แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

งานทอดผ้าป่าสามัคคี วัดพระธาตุดอยพระฌานโพธิญาณรังสฤษฏ์ อ.แม่ทะ จ.ลำปาง [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 2010-12-14 23:04 โดย pimnuttapa


DSC01314.jpg



ของที่ระลึกการทอดผ้าป่าครั้งที่ ๑ สำหรับผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญตั้งแต่ ๑๐๐ บาทขึ้นไป เป็นหนังสือตอบปัญหาธรรม หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี พร้อมประวัติสมเด็จองค์ปฐมและอานิสงส์การสร้างพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม และรูปพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมขนาดเล็กเคลือบพลาสติก (คุณอิฏฐพงศ์และคุณเกศราทิพย์เป็นเจ้าภาพค่ะ) โมทนาบุญด้วยนะคะ   





บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 2010-12-14 23:04 โดย pimnuttapa



IMG_1679.jpg


โต๊ะหมู่บูชา ภายใน ศาลาเอนกประสงค์หลังใหม่ วัดพระธาตุดอยพระฌานโพธิญาณรังสฤษฏ์  ค่ะ


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 2010-12-14 23:05 โดย pimnuttapa

DSC01307.jpg


พระบรมธาตุเจดีย์  วัดพระธาตุดอยพระฌานโพธิญาณรังสฤษฏ์  ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระธาตุของพระสารีบุตรค่ะ


IMG_0341.jpg

IMG_1716.jpg


คำไหว้พระธาตุดอยพระฌาน

กล่าวนะโม ๓ จบ  วันทามิ  นิสิทิตุวา  ปัพพะตะ  คีรี  สะฐา   อุมะคิธาตุง  อะหัง  วันทามิ  สัพพะทา  (อธิษฐานจิตตามศรัทธา)




บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 2010-12-12 22:05 โดย pimnuttapa

IMG_0355.jpg

ประวัติวัดพระธาตุดอยพระฌานโพธิญาณรังสฤษฏ์


ข้อมูลจากเว็บดอยพระ ดอทคอม
(http://www.doipra.com/wat/)

49.jpg

พระธาตุดอยพระฌาน เป็นศาสนสถานที่สำคัญของชุมชนชาวตำบลป่าตัน อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง ประวัติจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ ท่านกล่าวว่า ตั้งแต่เกิดมาก็เห็นองค์พระธาตุนี้แล้ว แสดงว่าพระธาตุนี้มาก่อนที่จะได้รับการบูรณะเป็นองค์พระธาตุสีขาวในปัจจุบัน นอกจากนี้ข้อมูลจากคัมภีร์ใบลานที่ได้ค้นเจอที่วัดนาคตหลวงก็ได้จารึก ประวัติการบูรณะไว้เช่นกัน จากหลักฐานที่ปรากฏอยู่ พอจะสรุปได้ว่า ในยุคปัจจุบัน อดีตหลวงพ่อวัดนาคตหลวง พระครูปัญญาวุฒิคุณ เป็นผู้นำพระสงฆ์ สามเณร และพุทธศาสนิกชน ในการดูแล บำรุงรักษาองค์พระธาตุ รวมทั้งบริเวณโดยรอบ และรักษาประเพณีการเดินขึ้นมาสักการะองค์พระธาตุเป็นประจำทุกปี ปัจจุบันท่านได้มรณภาพ ละสังขารไปแล้ว ประเพณีดั้งเดิมดังกล่าวยังคงมีอยู่ และได้รักษาไว้โดยพุทธบริษัทรุ่นต่อมา


IMG_0359.jpg

ตำนานและเรื่องเล่าแปลกที่เล่าขานกันมานาน


ชาวลับแล

มีเรื่องเล่าที่น่าแปลกใจเรื่องหนึ่งก็คือ สมัยก่อนเวลาที่ชาวบ้านแถบนี้มีงานบวชนาค ผู้เฒ่าผู้แก่จะพากันไปบนบานศาลกล่าวที่ดอยพระฌานตรงบริเวณหน้าถ้ำ เพื่อขอยืมเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับให้คนที่เป็นนาค วันถัดมาก็จะพากันไปรับเครื่องแต่งกายนาค ที่หน้าถ้ำดังกล่าว ก็พบหีบเสื้อผ้าอาภรณ์กับเครื่องประดับมีค่าของโบราณ วางไว้ที่หน้าถ้ำเป็นสัญญาณตอบรับว่าอนุญาตให้ยืมได้ ชาวบ้านก็รับมา เมื่อเสร็จพิธีการเรียบร้อยก็เอาไปคืนโดยวางไว้ที่เดิม รุ่งขึ้นของดังกล่าวก็หายไป เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปกติมาโดยตลอดจนถึงยุคปัจจุบัน เมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมานี้ การยืมของจากคนที่ไม่มีตัวตนก็หยุดไป เพราะมีคนไปยืมของเขาแล้วไม่นำมาส่งคืน ปัจจุบันคนที่เคยอยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าวยังมีชีวิตอยู่ ยืนยันว่าตอนเด็กเคยร่วมเดินทางไปยืมของบนดอยกับผู้เฒ่าผู้แก่ และก็ได้สวมใส่เครื่องแต่งกาย เหล่านั้นด้วยเช่นกัน อีกเรื่องหนึ่งที่โจษจันกันไปทั่วก็คือ วันดีคืนดีจะปรากฏเรือสำเภาโบราณมีสีทอง ลอยลำอยู่บริเวณของลำน้ำจางมีผู้คนเห็นกันหลายคน บริเวณนั้นชาวบ้านเล่าว่ามีปากถ้ำอยู่ ไม่เคยมีใครเข้าไป เพราะน้ำลึกมาก ปัจจุบันมีฝายกั้นน้ำสร้างขึ้นบริเวณที่ใกล้ๆ กับวังธารทำให้ระดับสูงขึ้นจนท่วมบริเวณดังกล่าว


ม่อนถ่ายซิ่น ม่อนฮางฮุ้ง

มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า ทิวเขาบริเวณนี้มีสมบัติของคนโบราณซุกซ่อนอยู่ในถ้ำแห่งใดแห่งหนึ่งซึ่งยัง ไม่มีใครค้นพบ เพราะมีเรื่องเล่าสืบกันมาหลายชั่วอายุคนที่กล่าวถึงคนโบราณที่มาสักการะพระธาตุจะเป็นชนชั้นสูงศักดิ์แต่งตัวด้วยอาภรณ์ที่สวยงามมีเครื่องประดับเพชรพลอยที่มีค่า เมื่อมาถึงบริเวณภูเขาลูกหนึ่งก่อนจะถึงองค์พระธาตุไม่ไกลนัก กลุ่มคนเหล่านั้นจะผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อยก่อนจะมาสักการะพระธาตุ ด้วยเหตุนี้ภูเขาลูกนี้จึงเรียกว่า ม่อนถ่ายซิ่น ถ่ายซิ่น แปลว่า ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าถุงผ้าซิ่นของผู้หญิง จึงสันนิษฐานได้ว่าผู้สูงศักดิ์สมัยโบราณที่เป็นสตรีสูงศักดิ์ในดินแดนแถบนี้ ก็เห็นจะเป็นเพียงผู้เดียวคือ องค์พระแม่เจ้าจามเทวี ผู้สร้างเมืองลำปางในอดีตนั่นเอง ประวัติของท่านกล่าวไว้ในหลายแห่งอยู่เสมอ ว่าท่านเป็นผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง มีภูเขาหลายที่ในภาคเหนือที่มีพระธาตุโบราณที่คล้ายกับดอยพระฌานสร้างอยู่บนยอดเขา บางทีก็จารึกปีพ.ศ.ที่สร้างไว้บนแผ่นหิน ซึ่งตรงกับยุคสมัยของพระแม่เจ้าจามเทวี และมีภูเขาลูกหนึ่งใกล้กับดอยพระฌาน มีชื่อว่า ม่อนฮางฮุ้ง ฮางฮุ้งเขียนเป็นภาษาไทยได้ว่า รังรุ้ง ที่แปลว่า รังของนกเหยี่ยวชนิดหนึ่ง ปัจจุบันก็มีเหยี่ยวบินหากินอยู่แถวนี้เป็นปกติ ดอยลูกนี้ชาวบ้านเล่ากันว่าเป็นภูเขาที่ไม่มีใครย่างกรายเข้าไปเพราะมีอันตราย เมื่อเข้าไปแล้วจะทำให้หลงทางกลับออกมาไม่ได้ ว่ากันว่ามีถ้ำอยู่บนเขาลูกนี้ ซึ่งเป็นที่เก็บสมบัติของคนโบราณแต่ก็ไม่มีใครเคยเห็น ผู้ที่ปีนเขาขึ้นไปบนม่อนรังรุ้งมักจะเห็นงูยักษ์สีดำขวางทางอยู่จึงไม่มีใครกล้ารุกล้ำเข้าไปเกินกว่านั้น ม่อนรังรุ้งจึงเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้


IMG_0352.jpg

แผ่นดินดัง

ดอยพระฌาน ตั้งอยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำจาง โดยห่างจากแม่น้ำประมาณ ๑ ก.ม. และมีหมู่บ้านอยู่ใกล้เคียงโดยรอบหลายหมู่บ้านได้แก่ บ้านป่าตัน บ้านสบทะ บ้านนาคต และบ้านปงหอศาล พื้นที่เชิงดอยและริมน้ำเคยเป็นไร่อ้อยและป่าโปร่ง แห้งแล้ง เพราะเป็นที่สูง ปกติไม่ค่อยมีผู้คนย่างกรายเข้ามาในบริเวณนี้เพราะเป็นที่ห่างไกลจากความเจริญ จะมีเฉพาะชาวบ้านใกล้เคียงมาจับจองถางที่ทำไร่ทำสวนตามวิถีชาวบ้าน ทางที่สัญจรไปมาก็เป็นทางดิน สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ เวลานั่งเกวียนผ่านระหว่างองค์พระธาตุที่อยู่บนยอดดอยกับแม่น้ำจาง จะมีเสียงดังก้องอยู่ใต้พื้นดินเหมือนเสียงกลองดังก้องไปทั่วบริเวณเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจชาวบ้าน เพราะเป็นของแปลก แต่ปัจจุบันไม่มีใครได้ยินเสียงดังกล่าวอีกเลย ซึ่งสันนิษฐานได้ว่า เสียงดัง กล่าวเกิดจากโพรงใต้ดินที่อยู่ใต้องค์พระธาตุ ทะลุเป็นแนวยาวลงไปถึงฝั่งแม่น้ำจาง ตรงบริเวณที่ชาวบ้านเรียกว่า วังธาร ซึ่งเป็นส่วนที่ลึกที่สุดของแม่น้ำจาง และปากถ้ำอยู่ในบริเวณนี้ด้วย ปัจจุบันมีฝายกั้นน้ำถูกสร้างขึ้นบริเวณนี้ ทำให้ปริมาณน้ำสูงขึ้นและปิดปากถ้ำดังกล่าวไปแล้ว และอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียงดังใต้ดินหายไป อุโมงค์ใต้พระธาตุนั้นชาวบ้านเล่าว่า เคยมีคนโยนสิ่งของลงไปในอุโมงค์บนยอดดอยพระฌาน แล้วของเหล่านั้นก็ลอยมาโผล่ที่แม่น้ำจางบริเวณวังธาร จึงเชื่อกันว่ามีถ้ำอยู่ใต้ดินเชื่อมแม่น้ำจางกับดอยพระฌาน


ประเพณีขึ้นดอยพระ

เมื่อถึงวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๗ (เดือน ๙ ของทางเหนือ) ของทุกปี พุทธศาสนิกชนชาวตำบลป่าตันและตำบลใกล้เคียงจะพากันเดินขึ้นดอยไปสักการะพระธาตุบนดอยพระฌาน โดยมีผู้นำของชุมชนที่สำคัญคือ อดีตหลวงพ่อปัญญา วัดนาคตหลวง พระสงฆ์ผู้เป็นศูนย์รวมศรัทธาของพระ เณร และสาธุชนทั้งหลาย ซึ่งมรณภาพไปแล้ว ท่านเป็นผู้นำคณะศรัทธาชาวตำบลป่าตัน มาสักการะพระธาตุเป็นประจำทุกปี มีการจุดบั้งไฟบูชาพระธาตุและการแข่งขันบั้งไฟด้วย และได้รับการสืบทอดต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้




บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8



0Doipra-058.jpg



ประวัติวัดพระธาตุดอยพระฌานโพธิญาณรังสฤษฏ์ (ต่อ)

การพัฒนาวัดตั้งแต่อดีตจนถึงปีพ.ศ. ๒๕๕๓

ในอดีตที่ผ่านมา หลวงพ่อปัญญา วัดนาคตหลวง เป็นผู้นำพระ เณร และพุทธศาสนิกชนในตำบล มาช่วยกันบูรณะซ่อมแซมองค์พระธาตุและบริเวณโดยรอบ พื้นที่บนยอดเขามีขนาดเล็กและแคบ สิ่งก่อสร้างที่เคยมีอยู่ คือ ศาลาไม้ แต่ปัจจุบันถูกรื้อไปแล้วเพราะชำรุดไปตามกาลเวลา ส่วนที่คงเหลืออยู่ก็คือ บ่อซีเมนต์สำหรับเก็บน้ำฝนที่ยังสามารถใช้งานได้อยู่


เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๓๖ นายประเสริฐ ชื่นเมือง ผู้ใหญ่บ้านนาคตหมู่ที่ ๓ ในตอนนั้น ได้สร้างศาลาคอนกรีตเสริมเหล็กตรงหน้าพระธาตุขึ้นมาหลังหนึ่งทดแทนศาลาเดิม เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเวลามีงานประเพณีประจำปี


ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๙ เทศบาลตำบลป่าตันนาครัว ได้ก่อสร้างศาลาเอกนกประสงค์เพิ่มขึ้นมาหนึ่งหลัง


ต่อมาปีพ.ศ. ๒๕๕๒ มีพระสงฆ์มาจำพรรษา จึงได้ต่อเติมอาคารเอนกประสงค์ สำหรับเป็นที่พักสำหรับจำพรรษา


เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ คณะพุทธศาสนิกชนจากต่างถิ่นและคนในพื้นที่ ได้มาช่วยกันเดินเสาไฟฟ้าขึ้นมาบนดอยพระฌาน ประกอบด้วยญาติโยมจากหน่วยงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตบางกรวย กรมทางการ ฯลฯ เพื่อให้พระสงฆ์มีไฟฟ้าใช้สำหรับปฏิบัติศาสนกิจ และก่อสร้างกุฏิในตอนนั้น

ต่อมาวันที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ญาติโยมชาวบ้านนาคตพัฒนาได้นิมนต์พระสงฆ์สองรูป คือพระพรชัย อัคควังโส และพระปิยพงษ์ ธัมมะวังโส จากวัดเชตวัน ในเมืองลำปาง ขึ้นมาอยู่บนดอยพระฌาน และญาติโยมได้นำผ้าป่าสำหรับสร้างกุฏิมาถวายวันที่ ๑๕ เมษายน และวันที่ ๒ พฤษภาคม นอกจากนี้บุตรสาวของจสอ.สมาน-คุณวิมล พุฒมาเล บ้านนาคต บริจาคอิฐสำหรับใช้ก่อสร้างอีก ๕,๐๐๐ ก้อน

ต่อมาวันที่ ๑๗ เม.ย. พ.ศ. ๒๕๕๓ ญาติโยมจากบ้านนาคตพร้อมใจกันจัดผ้าป่าสามัคคีขึ้น เพื่อเป็นปัจจัยสำหรับใช้ในการก่อสร้างวัดต่อไป
        
ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๙ เม.ย. ๒๕๕๓ ผู้มีจิตศรัทธาจากองเมืองลำปางและญาติโยมบ้านป่าตัน ได้นำพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาถวาย เพื่อเป็นที่สักการบูชาแก่พุทธศาสนิกชน พร้อมกันนี้ได้ถวายผ้าป่าและบริวารอีก ๑ กอง
        
ต่อมาเมื่อวันที่ ๒ พ.ค. ๒๕๕๓ กลุ่มลูกหลานหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ในนามสมาชิกเว็บพระรัตนตรัย ได้ร่วมกันถวายผ้าป่าประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เพื่อเป็นปัจจัยในการก่อสร้างอาคารเอกนกประสงค์ (โรงครัว โรงทาน ที่พัก)
      
ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๑ พ.ค. ๒๕๕๓ คุณสมคิด เชื้อคำลือ ได้เป็นเจ้าภาพบูรณะซ่อมแซมองค์พระธาตุดอยพระฌาน

32.jpg

แหล่งที่มาข้อมูล เว็บดอยพระ ดอทคอม (http://www.doipra.com/wat/)


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 2011-7-3 19:25 โดย pimnuttapa


IMG_0313.jpg

ทางไปกราบนมัสการรอยพระบาทและรอยพระหัตถ์พระอรหันต์ผู้ติดตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วัดพระธาตุดอยพระฌานโพธิญาณรังสฤษฏ์ ค่ะ ตามมาเลยค่ะ


IMG_0318.jpg


รอยพระบาทและรอยพระหัตถ์ของพระอรหันต์ผู้ติดตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วัดพระธาตุดอยพระฌานโพธิญาณรังสฤษฏ์  พึ่งค้นพบใหม่ค่ะ


IMG_0331.jpg



ประวัติการค้นพบรอยพระบาทและรอยพระหัตถ์ วัดพระธาตุดอยพระฌานโพธิญาณรังสฤษฏ์  

ในช่วงเวลาเช้า วันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๒ พระพรชัย อัคควังโส ได้เดินลื่น ณ บริเวณนี้ แล้วท่านได้เหลือบไปเห็นรอยพระบาทประดิษฐานบนก้อนหินค่ะ


0Doipra-035.jpg



ทางคณะได้ถวายดอกไม้ ปิดทอง พรมน้ำอบน้ำหอม ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา แด่รอยพระบาทและรอยพระหัตถ์ค่ะ




บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 2011-7-3 19:34 โดย pimnuttapa


IMG_0329.jpg

IMG_0327.jpg



เดินลงเขาไปไม่ไกลจากรอยพระบาทและรอยพระหัตถ์รอยเล็ก จะพบรอยพระพุทธบาทรอยใหญ่ (รอยพระพุทธบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนองค์ปัจจุบัน) วัดพระธาตุดอยพระฌานโพธิญาณรังสฤษฏ์ ประดิษฐานบนก้อนหินค่ะ


IMG_1468.jpg



ประวัติการค้นพบรอบพระพุทธบาทรอยใหญ่ วัดพระธาตุดอยพระฌานโพธิญาณรังสฤษฏ์

เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๒ พระพรชัย อัคควังโส  ได้ฝันเห็นรอยพระบาทใหญ่นิ้วชัดเจนประทับบนหินก้อนใหญ่วางอยู่ริมทางชัน ซึ่งท่านเดินผ่านไปมาบ่อยๆ ก่อนหน้านี้ท่านพบก่อนแล้วแต่นึกว่าเป็นแท่นประทับ เมื่อตอนไปปิดทองรอยเล็ก ขณะท่านว่างๆ รอสีปิดทองแห้ง จึงมากวาดทำความสะอาดพระแท่น จึงพบว่ามีรอยพระบาทอยู่ แต่ค่อนข้างจางเพราะโดนไฟป่าเผาไปหลายรอบ รอยพระพุทธบาทประดิษฐานบนก้อนหิน มีลักษณะร่อนแตก หินโดนไฟแตกเสียหายมาก หลวงพี่สันนิษฐานว่าเป็นรอยที่เก่ากว่าองค์ปัจจุบันมากค่ะ


IMG_1470.jpg

0Doipra-045.jpg



ทางคณะได้ถวายดอกไม้ ปิดทอง พรมน้ำอบน้ำหอม ถวายเป็นพุทธบูชาแด่รอยพระพุทธบาท ในขณะเดียวกันฝนก็ได้ตกลงมาให้ความชุ่นชื่นแก่คณะ และหลวงพี่ชิว (พระพรชัย อัคควังโส) ที่เมตตานำทางมากราบนมัสการรอยพระพุทธบาท เย็นสบายไปตามๆ กันค่ะ   



บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 2010-12-14 23:10 โดย pimnuttapa

IMG_1726.jpg


ศาลาเอนกประสงค์หลังเก่า วัดพระธาตุดอยพระฌานโพธิญาณรังสฤษฏ์ ค่ะ


IMG_1722.jpg


ภานใน ศาลาเอนกประสงค์หลังเก่า ประดิษฐานพระพุทธรูปสององค์ค่ะ


IMG_1723.jpg


ศาลา วัดพระธาตุดอยพระฌานโพธิญาณรังสฤษฏ์ อยู่ข้างศาลาเอนกประสงค์หลังเก่าค่ะ



บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 2010-12-14 23:18 โดย pimnuttapa


prapatum.jpg



เชิญพุทธศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญการทอดผ้าป่า สร้างวิหารและพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม หน้าตัก ๔ ศอก ครั้งที่ ๒ เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๔

ถวาย ณ วัดพระธาตุดอยพระฌานโพธิญาณรังสฤษฏ์ ต.ป่าตัน อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

ผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมทำบุญกับคณะผู้จัดทำหรือกับวัดพระธาตุดอยพระฌานโดยตรงที่

ชื่อบัญชี พระพรชัย อัคควังโส  
บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทย

สาขาแม่ทะ จ.ลำปาง
เลขที่บัญชี ๕๒๘-๐-๐๘๑๕๙-๐


2.jpg

ขอคุณพระศรีรัตนตรัย โดยมีสมเด็จองค์ปฐมเป็นประธาน ตลอดจนพ่อแม่ครูบาอาจารย์ หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง และพรหมเทวดาทั้งหลาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายที่ได้ร่วมทำบุญในครั้งนี้ จงมีแต่ความสุขสดชื่นร่มเย็น และความเจริญ ประสงค์สิ่งใดขอให้ท่านทั้งหลายจงสำเร็จสิ่งนั้นโดยเร็ว และมีความคล่องตัวในหน้าที่การงานทุกๆ ท่านเทอญ

1.jpg

ผู้มีจิตศรัทธาท่านใดอยากจะร่วมเป็นเจ้าภาพในการสร้างวิหารและพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม สามารถลงชื่อที่อยู่ เบอร์โทรติดต่อได้ที่กระทู้นี้ แล้วทางเราจะส่งซองไปตามจำนวนที่ท่านต้องการค่ะ และผู้มีจิตศรัทธาท่านใดโอนเงินร่วมทำบุญสร้างวิหารและพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมแล้ว สามารถมาโพสบอกรายละเอียดการทำบุญได้ที่กระทู้นี้เลยนะคะ เพื่อให้สมาชิกท่านอื่นๆ ได้โมทนาบุญร่วมกัน และทางหลวงพี่ วัดพระธาตุดอยพระฌานโพธิญาณรังสฤษฏ์ จะได้รู้ยอดจำนวนเงินที่ผู้จิตศรัทธาร่วมทำบุญว่ามีเจตนาทำบุญสร้างวิหารและพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมโดยเฉพาะ เพราะชื่อบัญชีที่ให้ไว้เป็นบัญชีการก่อสร้างของวัดทุกอย่างค่ะ โมทนาบุญผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญทุกท่านค่ะ   




13.jpg

ติดตามรายละเอียดประวัติความเป็นมาของวัด ตลอดจนการก่อสร้างภายในวัดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บดอยพระ ดอทคอม (http://www.doipra.com/wat/) และ เว็บพระรัตนตรัย ดอทคอม (http://www.praruttanatri.com) กระดานสนทนา หัวข้อดอยพระฌาน ค่ะ




บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 2010-12-12 05:48 โดย pimnuttapa

wp2_800.jpg


ประวัติสมเด็จองค์ปฐมและอานิสงส์การสร้างสมเด็จองค์ปฐม


ประวัติสมเด็จองค์ปฐม

หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า “สมเด็จองค์ปฐม” ก็คือพระพุทธเจ้าองค์แรกหรือองค์ที่หนึ่ง ทรงพระนามว่า “สมเด็จพระพุทธสิกขี”แต่พระพุทธ เจ้าที่ตรัสรู้ผ่านไปแล้วอาจจะมีชื่อซ้ำกันได้ โดยเฉพาะชื่อนี้มีด้วยกันถึง ๕ พระองค์ จึงเรียกขานกันว่าเป็น “พระพุทธสิกขีที่ ๑” พระองค์จึงเป็นต้นพระวงศ์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ จึงสมควรยกย่องพระพุทธองค์ว่าทรงเป็น “สมเด็จองค์ปฐมบรมครู” อย่างแท้จริง


ครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์เสด็จมาเล่าให้ฟังหลวงพ่อฟังที่บ้านสายลมว่า สมัยที่พระองค์ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ในเวลานั้นคนมีอายุขัยประมาณ ๘ หมื่นปี พระองค์เสด็จออกมหาภิเษกรมณ์ เมื่อพระชนมายุได้ ๔ หมื่นปี หลังจากทรงผนวชแล้วเป็นเวลาอีก ๒ หมื่นปี จึงได้ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ อีกประมาณ ๒ หมื่นปี จึงเสด็จดับขันธปรินิพานหลังจากทรงใช้เวลาอันยาวนานถึง ๔๐ อสงไขยกัปในการบำเพ็ญพระบารมี เพื่อแสวงหาพระโพธิญาณ ด้วยพระองค์เอง ทรงใช้เวลาอันยาวนานในการบำเพ็ญพระบารมี เนื่องจากพระพุทธองค์เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรก จึงไม่มีแบบอย่างที่จะให้พระพุทธองค์ได้ศึกษาเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อบรรลุพระโพธิญาณ ระยะเวลาที่บำเพ็ญพระบารมี จึงใช้ถึง ๔๐ อสงไขยกัปเศษดังนี้

25.jpg

อานิสงส์การสร้างสมเด็จองค์ปฐม

หลวงพ่อ : “...ช่างมาถามเกี่ยวกับลักษณะองค์ปฐม อาตมาบอกสร้างแบบพระพุทธรูปธรรมดา แต่ต้องอ้วนหน่อยนะ คือมีเนื้อมากหน่อย ไม่ใช่อ้วนพุงพลุ้ยนะ และก็เวลาลงไปสอนกรรมฐาน เมื่อเสร็จแล้วเขาก็คุยกัน เขาก็ถามปัญหา ถามไปถามมา เขาถามถึงพระพุทธเจ้าองค์ปฐมว่า

ถ้าจะสร้างจะมีอานิสงส์ยังไง ลุงสองลุง นายบัญชีกับลุงพุฒิ (หมายถึงท่านพระยายม) ท่านบอกว่าการสร้างองค์ปฐมนี่ท่านเปลี่ยนบัญชีใหม่ เอาบัญชีมาให้ดู บอกนี่...บัญชีเล่มนี้ (คือว่าเป็นอีกเล่มหนึ่งจากที่ที่จดธรรมดา) “บัญชีสีทอง” เป็นทองคำล้วนทั้งเล่มเลย ฉันอยากได้บัญชีเอามาขาย ท่านบอก ถ้าสร้างองค์ปฐมลงบัญชีเล่มนี้โดยเฉพาะก็แสดงว่าคนที่จะสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมได้นี่ต้องเป็นคนมีบุญมาก...หรือไง? แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ต้องเงินมากนะ คือว่าโดยมากเราจะนึกไม่ถึงกันใช่ไหม เรานึกถึงพระกกุสันโธ พระโกนาคม พระพุทธกัสสป แต่ยังไม่เคยนึกถึงองค์ปฐม เพราะว่าการสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมทำได้ยาก คือว่าเป็นพระพุทธเจ้าต้นพระพุทธเจ้าทั้งหมดและการทำบุญเนื่องในการสร้างวิหารก็ดีสถานที่ก็ดีไม่เคยนึกถึงองค์ปฐม ส่วนใหญ่ไปนึกถึงพระศรีอาริย์ ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าใช่ไหม นี่องค์นี้เป็นองค์แรก


ก็คุยกันแล้วท่านบอกว่า การสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมทำได้ยาก คือว่า เป็นพระพุทธเจ้าต้นพระพุทธเจ้าทั้งหมด ใช่ไหม และการสร้างวิหารก็ดี สถานที่ก็ดี เอาของไปประดับก็ตามอย่างนี้ลงบัญชีสีทองหมด คือไม่หมายความต้องมีเงินมากเสมอไปที่เขามีน้อยๆ บาทสองบาท สิบสตางค์ยี่สิบสตางค์พวกนี้เอาไปใส่แท่นอย่างนี้ลงบัญชีสีทองหมด ก็ถามว่า บัญชีสีทอง หมายถึงอะไร ท่านบอกมันหมายถึงกลับไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าทุกองค์ต้องโมทนาหมด


การหล่อองค์ปฐมด้วยทองคำนี่ อานิสงส์จะเหมือนกับหล่อพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน แต่ว่าต่างกันอยู่นิดหนึ่งที่ไปนิพพานเร็ว ไปนิพพานเร็วมาก เพราะเขาเข้าบัญชีสีทองไม่ใช่ตัวทอง บัญชีทั้งเล่มเป็นทอง ลงบัญชีเล่มนั้น จะทองคำก็ดี จะเป็นเงินก็ตาม...เหมือนกัน ลงบัญชีเล่มเดียวกัน..”



(แหล่งที่มาข้อมูล อานิสงส์การสร้างสมเด็จองค์ปฐม นำมาจากหนังสือ “ประวัติการสร้างสมเด็จองค์ปฐม
โดยพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี รวบรวมโดยพระชัยวัฒน์ อชิโต เรียบเรียงและคัดลอกโดยคณะผู้จัดทำ คุณอิฏฐพงศ์ ขันธ์เครือ และคุณเกศราทิพย์ สุทธิ์วรรณ)


4.jpg


อานิสงส์การสร้างวิหารทาน

การสร้างวิหารถวายเป็นสังฆทานนั้น พระพุทธองค์ทรงตรัสสรรเสริญว่า เป็นทานอันเลิศ เป็นทานที่มีผล
มากมีอานิสงส์มากเช่นกัน ตามข้อความที่ปรากฏในพระวินัยปิฎกมหาขันธกะ จุลวรรคว่า พระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์แห่งกรุงราชคฤห์ ได้ทูลถามสมเด็จพระบรมศาสดาว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สาธุชนทั้งหลายมีใจศรัทธาปสันนาการ เลื่อมใสมาก่อสร้างกุฏิ วิหารถวายเป็นสังฆทานนั้น จะมีผลผลานิสงส์เป็นประการใด" พระศาสดาทรงตรัสว่า
" ดูกรมหาบพิตร ผู้ใดมีจิตศรัทธาเลื่อมใสพระรัตนตรัยแล้วก่อสร้างกุฏิ วิหาร ศาลา คูหาน้อยใหญ่ ถวายเป็นทานจะประกอบด้วยผลอานิสงส์มากเป็นอเนกประการนับได้ถึง ๔๐ กัป  

พระองค์ทรงนำอดีตนิทานมาเทศนาต่อไปว่า ในอดีตกาลล่วงมาแล้ว พระพุทธเจ้ายังมิได้อุบัติบังเกิดในโลก ในระหว่างนั้นพระปัจเจกโพธิเจ้าทั้งหลาย ก็ได้บังเกิดตรัสรู้ในโลกนี้ และอาศัยในป่าหิมพานต์ อยู่มาวันหนึ่งมีความปรารถนาเพื่อจะมาใกล้หมู่บ้านอันเป็นแว่นแคว้นกาสิกราช ได้อาศัยอยู่ในราวป่าแห่งหนึ่งแถบใกล้บ้านนั้นมีนายช้างคนหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านนั้น ก็ไปป่ากับลูกชายของตน เพื่อจะตัดไม้มาขายกินเลี้ยงชีพตามปกติ ก็แลเห็นพระปัจเจกโพธิเจ้านั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ พ่อลูกสองคนก็เข้าไปใกล้น้อมกายถวายนมัสการแล้ว ทูลถามว่า "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าจะไปไหน จึงมาอยู่ในสถานที่นี้" พระปัจเจกโพธิจึงตอบว่า "ดูกรอาวุโส บัดนี้จวนจะเข้าพรรษาแล้ว อาตมาเที่ยวแสวงหากุฏิวิหารที่จะจำพรรษา" นายช่างก็อาราธนาให้อยู่จำพรรษาในที่นี้ พระปัจเจกโพธิทรงรับด้วยการดุษณีภาพ สองคนพ่อลูกดีใจ จึงขออาราธนาพระผู้เป็นเจ้าเข้าไปในเรือน ถวายบิณฑบาตทานแก่พระปัจเจกโพธิ สองคนพ่อลูกเที่ยวตัดไม้แก่นมาสร้างกุฏิวิหารที่ริมสระโบกขรณีใหญ่ ได้ทำที่จงกรมเสร็จแล้ว ได้อาราธนาว่า"พระผู้เป็นเจ้าจงอยู่ให้สุขเถิดพระเจ้าข้า"

ครั้นพระปัจเจกโพธิได้รับนิมนต์แล้ว สองคนพ่อลูกตั้งปณิธานความปรารถนาว่า "ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากทุกข์ยากไร้เข็ญใจ และขอให้ข้าพเจ้าทั้งสองนี้ได้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพผู้ประเสริฐองค์หนึ่งเถิด" พระปัจเจกโพธิก็รับอนุโมทนาซึ่งบุญ นายช่างสองคนพ่อลูกอยู่สิ้นอายุขัยแล้วก็ทำกาลกิริยาตายไปบังเกิดในสวรรค์ขั้นดาวดึงส์ มีวิมานทองเป็นที่รองรับ และเทพอัปสรแวดล้อมเป็นบริวาร เสวยทิพย์สมบัติอยู่ในสวรรค์สิ้นกาลนาน จุติจากสวรรค์นั้นแล้ว ก็ไปบังเกิดเป็นราชบุตรของพระเจ้าสุโรธิบรมกษัตริย์ในเมืองมิถิลามหานคร ทรงพระนามว่า มหาปนาทกุมาร เมื่อเจริญวัยขึ้นได้เสวยราชสมบัติ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ด้วยอานิสงส์ที่ได้สร้างกุฏิวิหารถวายเป็นทานแก่พระปัจเจกโพธิ ครั้นตายจากชาติเป็นพระยามหาปนาทแล้ว ก็เวียนว่ายตายเกิดในมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ

แล้วก็มาเกิดเป็นเศรษฐีมีทรัพย์ ๘๐ โกฎิอยู่ในภัททิยนคร ชื่อว่า ภัททชิกได้ปราสาท ๓ หลัง อยู่ใน ๓ ฤดู ครั้นเจริญวัยได้บวชในศาสนา สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในศาสนาของตถาคต ส่วนเทพบุตรองค์พ่อนั้น ยังเสวยทิพยสมบัติอยู่ในสวรรค์ช้านานจนถึงศาสนาพระศรีอริยเมตไตรย์ลงมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในมนุษย์โลก ได้จุติลงมาปฏิสนธิในครรภ์พระอัครมเหสีสมเด็จพระเจ้ากรุงเกตุมวดี ทรงพระนามว่า สังขกุมาร ครั้นเจริญวัยแล้วก็ขึ้นครองราชสมบัติ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าสังขจักรบรมกษัตริย์ มีทวีปน้อยใหญ่เป็นบริวาร พระองค์จึงได้สละราชสมบัติบ้านเมืองออกไปบรรพชา ในสำนักพระศรีอริยเมตไตรย์กับทั้งบริวาร ๑ โกฎิ บรรลุอรหันต์ได้เป็นอัครสาวกเบื้องขวา นามว่าอโสกเถระ
ก็ด้วยอานิสงส์ได้สร้างกุฏิให้เป็นทานนั้นแล อันเป็นบุญให้ถึงความสุข ๓ ประการ คือ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ






บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-4-29 21:48 , Processed in 0.075007 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.