจ้าทั้งสิ้น

พระพุทธเจ้าให้กล้าสู้ความจริง ต้องทำจริง สังคมปัจจุบันนี้ ไม่กล้าสู้ความจริง คือท่านกลัวอำนาจ ยกย่องคนชั่วเป็นใหญ่ ภาวะแห่งคนชั่วเขาใหญ่ได้ เพราะสังคมยอมรับ ถ้าทุกคนในสังคมไม่กลัวอำนาจ มนุษย์หมู่มากไม่กลัวอิทธิพล คนชั่วย่อมเด่นอยู่ในสังคมไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น

หลักแห่งความจริงของโลกมนุษย์นั้น ก็คือว่า ถ้าวัตถุเจริญมาก จิตใจมนุษย์ย่อมเสื่อมมาก นี่คือ กฎแห่งความจริงของธรรมชาติ

ภาวะแห่งสังคมนั้น ถ้าจะปรับปรุงก็คือว่า ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์ ท่านต้องมีความจริงจัง มีความหยั่งรู้ศักดิ์ศรีของการเป็นครู ไม่ยอมเป็นเครื่องมือของคนชั่ว เป็นจุดที่หนึ่ง เขาเรียกว่า เมื่อพ่อพิมพ์แม่พิมพ์ดี ก็พิมพ์ถูกพิมพ์ได้ดี พ่อพิมพ์แม่พิมพ์ไม่ดี ลูกพิมพ์ก็ออกมาไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น

pngegg.5.3.1.png



การผ่าตัดสังคม


สมเด็จ : ภาวะแห่งสังคมในยุคนี้ เป็นการที่จะต้องผ่าตัด ให้กล้าสู้กับความจริง เช่น สุรา ในศีล ๕ ห้ามไว้ เพราะเป็นสิ่งไม่ดี แต่สังคมยอมรับสุราเป็นสิ่งเชิดหน้าชูตา ครูสอนศีลธรรมว่า สุราเมากินไม่ได้ แต่ครูเมาเป็นระยะๆ ได้ นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่ง ครูสอนเขาว่า อย่ากินเหล้า แต่ครูไม่กินเหล้าที่ร้านกาแฟได้ แล้วใครจะเชื่อใคร

สิ่งเหล่านี้ เราเป็นชาวพุทธ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า สิ่งใดที่ตถาคตจะสอนท่านนั้น ตถาคตจะต้องเรียนแล้วทำได้ ตถาคตจึงสอน


ฉะนั้น ในขณะนี้ ศาสนาไม่รู้ว่าจะเรียกว่าศาสนาอะไร ถือเป็นเพียงปรัชญาอันหนึ่งที่ข้าเรียนไว้สำหรับเถียง สำหรับคุย จึงเป็นสิ่งที่จะต้องปรับปรุงขนาดหนัก แต่ว่าจะปรับปรุงไปได้หรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับมนุษย์ที่จะร่วมมือกัน ช่วยมนุษย์ด้วยกัน

อาตมานั้นพร้อมเสมอที่จะทำงานเพื่อมนุษย์ แต่อาตมาไม่มีขันธ์ ท่านมีขันธ์ ท่านมีขันธ์เดิน ถ้าท่านไม่เดิน อาตมาก็ย่อมทำอะไรไม่ได้ เพราะอาตมามีแต่วิญญาณมีแต่สมอง และสมองขรัวโตที่พิสดารไม่เหมือนใคร

ถ้าจะปรับปรุงสังคมให้เลิกร้อนนั้น ทุกคนจะต้องมีเมตตาต่อกัน ทุกคนจะต้องมีความสุจริตใจต่อกัน อย่าสวมหน้ากากเข้าหากันในสังคม ทุกคนต้องยอมรับหลักอริยธรรมที่ดี ทุกคนต้องกล้าพูดความจริงในสังคม

ไม่ใช่ผู้มีอำนาจพูดอะไรเป็นถูกหมด การที่คนอัปรีย์พวกนี้เหลิง ก็เพราะท่านไปสนับสนุนเขาเองต่างหาก แล้วท่านจะไปโทษใครเล่า

pngegg.5.3.2.png



การทำงานเพื่อส่วนรวม


สมเด็จ : อาตมาจึงบอกว่า ขรัวโตนี้ไม่กลัวมนุษย์หน้าไหนที่จะเอาอย่างไร เพราะว่า เราต้องยึดหลัก ๔ ประการ ที่อาตมาให้กับทุกคนที่จะทำงานเพื่อสังคม ก็คือว่า

๑. ท่านต้องมีขันติในงานที่ทำ
๒. ท่านต้องมีสัจจะต่องานที่จะทำ
๓. ท่านต้องมีความบริสุทธิ์ในงานที่ทำนั้น
๔. ท่านต้องมีความเมตตาต่อผู้ที่ร่วมทำงาน


ท่านมีหลัก ๔ ประการนี้แล้วไซร้ ท่านจะทำงานใหญ่ได้สำเร็จ และการเป็นนักทำงานใหญ่ ต้องถือปรัชญาว่า

ภูเขาสูง             ตระหง่าน      อยู่เหนือเมฆ
ไม่หวั่นไหว         ต่อลมฟ้า      คะนองลั่น
เป็นนักปราชญ์    ต้องไม่ติด    ในสรรเสริญ แลนินทา
อุดมการณ์          เพื่อคนอื่น     สัจจะ ต้องยึดมั่น

แล้วทำงานใหญ่ได้

แต่ทุกวันนี้ หานักเสียสละที่ว่าคิดถึงเรื่องคนอื่นมากกว่าคิดถึงตัวเองนั้นน้อยเต็มทีในสังคมยุคปัจจุบัน แล้วก็นักสังคมสงเคราะห์ปัจจุบันนี้ ล้วนแล้วแต่จะเอาหน้า ไม่ใช่สงเคราะห์กันจริงจัง มันจึงวุ่น ล้วนแต่พวกทำงานเอาหน้าประจบสอพลอ แล้วมันไม่ร้อนตอนนี้ เมื่อไหร่มันจะร้อนล่ะ ยิ่งพูดมากไป เดี๋ยวเทวดาเขาบอกว่า ขรัวโตมาทีไร ด่าคนทุกที

อาจารย์เกหลง : ที่หลวงพ่อเทศน์น่ะ ดิฉันเห็นด้วยทุกประการเจ้าค่ะ ที่หลวงพ่อว่า ต้องครูดี ดิฉันก็นึกถึง คุณโกมล คีมทอง ที่ทำท่าจะเป็นครูดี แต่แกก็ถูกยิงตาย คุณโกมลได้มีโอกาสเข้าเฝ้าหลวงพ่อหรือเปล่าเจ้าคะ

สมเด็จ : ยัง เพราะถ้าอยู่ในโลกวิญญาณแล้ว การจะพบอาตมาก็ยากเหมือนกัน อย่างมาที่นี่ อาตมาก็ไม่มีเวลาให้ใครพบพิเศษหรอก เพราะขรัวโตไม่ใช่มาหากินกับมนุษย์ อาตมาอยู่พรหมโลก อาตมาเป็นครูที่จะต้องสอนพวกพรหม

พรหมโลกชั้นที่ ๔ มีศาลาฟังธรรม ศาลาฟังธรรมนี้แหล่ เป็นที่เตรียมของพวกผู้ที่จะไปเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้า ไปเป็นพรหมสุทธาวาสก็ดี ไปเป็นพระอริยบุคคลก็ดี ต้องศึกษาในศาลาฟังธรรม และอาตมาก็ได้รับเลือกเป็นครูคนหนึ่ง สอนอยู่ในที่นั้น

เพราะฉะนั้น ถ้าพวกเทวดา พวกพรหมที่ยังติดอยู่ในกิเลสมาก ยังอยากจะเสวยอาหารของมนุษย์แล้วไซร้ ก็ย่อมที่จะไม่ได้พบอาตมามาก นอกจากอาตมาจะไปพบเขาเอง แต่อาตมาหมู่นี้ชอบไปเที่ยวยมโลก ไปคุยกับนโปเลียน พวกนี้ เพื่อไปศึกษานโยบายการทำงานที่พวกเขาสมัยเป็นผู้นำทำกันอย่างไร

เพราะว่าขณะนี้ อาตมากำลังทำงานใหญ่ เพื่อที่จะกู้ความอยู่รอดของสยาม จึงจำเป็นต้องศึกษากุศโลบาย นโยบายเพโทบายของพวกนี้ ที่เคยครองโลกมาแล้ว

ฉะนั้น อาตมาจึงว่า อยู่โลกวิญญาณเวลานี้ จึงได้เปรียบอยู่หน่อย แต่นรกขุมลึกๆ เขาไม่ให้เข้าไป เขาบอกว่า ขรัวโตมาทีไร เอาไปเปิดเผยในโลกมนุษย์หมด
บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๗

ความปลอดภัยของสตรีไทย


(วันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณพิมพ์พรรณ พนมพรพานิช :  กราบหลวงพ่อสมเด็จ ลูกขอถามเรื่องเกี่ยวกับสังคมสมัยนี้ เพราะพฤติการณ์ของสังคมสมัยนี้ นับวันจะเลวร้ายลงทุกที ความปลอดภัยของผู้หญิงก็มีน้อยลง อยากถามว่า เพราะเหตุไรจึงเป็นเช่นนี้ และจะแก้ไขอย่างไร

สมเด็จ : เจริญพร คือว่าสังคมมนุษย์นั้น ในสภาพ ท่านต้องเข้าใจว่า เมื่อวัตถุเจริญมาก จิตใจของมนุษย์ย่อมเสื่อม ตามภาวะของแสงสีแห่งความศิวิไลซ์นั้นๆ

ทีนี้ ในปัญหาที่ว่า ความปลอดภัยของสตรีนั้นจะแก้ไขได้อย่างไร ใครจะเป็นผู้ประกันความปลอดภัยของท่าน อาตมาอยากจะชี้แจ้งว่า ความปลอดภัยของท่านนั้น ขึ้นอยู่กับตัวของท่านเอง ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติตนให้สูงในภาวะที่ดี ในเรื่องการเป็นกุลสตรีที่ดีแห่งสยามของเรา

ทุกวันนี้สังคมเสื่อม เพราะว่าเราไม่มองอดีต มักแค่มองปัจจุบัน อดีตในยุคที่เราตั้งเมืองสุโขทัยเป็นราชธานี หรือยุคกรุงอโยธยาเป็นราชธานีนั้น เราต้องตามใครกันบ้าง ทำไมสังคมในยุคนั้น เราจึงอยู่ได้

ปัจจุบันนี้ สังคมแห่งความเคลื่อนไหวของคำว่า คมนาคมเร็วขึ้น ทำให้การสัมพันธ์ของมนุษย์นี้แคบเข้าไป พื้นภาคตะวันตกซึ่งเป็นพื้นภาคที่มีอารยธรรมที่ป่าเถื่อน ก็เพราะว่าเพิ่งฟื้นฟูการเป็นคนขึ้นมา ท่านก็ไปหลงว่า นั่นคือ อารยธรรมแห่งความศิวิไลซ์


pngegg.5.3.1.png




ประเพณีไทยกับกุลสตรี


สมเด็จ : สมัยเมื่ออาตมามีสังขารอยู่ อันนี้เท็จจริงอย่างไรก็ไม่รู้ มีนิทานเรื่องหนึ่งว่า

เจ้ากรุงจีนได้เชิญเจ้ากรุงอังกฤษไปเยี่ยมในประเทศจีน เจ้ากรุงอังกฤษในขณะนั้นนุ่งแต่ใบไม้ แต่อาณาประชาราษฎร์แห่งจีนนุ่งเสื้อผ้าแล้ว เพราะฉะนั้น ในเรื่องอารยธรรมการแต่งตัวเป็นเครื่องพิสูจน์ให้ท่านรู้ว่า ประเทศไหนเจริญก่อน อาตมาว่า เอเชียเรานี้แล เจริญก่อน

เมื่อพื้นภาคเอเชียเราเจริญก่อนแล้วไซร้ เหตุไฉน ท่านที่เป็นสตรีที่อยู่ในปัจจุบันที่เรียกว่า มีการศึกษาดี ทำไมไม่เอาตัวอย่างที่ดีของเราเล่า ถ้าท่านลองนุ่งโจงกระเบน ใส่เสื้อราชปะแตน ดูซิว่าจะมีใครลากท่านไปไหม แต่ท่านมัวแต่ไปเชื่อวัฒนธรรมป่าเถื่อนที่เพิ่งเกิดขึ้น แล้วท่านถือว่าเป็นวัฒนธรรมอันดี

วัฒนธรรมไทยของเราในยุคอโยธยา ยุครัตนโกสินทร์นั้น กุลบุตร กุลสตรีล้วนแต่เรียกว่า ต้องนุ่งห่มอย่างดี


ประเพณีเดิมของไทยในยุคนั้น เมื่อชาติตะวันตกยังไม่ได้เข้ามาแผ่อาณาจักรในแหลมสุวรรณภูมิ พูดแค่ง่ายๆ ถ้ามีงานวัด สตรีในยุคนั้นเดินในงาน จะไม่มีใคร ผู้ชายคนไหนเดินเข้าไปใกล้ ถ้าเผลอไปแตะถูกผ้าม่วงของสตรี เขาจะต้องขอโทษขอโพยอย่างขนาดหนัก การลวนลามไม่มีเกิดขึ้น

เพราะอะไรเล่า เพราะว่ากุลสตรีเดินด้วยความสงบเสงี่ยม นุ่งผ้าอย่างดี ปล่อยชายเสื้ออย่างดี เสื้อทรงกระบอกอย่างดี ปิดมือปิดเท้าสวยงาม แต่ยุคนี้เป็นกลียุค กลับหมด

ผู้ชายร้อนจะตาย ผูกอะไรไม่รู้เส้นอย่างกับพาย ต้องไปพายเรือจ้างได้แล้ว นุ่งโน่นนุ่งนี่ ผู้หญิงมันนุ่งเหลือแต่กางเกงลิง แล้วใครจะไปรับผิดชอบสวัสดิภาพของท่านได้เล่า ก็ตัวท่านเองไม่ดูว่า ท่านคือเพศที่จะต้องปกปิดมากกว่าเป็นเพศที่จะต้องเปิดเผย

เพราะฉะนั้น ในสังคมขณะนี้ก็คือว่า ต้องแก้เหล่ากุลสตรีทั้งหลายตั้งแต่เป็นนักเรียน หรือว่าเป็นครูขึ้นมา เรียกร้องการนุ่งโจงกระเบนใส่เสื้อราชปะแตน เมื่อนั้นแหละ สวัสดิภาพของท่านจะปลอดภัย ถ้าท่านไม่เอาอารยธรรมแห่งความป่าเถื่อนของชาวตะวันตกมาใช้

สิ่งเหล่านี้ ท่านจะต้องศึกษาให้ดีให้ถ่องแท้ว่า เราเป็นชาติที่ตั้งตนสู้ด้วยลำแข้งแห่งความเป็นไทย ประเพณีของเรามีความดีเรื่อยมาตั้งแต่ในยุคล้านนาไทย สตรีไทยทุกคนจะต้องมีความอ่อนช้อย จะต้องมีความละเมียดละไม จะต้องมีการปกปิดในการแต่งกาย

แต่ว่าเราไม่ยึดในประเพณีอันดีงาม เราทำลายตัวเราเอง แล้วใครเล่า จะประกันความปลอดภัยของท่านได้ ในเมื่อท่านไม่ผดุงวัฒนธรรมอันดี

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-4-29 22:06 , Processed in 0.123569 second(s), 16 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.