แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

ธรรมโอวาทหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

Rank: 8Rank: 8

pimnuttapa โพสต์เมื่อ 2009-1-28 17:19 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

ตอนที่ ๓๖

บทเรียนทางธรรม



บทที่ ๑ ความกตัญญูและกุศโลบายในการหาบุญ


ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้ไปกราบหลวงพ่อดู่ในราวปี พ.ศ.๒๕๒๕ โอวาทที่ท่านมอบให้แก่ลูกศิษย์หน้าใหม่คนนี้ก็คือ “ทำบุญกับพระที่ไหนๆ ก็ต้องไม่ลืมพระที่บ้าน พ่อแม่เรานี้แหละ...พระอรหันต์ที่บ้าน”

ครั้งนั้นยังจำได้ว่าข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ได้ซื้อดอกบัวไปถวายท่านด้วย ท่านรับและนำไปบูชาพระพุทธรูปใกล้ๆ แล้วก็ให้โอวาทอีกว่า
“พวกแกยังเป็นนักเรียน นักศึกษา ยังต้องแบมือขอเงินพ่อแม่อยู่ คราวหน้าอย่าไปเสียเงินเสียทองซื้อดอกไม้มาถวาย ระหว่างทางมาวัด หากเห็นสระบัวที่ไหนก็ให้ตั้งจิตนึกน้อมเอาดอกบัวถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ก็ใช้ได้แล้ว”

นอกจากนี้ วิธีหาบุญแบบง่ายๆ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ แล้วก็สามารถทำได้ทั้งวัน ที่หลวงพ่อท่านแนะนำก็คือ ตื่นเช้ามา ขณะล้างหน้าหรือดื่มน้ำ ก็ให้ว่า “พุทธัง สรณัง คัจฉามิ, ธัมธัง สรณัง คัจฉามิ, สังฆัง สรณัง คัจฉามิ” ก่อนจะกินข้าวให้นึกถวายข้าวพระพุทธ


ออกจากบ้านเห็นคนอื่นเขากระทำความดี เป็นต้นว่า ใส่บาตรพระ จูงคนแก่ข้ามถนน ฯลฯ ก็ให้นึกอนุโมทนากับเขา ผ่านไปเห็นดอกไม้ที่ใส่กระจาดวางขายอยู่หรือดอกบัวในสระข้างทาง ก็ให้นึกอธิษฐานถวายเป็นเครื่องบูชาพระรัตนตรัย โดยว่า “พุทธัสสะ ธัมมัสสะ สังฆัสสะ ปูเชมิ” แล้วต้องไม่ลืมอุทิศบุญให้แม่ค้าขายดอกไม้หรือรุกขเทวาที่ดูแลสระบัวนั้นด้วย

ตอนเย็นนั่งรถกลับบ้าน เห็นไฟข้างทางก็ให้นึกน้อมบูชาพระรัตนตรัย โดยว่า “โอมอัคคีไฟฟ้า พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา” กลับมาบ้าน ก่อนนอนก็นั่งสมาธิ เอนตัวนอนลงก็ให้นึกคำบริกรรมภาวนาไตรสรณาคมน์จนหลับ ตื่นขึ้นมาก็บริกรรมภาวนาต่ออีก

นี่เรียกว่า เป็นกุศโลบายของหลวงพ่อดู่ที่ต้องการให้พวกเราคอยตะล่อมจิตให้อยู่แต่ในบุญในกุศลตลอดทั้งวันเลยทีเดียว

a1 (141) - Copy.gif



บทที่ ๒ ระวังตกต้นตาล


ด้วยความที่ข้าพเจ้าเป็นคนที่สนใจอ่านหนังสือธรรมอยู่เสมอๆ ทำให้สัญญาหรือความจดจำมันล่วงหน้าไปไกลกว่าการปฏิบัติชนิดไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว

เช้าวันหนึ่ง ในช่วงที่ข้าพเจ้ารู้จักและไปกราบหลวงพ่อใหม่ๆ ข้าพเจ้าถามท่านว่า “หลวงพ่อครับ พระท่านสอนว่าบุญก็ไม่ให้เอา บาปก็ไม่ให้เอา และอย่าไปยินดียินร้ายกับสิ่งทั้งปวง” ทีนี้อย่างไรผมถึงจะหมดความยินดียินร้ายครับ”

หลวงพ่อท่านยิ้มและตอบหัวเราะว่า “เบื้องต้นก็จะขึ้นยอดตาล ก็มีหวังตกลงมาตายเท่านั้น”


ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเขินและได้คิดว่าการปฏิบัติธรรมที่ถูกที่ควรนั้น ไม่ควรจะอ่านตำรับตำรามาก แต่ควรปฏิบัติอย่างค่อยเป็นค่อยไป มุ่งประกอบเหตุที่ดีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย โดยไม่เร่งรัดหรือคาดคั้นเอาผล และที่สำคัญคือ อย่าสำคัญผิดคิดว่า “สัญญา” เป็น “ปัญญา” เพราะหากยังเป็นแค่สัญญาหรือความรู้ที่เป็นเพียงการจดการจำ มันยังไม่ช่วยให้เราเอาตัวรอดหรือพ้นทุกข์ได้


a1 (140) - Copy.gif



บทที่ ๓ อย่าประมาท


หลวงพ่อดู่ ท่านพูดเตือนเพื่อให้พวกเราไม่ประมาท รีบทำความดีเสียแต่ยังแข็งแรงอยู่ เพราะเมื่อแก่เฒ่าลงหรือมีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนก็จะปฏิบัติได้ยาก ท่านว่า

“ปฏิบัติธรรมเสียตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เป็นหนุ่ม เป็นสาวนี้แหละดี เพราะเมื่อแก่เฒ่าไปแล้ว จะนั่งก็โอย จะลุกก็โอย หากจะรอไว้ให้แก่เสียก่อนแล้วจึงค่อยปฏิบัติ ก็เหมือนคนที่คิดจะหัดว่ายน้ำเอาตอนที่แพใกล้จะแตก มันจะไม่ทันการณ์”

นอกจากนั้น ท่านยังแนะให้หาโอกาสไปโรงพยาบาล ท่านว่า “โรงพยาบาลนี้แหละ” เป็นโรงเรียนสอนธรรมะ มีให้เห็นทั้งเกิด แก่ เจ็บ และตาย ให้หมั่นพิจารณาให้เห็นความจริง ทุกข์ทั้งนั้น……

“อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา”


a1 (139).gif



บทที่ ๔ ให้หมั่นดูจิต


คำสอนของหลวงพ่อที่ข้าพเจ้าได้ยินแทบจะทุกครั้งที่ไปนมัสการท่านก็คือ

“ของดีอยู่ที่ตัวเรา ของไม่ดีก็อยู่ที่ตัวเรา”
ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต”


นับเป็นโอวาทที่สั้นแต่เอาไปปฏิบัติได้ยาวจนชั่วชีวิตหรือยาวนานตราบเท่าจนกว่าจะพ้นจากวัฏฏะสงสารนี้ไปได้ ซึ่งสอดคล้องกับพุทธพจน์ที่ว่า...


“ผู้ใดหมั่นตามดูจิต ผู้นั้นจะพ้นจากบ่วงแห่งมาร”


การขาดการตามดูจิต รักษาจิต เป็นเหตุให้เราไม่ฉลาดในความคิดหรืออารมณ์ การฟังมามากก็ไม่อาจช่วยอะไรเราได้ เพราะเพียงแค่การฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ภายนอก โดยปราศจากโยนิโสมนสิการ หมั่นตรึกพิจารณาสิ่งต่างๆ ให้เป็นธรรม หรือนัยหนึ่งคือ ขาดการฟังธรรมในใจเราเองบ้าง ธรรมต่างๆ ที่ได้ยินฟังมานั้นก็ย่อมไม่อาจสำเร็จประโยชน์เป็นความดับทุกข์ได้เลย

a1 (139) - Copy.gif



บทที่ ๕ รู้จักหลวงพ่ออย่างไร


เช้าวันหนึ่ง ในเดือนมกราคม ๒๕๓๓ ก่อนหน้าที่หลวงพ่อจะละสังขารไม่กี่วัน ในขณะที่รอใส่บาตรอยู่หน้ากุฏิของท่าน หลวงพ่อได้พูดเป็นคติแก่สานุศิษย์ ณ ที่นั้นว่า....

“ตราบใดก็ตามที่แกยังไม่เห็นความดีในตัว
ก็ไม่นับว่าแกรู้จักข้า
แต่ถ้าเมื่อใดที่เริ่มเห็นความดีในตัวเองแล้ว
เมื่อนั้น ข้าว่าแกรู้จักข้าดีขึ้นแล้ว”


นับเป็นคำพูดที่แสดงนัยแห่งเป้าหมายของการปฏิบัติที่ท่านได้เมตตาพร่ำสอนศิษยานุศิษย์ไว้อย่างชัดเจนที่สุดตอนหนึ่ง รวมทั้งเป็นกำลังใจแก่ผู้ที่ศรัทธาในตัวท่าน ไม่ว่าผู้นั้นจะมีโอกาสอยู่ใกล้ชิดท่านหรือไม่ หรือแม้แต่จะมาทันได้พบสรีระสังขารแห่งท่านหรือไม่ก็ตาม

พ.อ. มกราคม ๒๕๔๑


Rank: 8Rank: 8

pimnuttapa โพสต์เมื่อ 2009-1-28 17:26 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

ตอนที่ ๓๗

อานิสงส์การภาวนา



หลวงพ่อท่านเคยพูดเสมอว่า


“อุปัชฌาย์ข้า (หลวงพ่อกลั่น) สอนว่า ภาวนาได้เห็นแสงสว่างเท่าปลายหัวไม้ขีดชั่วประเดี๋ยวเดียว เท่าช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น ยังมีอานิสงส์มากกว่าตักบาตรจนขันลงหินทะลุ”

พวกเรามักจะได้ยินท่านเคยให้กำลังใจอยู่บ่อยๆ ว่า

“หมั่นทำเข้าไว้ หมั่นทำเข้าไว้ ต่อไปจะได้เป็นที่พึ่งภายหน้า”

เสมือนหนึ่งเป็นการเตือนให้เราเร่งความเพียรให้มาก การให้ทานรักษาศีลร้อยครั้งพันครั้งก็ไม่เท่ากับนั่งภาวนาหนเดียว นั่งภาวนาร้อยครั้งพันครั้ง กุศลที่ได้ก็ไม่เท่ากับกุศลจิตที่สงบเป็นสมาธิปัญญาเพียงครั้งเดียว


pngegg.5.3.1.png


ตอนที่ ๓๘

ปลูกต้นธรรม



ครั้งหนึ่งหลวงพ่อเคยเปรียบเทียบการปฏิบัติธรรมเหมือนการปลูกต้นไม้

ท่านว่า...ทำนี้มันยาก ต้องคอยบำรุงดูแลรักษาเหมือนกับเราปลูกต้นไม้
ศีล.............................นี่คือ ดิน
สมาธิ............................คือ ลำต้น
ปัญญา...........................คือ ดอก ผล

ออกดอกเมื่อใดก็มีกลิ่นหอมไปทั่ว การปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน ผู้รักการปฏิบัติต้องคอยหมั่นรดน้ำพรวนดิน ระวังรักษาต้นธรรม ให้ผลิดอก ออกใบ มีผลน่ารับประทาน

ต้องคอยระวัง ตัวหนอน คือ โลภ โกรธ หลง มิให้มากัดกินต้นธรรมได้

อย่างนี้.........จึงจะได้ชื่อว่า ผู้รักธรรม รักการปฏิบัติจริง


pngegg.5.3.2.png


ตอนที่ ๓๙

เทวทูต



ธรรมะที่หลวงพ่อยกมาสั่งสอนศิษย์เป็นประจำ มีอยู่เรื่องหนึ่ง คือ เทวทูต ๔ ที่เจ้าชายสิทธัตถะพบก่อนบรรพชา คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ความหมายของคำว่าเทวทูต ๔ หลวงพ่อท่านหมายถึง ผู้มาเตือน เพื่อให้ระลึกถึงความไม่ประมาท ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรคิด แต่คนส่วนใหญ่มักมองข้าม

หลวงพ่อปรารภอยู่เสมอว่า แก่ เจ็บ ตาย เน้อ..หมั่นทำเข้าไว้ มีความหมายโดยนัยว่า เมื่อเราเกิดมาแล้ว เราก็ย่อมก้าวเข้าสู่ความชราความแก่เฒ่าอยู่ตลอดเวลา มีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา และเราจักต้องตายเหมือนกันทุกคน

การเห็นสมณะหรือนักบวช จึงเป็นนิมิตหมายที่ดีที่จะชักจูงให้เราก้าวล่วงความพ้นทุกข์ได้ในที่สุด โดย “ผู้มาเตือน” ทั้ง ๔ นี่เอง


Rank: 8Rank: 8

pimnuttapa โพสต์เมื่อ 2009-1-28 17:50 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

ตอนที่ ๔๐

สติธรรม



บ่อยครั้งที่พวกเราถูกหลวงพ่อท่านดุในเรื่องของการไม่สำรวมระวัง ท่านมักจะดุว่า

“ให้ทำ (ปฏิบัติ) ไม่ทำ ทำประเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวออกมาจับกลุ่มกันอีกแล้ว ทีเวลาคุย คุยกันได้นาน”

ปฏิปทาของท่านต้องการให้พวกเราตั้งใจปฏิบัติ ตั้งใจทำให้จริง มีสติ สำรวมระวัง แม้เวลากินข้าว ท่านก็ให้ระวังอย่าพูดคุยกันเอะอะเสียงดัง

“สติ” นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่จะทำให้เราหยุดคิด พิจาณาก่อนที่จะทำ จะพูด และแม้แต่จะคิดสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่าสิ่งนั้นดีหรือชั่ว มีคุณประโยชน์หรือเสียหาย ควรกระทำหรือควรงดเว้นอย่างไร เมื่อยั้งคิดได้ก็จะช่วยให้พิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างละเอียดประณีต และสามารถกลั่นกรองเอาสิ่งที่ไม่เป็นสาระไม่เป็นประโยชน์ออกให้หมด คงเหลือแต่เนื้อที่ถูกต้องและเป็นธรรมซึ่งเป็นของควรคิด ควรพูด ควรทำแท้ๆ


pngegg.5.3.1.png


ตอนที่ ๔๑

ธรรมะจากซองยา (บุหรี่)



บ่อยครั้งที่หลวงพ่อมักจะหยิบยกเอาสิ่งของรอบตัวท่านมาอุปมาเป็นข้อธรรมะให้ศิษย์ได้ฟังกันเสมอ

ครั้งหนึ่ง ท่านได้อบรมศิษย์ผู้หนึ่งเกี่ยวกับการรู้เห็นและได้ธรรมว่ามีทั้งชั้นหยาบ ชั้นกลาง ชั้นละเอียด อุปมาเหมือนอย่างซองยานี่ (หลวงพ่อท่านชี้ไปที่ซองบุหรี่)

“แต่แรกเราก็เห็นแค่ซองของมัน
แล้วเราจะไปเห็นมวนบุหรี่อยู่ในซองนั่น
แล้วที่สุดจะเกิดตัวปัญญาขึ้น รู้ด้วยว่ายาเส้นนี้ทำมาจากอะไร
จะเรียกว่า เห็นในเห็น ก็ได้
ลองไปตรองดูแลแล้วเทียบกับตัวเราให้ดีเถอะ”


pngegg.5.3.2.png



ตอนที่ ๔๒

ธรรมะจากโรงพยาบาล



โรงพยาบาลเป็นสถานที่บำบัดทุกข์ของมนุษย์เรา อย่างน้อย ๓ ประการ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในพระสูตรสำคัญหลายเรื่อง คือ

ชาติทุกข์ – ความเดือดร้อนเวลาเกิด
ชราทุกข์ – ความเดือดร้อนเมื่อความแก่มาถึง และ
พยาธิทุกข์ – ความเดือดร้อนในยามเจ็บไข้ได้ป่วย

หลวงพ่อเคยบอกกับผู้เขียนว่า ที่โรงพยาบาลนั่นแหละมีของดีเยอะเป็นเหมือนโรงเรียน เวลาไปอย่าลืมดูตัวเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ในนั้นหมด

“ดูข้างนอกแล้วย้อนมาดูตัวเราเหมือนกันไหม”


Rank: 8Rank: 8

pimnuttapa โพสต์เมื่อ 2009-1-28 21:09 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

ตอนที่ ๔๓

องจริง ของปลอม



เมื่อหลายปีก่อน ได้เกิดไฟไหม้ที่วัดสะแกบริเวณกุฏิตรงข้ามกุฏิหลวงพ่อ แต่ไฟไม่ไหม้กุฏิหลวงพ่อ เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ศิษย์และผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดมีฆราวาสท่านหนึ่งคิดว่าหลวงพ่อท่านมีพระดี มีของดี ไฟจึงไม่ไหม้กุฏิท่าน

ผู้ใหญ่ท่านนั้นได้มาที่วัด และกราบเรียนหลวงพ่อว่า
“หลวงพ่อครับ ผมขอพระดีที่กันไฟได้หน่อยครับ”


หลวงพ่อยิ้มก่อนตอบว่า
“พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ไตรสรณาคมน์นี่แหละ พระดี”

ผู้ใหญ่ท่านนั้นก็รีบบอกว่า
“ไม่ใช่ครับ ผมขอพระเป็นองค์ๆ อย่างพระสมเด็จน่ะครับ”

หลวงพ่อก็กล่าวยืนยันหนักแน่นอีกว่า


“ก็พุทธัง ธัมมัง สังฆัง นี่แหละ มีแค่นี้ล่ะ ภาวนาให้ดี” แล้วหลวงพ่อก็มิได้ให้อะไรจนผู้ใหญ่ท่านนั้นกลับไป หลวงพ่อจึงได้ปรารภธรรมอบรมศิษย์ที่ยังอยู่ว่า


“คนเราก็แปลก ข้าให้ของจริงกลับไม่เอา จะเอาของปลอม”


pngegg.5.3.1.png



ตอนที่ ๔๔

ให้รู้จักบุญ



การทำบุญทำกุศลนั้น โปรดอย่านึกว่าจะต้องหอบข้าวหอบของไปใส่บาตรที่วัดทุกวัน หรือบุญจะเกิดได้ก็ต้องทอดกฐินสร้างโบสถ์ สร้างศาลา และอื่นๆ อย่างที่เขาโฆษณาขายบุญกัน ทั้งทางวิทยุ หนังสือพิมพ์ และใบเรี่ยไรกันเกลื่อนกลาด จนรู้สึกว่าจะต้องเป็นภาระที่จะต้องบริจาค เมื่อไปวัดหรือสำนักนั้นๆ เป็นประจำ

บทสวดมนต์ชื่อพระพุทธชัยมงคลคาถา ที่ขึ้นต้นด้วย “พาหุง...” มีอยู่ท่อนหนึ่ง ซึ่งกล่าวถึงพระพุทธเจ้าทรงชนะมารคือกิเลส ว่า

“...ทานาทิธัมมาวิธินา ชิตวา มุนินโท” แปลว่า
“พระพุทธเจ้าผู้ทรงจอมปราชญ์ ทรงชนะมารคือกิเลส ด้วยวิธีบำเพ็ญบารมีธรรมคือ ความดี มีการบริจาคทานเป็นต้น”

พระพุทธเจ้าทรงสอนการทำบุญทำกุศล ด้วยการให้ทาน รักษาศีล และสวดมนต์เจริญภาวนา ให้ทานทุกครั้ง เพื่อทำลายความโลภคือกิเลส ทุกครั้งรักษาศีล เจริญภาวนา เพื่อทำลายความโกรธ ความเห็นแก่ตัว ให้ใจสะอาดไม่เศร้าหมอง มองเห็นบาปบุญคุณโทษได้ ทุกครั้งทำได้ดังนี้ จึงชื่อว่าทำตามพระพุทธเจ้า


pngegg.5.3.2.png



ตอนที่ ๔๕

อุบายธรรมแก้ความกลัว



เคยมีผู้ปฏิบัติสมาธิภาวนาแล้วเกิดความกลัว โดยเฉพาะนักปฏิบัติที่เป็นหญิง ไม่ว่าจะกลัวผีสาง นิมิตในการภาวนา หรือกลัวโดยไม่ทราบสาเหตุ ได้เรียนถามหลวงพ่อว่า ถ้ากลัวแล้วจะทำอย่างไรดี

หลวงพ่อตอบว่า
“ถ้ากลัวให้นึกถึงพระ”

ในพระไตรปิฎก ธชัคคสูจร กล่าวไว้สรุปได้ว่า
“เมื่อพวกเธอตามระลึกถึงเราตถาคตอยู่ พระธรรมอันเรากล่าวดีแล้วอยู่ พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีแล้วอยู่ ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ความขนพองสยองเกล้าก็ดี ที่จะมีขึ้น ก็หายไป”

ท่านยังฝากไว้ให้คิดอีกว่า
“ธรรมนั้นอยู่ฟากตาย”


Rank: 8Rank: 8

pimnuttapa โพสต์เมื่อ 2009-1-28 21:17 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

ตอนที่ ๔๖

พระเก่าของหลวงพ่อ



สำหรับพระเครื่องแล้ว พระสมเด็จวัดระฆังฯ เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักเลงพระว่า เป็นของหายากและมีราคาแพง ใครไว้บูชานับเป็นมงคลอย่างยิ่ง

หลวงพ่อได้สอนว่า การนับถือพระเช่นนี้เป็นสิ่งที่ดี แต่เป็นดีภายนอกมิใช่ดีภายใน ท่านบอกว่า “ให้หาพระเก่าให้พบนี่ซิ ของแท้ของดีจริง”

ผู้เขียนเรียนถามท่านว่า “พระเก่า” หมายความว่าอย่างไร


ท่านว่า “ก็หมายถึงพระพุทธเจ้าน่ะซิ นั่น ท่านเป็นพระเก่า พระโบราณ พระองค์แรกที่สุด”


pngegg.5.3.2.png



ตอนที่ ๔๗

จะตามมาเอง



หลายปีมาแล้ว มีพระภิกษุรูปหนึ่ง ได้มาบวชปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดสะแก ก่อนที่จะลาสิกขาเข้าสู่เพศฆราวาส ท่านได้นัดแนะกับเพื่อนพระภิกษุที่จะสึกด้วยกัน ๓ องค์ว่า เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนสึกพวกเราจะไปกราบขอให้หลวงพ่อพรมน้ำมนต์และให้พร

ท่านได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า
ขณะที่หลวงพ่อพรมน้ำมนต์ให้พรอยู่นั้น ท่านก็นึกอธิษฐานอยู่ในใจว่า “ขอความร่ำรวยมหาศาล ขอลาภ ขอให้พูนทวี มีกินมีใช้ไม่รู้หมด จะได้แบ่งไปทำบุญมากๆ”

หลวงพ่อหันมามองหน้าหลวงพี่ที่กำลังคิดละเมอเพ้อฝันถึงความร่ำรวยนี้ก่อนที่จะบอกว่า


“ท่าน ที่ท่านคิดน่ะมันต่ำ คิดให้มันสูงไว้ไม่ดีหรือ แล้วเรื่องที่ท่านคิดน่ะจะตามมาทีหลัง”


pngegg.5.3.1.png



ตอนที่ ๔๘

เชื่อจริงหรือไม่



สำหรับผู้ปฏิบัติแล้ว คำดุด่าว่ากล่าวของอาจารย์ นับเป็นเรื่องสำคัญและมีคุณค่ายิ่ง หากครูบาอาจารย์เมินเฉย ไม่ดุด่าว่ากล่าวก็เหมือนเป็นการลงโทษ

ผู้เขียนเคยถูกหลวงพ่อดุว่า


“แกยังเชื่อไม่จริง ถ้าเชื่อจริง พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ต้องเชื่อและยอมรับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง แทนที่จะเอาความโลภมาเป็นที่พึ่ง เอาความโกรธมาเป็นที่พึ่ง เอาความหลงมาเป็นที่พึ่ง”

หลวงพ่อท่านกล่าวกับผู้เขียนว่า


“โกรธ โลภ หลง เกิดขึ้น”
ให้ภาวนา แล้วโกรธ โลภ หลง จะคลายลง
ข้ารับรอง ถ้าทำแล้วไม่จริง ให้มาด่าข้าได้”


Rank: 8Rank: 8

pimnuttapa โพสต์เมื่อ 2009-1-28 21:30 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

ตอนที่ ๔๙

พระที่คล้องใจ



เมื่อมีผู้ไปขอของดีจำพวกวัตถุมงคลจากหลวงพ่อไว้ห้อยคอหรือพกติดตัว หลวงพ่อจะสอนว่า


“จะเอาไปทำไม ของดีภายนอก ทำไมไม่เอาของดีภายใน พุทธัง ธัมมัง สังฆัง นี่แหละ ของวิเศษ”

ท่านให้เหตุผลว่า


“คนเรานั้นถ้าไม่มีพุทธัง ธัมมัง สังฆัง เป็นของดีภายใน ถึงแม้จะได้ของดีภายนอกไปแล้ว ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร...ทำอย่างไรจึงจะได้เห็นพระจริงๆ เห็นมีแต่ปูน พระไม้ พระโลหะ พระรูปถ่าย พระสงฆ์ ลองกลับไปคิดดู”


pngegg.5.3.1.png



ตอนที่ ๕๐

จะเอาดีหรือเอารวย



อีกครั้งหนึ่งที่คณะผู้เขียนได้มานมัสการหลวงพ่อ เพื่อนของผู้เขียนท่านหนึ่งต้องการเช่าพระอุปคุตที่วัดเพื่อนำไปบูชา โดยกล่าวกับผู้ที่มาด้วยกันว่า บูชาแล้วจะได้รวย

เพื่อนของผู้เขียนท่านนั้นแทบตะลึง เมื่อมากราบหลวงพ่อแล้วท่านได้ตักเตือนว่า “รวยกับซวยมันใกล้ๆ กันนะ”

ผู้เขียนได้เรียนถามหลวงพ่อว่า
“ใกล้กันยังไงครับ”

ท่านยิ้มและตอบว่า “มันออกเสียงคล้ายกัน”
พวกเราต่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ สักครู่ท่านจึงขยายความให้พวกเราฟัง

“จะเอารวยน่ะ จะหามายังไงก็ทุกข์ จะรักษามันก็ทุกข์ หมดไปก็เป็นทุกข์อีก กลัวคนจะจี้จะปล้น ไปคิดดูเถอะมันไม่จบหรอก มีแต่เรื่องยุ่ง เอาดี ดีกว่า”

คำว่า “ดี” ของหลวงพ่อมีความหมายลึกซึ้งมาก ผู้เขียนขออัญเชิญพระบรมราโชวาทของในหลวงของเราในเรื่องการทำความดี มาเปรียบ ณ ที่นี้ ความตอนหนึ่งว่า

“...ความดีนี้ ไม่ต้องแย่งกัน ความดีนี้ ทุกคนทำได้ เพราะความดีนี้ทำแล้วก็ดีตามคำว่า ดี นี้ ดีทั้งนั้น ฉะนั้น ถ้าช่วยกันทำดี ความดีนั้นก็จะใหญ่โต จะดียิ่ง ดีเยี่ยม….”


pngegg.5.3.2.png



ตอนที่ ๕๑

หลักพุทธศาสนา



เล่ากันว่า มีโยมท่านหนึ่ง ไปนมัสการพระเถระองค์หนึ่งอยู่เป็นประจำ และในวันหนึ่งได้ถามปัญหาธรรมกับท่านว่า

“หลักพุทธศาสนาคืออะไร?”

พระเถระตอบว่า “ละความชั่ว ทำความดี ทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว”

โยมท่านนั้นได้ฟังแล้ว พูดว่า “อย่างนี้เด็ก ๗ ขวบก็รู้”

พระเถระยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบว่า “จริงของโยม เด็ก ๗ ขวบ ก็รู้ แต่ผู้ใหญ่อายุ ๘๐ ก็ยังปฏิบัติไม่ได้”

อย่างนี้กระทั่งที่ผู้เขียนเคยได้ยินหลวงพ่อพูดเสมอว่า


“ของจริง ต้องหมั่นทำ”
พระพุทธศาสนานั้น ถ้าปราศจากการน้อมนำเข้าไปไว้ในใจแล้ว การ “ถือ” พุทธศาสนาก็ไม่มีความหมายแต่อย่างใด

Rank: 8Rank: 8

pimnuttapa โพสต์เมื่อ 2009-1-28 21:38 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

ตอนที่ ๕๒

ของจริงนั้นมีอยู่



มีคนจำนวนไม่น้อยที่ปฏิบัติธรรมแล้วเกิดความท้อแท้ปฏิบัติอยู่เป็นเวลานาน ก็ยังรู้สึกว่าตนเองไม่ได้พัฒนาขึ้น หลวงพ่อเคยเมตตาสอนผู้เขียนว่า

“ของที่มีมันยังไม่จริง ของจริงเขามี เมื่อยังไม่จริง มันก็ยังไม่มี”

หลวงพ่อเมตตากล่าวเสริมอีกว่า.....


“คนที่กล้าจริง ทำจริง เพียรปฏิบัติอยู่เสมอ จะพบความสำเร็จในที่สุด ถ้าทำจริงแล้วต้องได้แน่ๆ”

หลวงพ่อยืนยันอย่างหนักแน่นและให้กำลังใจแก่ลูกศิษย์ของท่านเสมอ เพื่อให้ตั้งใจทำจริง แล้วผลที่เกิดจากความตั้งใจจริงจะเกิดขึ้นให้ตัวผู้ปฏิบัติได้ชื่นชมยินดีในที่สุด


pngegg.5.3.1.png



ตอนที่ ๕๓

สนทนาธรรม



เมื่อครั้งที่ผู้เขียนกับหมู่เพื่อนใกล้สำเร็จการศึกษา ได้มากราบนมัสการหลวงพ่อ ท่านได้สนทนากับพวกเราอยู่นาน สาระสำคัญที่เกี่ยวกับการปฏิบัติ คือ

เมื่อพบแสงสว่างในขณะภาวนาให้ไล่ดู ถามท่านไล่แสงหรือไล่จิต ท่านตอบว่า ให้ไล่จิตโดยเอาแสงเป็นประธาน (เข้าใจว่าอาศัยปีติ คือความสว่างมาสอนจิตตนเอง) เช่น ไล่ว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีจริงหรือไม่ มีจริงก็เป็นพยานแก่ตน

ถามท่านว่า ไล่ดูเห็นแต่สิ่งปกปิด คือกิเลสในใจ
ท่านว่า...


“ถ้าแกเกลียดกิเลสเหมือนเป็นหมาเน่า หรือของบูดเน่าก็ดี ให้เกลียดให้ได้อย่างนั้น”


pngegg.5.3.2.png


ตอนที่ ๕๔

ผู้บอกทาง



ครั้งหนึ่ง มีผู้มาหาซื้อยาลมภายในวัด ไม่ทราบว่าจำหน่ายที่กุฏิไหน หลวงพ่อท่านได้บอกทางให้ เมื่อผู้นั้นผ่านไปแล้ว หลวงพ่อท่านได้ปรารภธรรมให้ลูกศิษย์ที่นั่งฟังว่า

“ข้านั่งอยู่ ก็เหมือนคนคอยบอกทาง เขามาหาข้าแล้วก็ไป...”

ผู้เขียนได้ฟังแล้วระลึกพระพุทธเจ้าผู้เป็น “กัลยาณมิตร” คอยชี้แนะให้ทางเดิน ดังพุทธภาษิตว่า

“จงรีบพากเพียรพยายามดำเนินตามทางที่บอกเสียแต่เดี๋ยวนี้ ตถาคตทั้งหลายเป็นเพียงผู้ชี้ทางให้เท่านั้น”

หลวงพ่อเป็นผู้บอก แต่พวกเราต้องเป็นคนทำและทำเดี๋ยวนี้


Rank: 8Rank: 8

pimnuttapa โพสต์เมื่อ 2009-1-28 21:46 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

ตอนที่ ๕๕

บทเรียนบทแรก



หากย้อนระลึกถึงหลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ ในความทรงจำของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าได้มากราบนมัสการหลวงพ่อเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๖ ด้วยการชักชวนของเพื่อนกัลยาณมิตร...พี่วิทย์ หรือคุณวรวิทย์ ด่ายชัยวิจิตร


จากนั้นไม่นาน บทเรียนบทแรกที่หลวงพ่อดู่ได้เมตตาสอนลูกศิษย์ขี้สงสัยก็ได้เริ่มขึ้น เหมือนเป็นปฐมบทแห่งการเริ่มต้น ที่ท่าน...ได้รับข้าพเจ้าไว้เป็นลูกศิษย์

มีเหตุการณ์ที่ประทับใจข้าพเจ้าช่วงแรกจากการได้มากราบหลวงพ่อ อันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งศรัทธา ซึ่งต่อมาภายหลังได้กลายเป็น...อจลศรัทธา ศรัทธาที่แน่วแน่มั่นคงต่อองค์หลวงพ่อของข้าพเจ้า คือ

ข้าพเจ้าได้บูชาพระพุทธรูปแก้วใส ปางสมาธิ จากตลาดพระที่วัดราชนัดดา กรุงเทพฯ มาหนึ่งองค์ และได้นำมาที่วัดสะแก ให้หลวงพ่อช่วยแผ่เมตตาอธิษฐานจิต เพื่อนำไปสักการบูชาเป็นพระพุทธรูปประจำบ้าน

หลวงพ่อดู่ท่านประนมมือไหว้พระและยกพระพุทธรูปขึ้นมา จับองค์พระของข้าพเจ้าแล้วหลับตานิ่งสักครู่หนึ่ง จึงลืมตาขึ้น ท่านบอกให้ข้าพเจ้านำสองมือมาจับที่ฐานของพระพุทธรูปซึ่งปิดทองคำเปลวโดยรอบ ท่านให้ข้าพเจ้าเห็นพระพุทธรูปอยู่เบื้องหน้า แต่ข้าพเจ้านิ่งไม่ตอบอะไร เหตุการณ์เช่นนี้จึงไม่ทราบว่า “เห็น” ในความหมายของหลวงพ่อนั้น หมายถึง “เห็นอย่างไร” และชัดเจนขนาดไหนที่เรียกว่า “เห็น” ของท่าน

สักครู่ท่านจึงย้ำกับข้าพเจ้าว่า “แกเห็นพระพุทธรูปแล้วนี่ ดูเสียที่นี่ จะได้หายสงสัยว่า ข้าให้อะไรแก กลับบ้านแกจะได้ไม่สงสัย เป็นพระยืน เดิน นั่ง หรือว่านอน”...“ยืนครับ” ข้าพเจ้าตอบท่าน

“เออ! ข้าโมทนาสาธุด้วย ที่ข้าให้ เป็นพระประจำวันเกิดของแก เอาไปบูชาให้ดี” ท่านตอบ

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ศิษย์ขี้สงสัยอย่างข้าพเจ้ามีหรือไม่อดที่สงสัยต่อ ยามว่างทั้งในเวลากลางวันหรือกลางคืน ข้าพเจ้าจะมานั่งมองดูพระพุทธรูป เอาสองมือประคองจับที่ฐานขององค์พระ...หลับตา...ทำสมาธิ...ด้วยความอยากดู...อยากรู้อยากเห็นองค์พระอย่างที่ท่านเคยทำให้ข้าพเจ้า...เห็น วันแล้ววันเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า ...อนิจจา...เวลาผ่านไป ๑ สัปดาห์...๑ เดือน....๒ เดือน....๓ เดือน ก็แล้ว ยังไม่มีวี่แววที่ข้าพเจ้าจะได้เห็นองค์พระที่ท่านทำให้ข้าพเจ้าดูที่วัดสะแกเช่นวันนั้นอีกเลย

จวบจนกระทั่งหลายเดือนต่อมา ข้าพเจ้าได้มีโอกาสมากราบนมัสการหลวงพ่ออีก จึงได้เรียนถามท่านว่า ทำไมเมื่อข้าพเจ้ากลับไปบ้านแล้วลองจับพระอีก จับจนทองคำเปลวที่ปิดฐานขององค์พระซีดเป็นรอยมือ ข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นองค์พระแม้สักครั้งเดียว

หลวงพ่อยิ้มก่อนตอบข้าพเจ้าด้วยความเมตตาว่า
“ทำจนหายอยากแหละแก ข้าทำมาก่อนแล้ว”


ข้าพเจ้ากลับมานั่งคิดทบทวนอยู่หลายครั้ง ความชัดเจนในคำตอบของหลวงพ่อ จึงค่อยๆ กระจ่างขึ้นเป็นลำดับ...ต้องเริ่มที่ความอยากเสียก่อน จึงคิดที่จะทำ แต่ถ้าทำด้วยความอยาก ก็จะไม่สำเร็จ เมื่อความอยากหมดไปเมื่อไรเมื่อนั้น จึงจะพบความจริง

กุญแจคำตอบสำหรับ..บทเรียนบทแรกของการเรียนธรรมะจากท่าน ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจได้ว่า ท่านได้ใช้กุศโลบายให้ข้าพเจ้าจดจำรูปพรรณสัณฐานขององค์พระพุทธรูปให้ได้ หลังจากที่ได้ใช้เวลาบวกกับ...ความอยากอยู่เป็นเวลาหลายเดือน


ข้าพเจ้าจึงเริ่มได้พุทธานุสสติ ธัมมานุสติ และสังฆานุสติ จากการเพ่งมององค์พระ จนเกิดเป็นภาพติดตา..ติดใจ...ในที่สุด เป็นการสอนการภาวนาในภาคสมถธรรม พร้อมกับแนะวิธีวางอารมณ์พระกรรมฐานของหลวงพ่อสำหรับข้าพเจ้าอย่างเยี่ยมยอดทีเดียว


Rank: 8Rank: 8

pimnuttapa โพสต์เมื่อ 2009-1-28 21:48 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

ตอนที่ ๕๖

หนึ่งในสี่ (อีกครั้ง)



หลายปีก่อนหลวงพ่อได้ปรารภธรรมกับข้าพเจ้าในเรื่องของเป้าหมายชีวิตที่แต่ละคนเกิดมา อย่างน้อยก็ควรให้เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน ท่านได้ปรารภไว้ว่า

“ข้านั่งดูดยา มองดูซองยาแล้วตั้งปัญหาถามตัวเองว่า เรานี่ปฏิบัติได้หนึ่งในสี่ของพระพุทธศาสนาแล้วหรือยัง ? ถ้าซองยานี้แบ่งออกเป็นสี่ส่วน เรานี่ยังไม่ได้หนึ่งในสี่ มันจวนเจียนจะได้แล้วก็คลาย เหมือนเรามัดเชือกจนเกือบจะแน่นได้ที่แล้วเราปล่อย มันก็คลายออก เรานี่ยังไม่เชื่อจริง ถ้าเชื่อจริงก็ต้องได้หนึ่งในสี่แล้ว”

“ข้านั่งมองดูกระจกหน้าต่างที่หอสวดมนต์ กระจกมันมีสี่มุม เปรียบการปฏิบัติของเรานี่ ถ้ามันได้สักมุมหนึ่งก็เห็นจะดี”

หลวงพ่อได้เฉลยปริศนาธรรมเรื่องนี้ให้ข้าพเจ้าฟังว่า ที่ว่าหนึ่งในสี่นั้น หมายถึง การปฏิบัติธรรมเพื่อให้บรรลุมรรคผลในพระพุทธศาสนา ซึ่งแบ่งเป็น

โสดาปัตติมรรค  โสดาปัตติผล
สกิทาคามิมรรค  สกิทาคามิผล
อนาคามิมรรค    อนาคามิผล
อรหัตตมรรค      อรหัตตผล


อย่างน้อยเราเกิดมาชาติหนึ่งชาตินี้ ได้พบพุทธศาสนาเปรียบเหมือนสมบัติล้ำค่าแล้ว ก็ควรปฏิบัติตามคำสอน ท่านให้เข้าถึงความพ้นทุกข์อย่างน้อยที่สุดคือ โสดาปัตติผล เพราะคนที่เข้าถึงความเป็นโสดาบันแล้ว หากยังไม่บรรลุพระนิพพานในชาตินี้ ชาติต่อไปก็จะไม่เกิดในภพภูมิที่ต่ำกว่ามนุษย์ อันได้แก่ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานอีก

การที่หลวงพ่อเปรียบธรรมในเรื่องนี้กับซองบุหรี่บ้าง หรือแผ่นกระจกบ้าง เพราะต้องการให้เราหมั่นนึกคิดพิจารณาในเรื่องนี้บ่อยๆ


วัตถุรูปทรงสี่เหลี่ยม เป็นรูปทรงวัตถุที่เราสามารถพบได้บ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน มีอยู่รอบตัวเราตลอดเวลา ตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งวันตาย มีอยู่ทั่วไป ได้แก่ เตียงนอน นาฬิกาปลุก หนังสือ รูปภาพ รถยนต์ โต๊ะทำงาน โทรทัศน์ หน้าต่างประตู และอื่นๆ อีกมากมาย จนกระทั่งสิ่งสุดท้ายที่อยู่ใกล้ตัวเรา คือ โลงศพ

หากผู้ใดเห็นว่า ธรรมเรื่องหนึ่งในสี่ของหลวงพ่อเป็นธรรมสำคัญแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อเหลือเกินว่าการปฏิบัติธรรมของผู้นั้น จะก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับอย่างชัดเจน จนถึงที่สุดแห่งการพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง


Rank: 8Rank: 8

pimnuttapa โพสต์เมื่อ 2009-1-28 21:53 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

ตอนที่ ๕๗

วิธีคลายกลุ้ม



ความกลุ้มเป็นบ่อเกิดของความเครียด ความเครียดก็เป็นที่มาของความกลุ้มเช่นกัน

หลายคนคงเห็นด้วยกับข้าพเจ้าว่า เมืองไทยนี้ดีกว่าเมืองฝรั่ง เวลาที่มีเรื่องกลุ้มอกกลุ้มใจ ในต่างประเทศสิ่งที่นิยมกันมากคือ ไปหาหมอรักษาโรคจิต กลุ้มใจทีก็ไปเอากลุ้มออก โดยนั่งระบายความทุกข์ระบายปัญหาให้จิตแพทย์ฟัง เสร็จแล้วจ่ายเงินให้หมอเป็นค่านั่งฟัง เฮ้อ! คนเรานี่ก็แปลกดีนะ เอากลุ้มออกอย่างเดียวไม่พอ เอาเงินในกระเป๋าออกไปด้วย

เท่าที่สังเกตดู ฝรั่งไปหาจิตแพทย์กันเป็นเรื่องปกติ แต่ระยะหลังในเมืองไทยเรา คนไข้โรคจิตนับวันจะมีมากขึ้นทุกที คนไทยไม่นิยมไปหาจิตแพทย์เหมือนฝรั่ง แต่จะไปหาจิตแพทย์ก็ต่อเมื่อทนไม่ไหวจริงๆ คือใกล้จะบ้าแล้วนั่นเอง

คนไทยโชคดีกว่าฝรั่งตรงที่มีวัดแทนคลินิกจิตแพทย์ มีพระนี่ล่ะ ดีกว่าด้วย เพราะไม่ต้องเสียตังค์ แถมไปหาหลวงพ่อได้ทำบุญ ได้ฟังธรรมะจากท่าน กลางวันยังได้ทานอาหารบุฟเฟ่ต์หลังจากหลวงพ่อฉันเสร็จ บางครั้งสมัยที่ข้าพเจ้ายังเรียนหนังสืออยู่ หากเดินทางมาถึงวัดตอนเย็น ท่านยังมีขนมฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด ผลไม้ประเภทส้ม กล้วย บางทีโชคดีก็มีแอปเปิ้ลให้ได้ทานอิ่มท้องด้วย

มีเรื่องเล่าว่า มีโยมคนหนึ่งเกิดกลุ้มอกกลุ้มใจในชีวิตที่แสนสับสนวุ่นวายของตน โดยไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร จึงได้ไปกราบขอให้หลวงพ่อท่านพุทธทาสช่วยคลายทุกข์ให้

หลวงพ่อถามว่า
“มันกลุ้มมากหรือโยม”
“มากครับท่าน สมองแทบจะระเบิดเลย แน่นอยู่ในอกไปหมด”


“เอางี้ โยมออกไปยืนที่กลางแจ้ง สูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ สามครั้ง แล้วตะโกนให้ดังที่สุดว่า – กูกลุ้มจริงโว้ย กูกลุ้มจริงโว้ย กูกลุ้มจริงโว้ย”


โยมผู้นั้นออกไปทำตามที่หลวงพ่อแนะนำ แล้วกลับเข้ามาหาท่านด้วยใบหน้าที่ผ่อนคลาย
“เป็นไง” หลวงพ่อถาม
“รู้สึกสบายขึ้นแล้วครับ” เขาตอบ
“เออ เอากลุ้มออกแล้วนี่” ท่านกล่าวยิ้มๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก


ข้าพเจ้าเคยเห็นคนที่ไปหาหลวงพ่อดู่ หลายรายมีความกลุ้ม มีความเครียด เสร็จแล้วเมื่อมาถึงวัด นั่งอยู่ต่อหน้าท่าน หลายคนเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าไม่รู้ไอ้เจ้าตัวกลุ้ม ตัวเครียด มันพากันหายไปไหนหมด มีแต่สบายกายสบายใจ อยากอยู่ตรงหน้าตรงหลวงพ่อนานๆ บางคนขอเพียงได้นั่งเฉยๆ ก็มี

ทุกวันนี้หลวงพ่อจากพวกเราไปแล้ว แต่เป็นการจากเพียงรูปกาย ธรรมที่ท่านเคยสอนไว้มิสูญหายไปด้วยเลย หากเรามีความกลุ้มอกกลุ้มใจไว้เรื่องใด โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจยุคปัจจุบัน ปัญหาเรื่องสุขภาพ ปัญหาเรื่องครอบครัว ปัญหาเรื่องงาน ปัญหาอะไรก็แล้วแต่ ข้าพเจ้าขอแนะนำวิธีคลายเครียดที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง คือ ให้หามุมสงบในบ้านของท่านหรือจะเป็นห้องพระก็ยิ่งดี

ขอให้ท่านนั่งที่หน้าพระพุทธรูปหรือรูปหลวงพ่อดู่ จะลืมตาหลับตาก็ตามแต่อัธยาศัยครับ สูดลมหายใจลึกๆ พอสบายดีแล้ว ก็พูดระบายความในใจให้ท่านฟัง ความกลุ้มความเครียดจะลดลงได้ เหมือนคนที่ทานอาหารมากเกินไปจนมีแก๊สอยู่เต็มท้อง อึดอัดไปหมด หากได้ทานยาขับลมเสียบ้างก็คงจะดี สมองจะปลอดโปร่งแจ่มใส สบายกาย สบายใจ และสามารถมองเห็นหนทางแก้ไขปัญหาได้ดียิ่งขึ้น

ขอให้ลองทำดูว่าจะมีความรู้สึกดีขึ้นไหม สำหรับข้าพเจ้าก็ต้องขอตอบอย่างมั่นใจว่า “ดีขึ้นครับ”

ข้าพเจ้าเชื่อว่าหลวงพ่อท่านเมตตาคอยเป็นกำลังใจและให้ความช่วยเหลือเราเสมอ ขอให้เราตั้งใจแก้ปัญหาด้วยสุจริตวิธี

ไม่มีปัญหาใดในโลกที่มนุษย์ก่อขึ้นแล้ว มนุษย์ไม่สามารถแก้ไขได้
ข้าพเจ้าเชื่ออย่างนี้จริงๆ


สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-3-28 22:12 , Processed in 0.417934 second(s), 16 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.