แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 9696|ตอบ: 4
go

หลักสูตรปริบัติที่นักเรียนพลังจิต และนักเรียนอภิญญาทุกคนต้องศึกษา [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

หลักสูตรปริบัติที่นักเรียนพลังจิต และนักเรียนอภิญญาทุกคนต้องศึกษา
- b" }5 H& K  u, Q. c6 @9 k% L8 S4 S
เพื่อในการปฏิบัติกัมมัฏฐานเป็นไปอย่างก้าวหน้า นักเรียนอภิญญาทุกคนจะต้องศึกษาหลักสูตรปริยัติให้เข้าใจเสียก่อน นักปฏิบัติที่เน้นแต่ปฏิบัติกรรมฐานอย่างเดียว จะเจริญก้าวหน้าในสมาธิได้ช้ากว่า นักปฏิบัติที่ศึกษาปริยัติมาจนเข้าใจแล้ว ค่อยมาเน้นการปฏิบัติกรรมฐานทีหลัง เหตุที่เป็นแบบนี้เพราะ การศึกษาปริยัติเปรียบเสมือนเป็นการศึกษาแผนที่นำทาง $ ]+ x5 n" n3 ~  e' z9 |9 C2 Y

/ ?# z( O  l3 R9 `7 d3 F. r7 D$ O4 Bก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติ นักปฏิบัติควรทำความเข้าใจกับเส้นทางที่จะมุ่งไปเสียก่อน ควรรู้ล่วงหน้าว่าจะต้องพบเจอกับสิ่งใดข้างทางบ้าง สิ่งใดที่จะเป็นอุสรรคขัดขวางการเดินทาง และจะต้องผ่านด่านทดสอบจิตใจอะไรบ้าง
4 C# _" F$ q* `, l7 V% B. k0 s
* T( X% v  M5 f  ~แผนที่ปริยัติถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้นักปฏิบัติรู้เส้นทางที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางที่ตนมุ่งหวัง และรู้ถึงสิ่งที่ตนจะต้องประสบล่วงหน้า รู้ที่จะเตรียมใจที่จะต้องฝ่าฟันไปให้ได้ เพื่อให้ได้สำเร็จอภิญญา 5 และ 6 และบรรลุมรรคผลนิพพานในที่สุด (เป็นจุดหมายปลายทางสุดท้าย หรือเส้นชัยของนักเรียนอภิญญาทุกคน)
; f" f: \+ M7 z0 t2 G4 _6 Y% I6 g! J; h. T% S
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธคืออะไร?
' U9 M0 `! Z+ I- J
5 O5 q& [; Q" y/ J: \  w: ^4 e6 eศีล ๕ ประกอบด้วย- @, S" F3 ~" u% X
๑. ไม่ฆ่าสัตว์
; k4 O/ C$ a' i6 S% k๒. ไม่ลักทรัพย์+ ?5 S  |2 l" e% P  _, Q) s" h) x
๓. ไม่ประพฤติผิดในกาม (ผิดลูก เมีย สามี คู่ครอง ของผู้อื่น)
- N9 k% |# A% Q" F9 X3 P๔. ไม่พูดโกหก
: [( r* v+ U% ^+ C๕. ไม่ดื่มสุราของมึนเมา

' D8 @- ~6 u1 b, Z5 F' H! {) W
  t# x6 _; p$ R8 D* Z! S9 Aศีล ๘ ประกอบด้วย
3 ?% t! U! o4 P๑.   y) k6 d2 n# ~5 m* O
๒.! O: u* u: w6 t! r2 v$ Z  q
๓.1 ?/ ]" b2 f! t. A6 L1 A0 m' F  f
๔.
; o* r3 F) _8 J๕.
+ _' j- H7 U7 ^, Q5 ?/ W/ U๖.
6 c7 l" J& H- q# z) }- y" \๗.
$ n/ ^- `6 f6 q  c% y; v๘.

  i% j( O8 B: }8 N& f0 d
5 D% P, _  r) {( Q/ m) t; ~- นิวรณ์ ๕ (เครื่องกั้นขวางความดี)
+ g, U1 ]- |- S+ f! M2 sผู้ที่สามารถเอาชนะนิวรณ์ ๕ ได้ คือผู้ที่ได้ปฐมฌานเป็นอย่างต่ำ หากขณะนั่งสมาธิ ไม่ว่าผู้ฝึกจะมีภาพร่างกายแบบไหน ง่วงมากๆ เพลียมากๆ ฟุ้งซ่านมากๆ หลังจากเริ่มนั่งสมาธิแล้ว อาการง่วง อาการโกรธ อาการฟุ้งซ่านไม่ปรากฏ นั้นถึงจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าผู้ฝึกกรรมฐาน ฝึกได้ปฐมฌานเป็นอย่างต่ำแล้ว
; w# `) E; z, ]& y7 w
: v4 `; M! @. U" X* f6 y
กามฉันท์ คือ ความพึงพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง โผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์
) [( B$ p  p1 U8 e" ^$ Pพยาบาท คือ การผูกใจเจ็บ หรือผูกอาฆาตผู้อื่น
- m* e5 ^! G" k4 a9 j' cถีนมิทธะ คือ ความง่วงเหงาหาวนอน' \0 F1 `  b% b& k  B
อุทธัจจะ กุกกุจจะ คือ ความฟุ้งซ่าน ความรำคาญ. M3 p& j$ Q9 a( Z! O
วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัยในผลการปฏิบัติ
! j2 }9 m. i* U, C

4 i2 Y- O! ^! D+ ~! tอุปกิเลส (เครื่องที่ทำให้จิตเศร้าหมอง ๑๖ ประการ)
+ Z: R2 Y3 i3 G& O" X6 W# S1 Q+ g4 C6 fผู้ที่สนใจการปฏิบัติทางจิต หรืออบรมสมาธิ ตามแนวของพระพุทธศาสนา ควรต้องเรียนรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์ที่จะนำมาซึ่งกิเลส หรือสิ่งที่ทำให้จิตใจตกต่ำ และเป็นเหตุทำให้' {! ?) Q. y! M# Q% d+ u
พลังจิตถดถอย หรือขุ่นมัว ฉะนั้นผู้ที่ปฏิบัติทุกท่านควรละทิ้ง หรือห่างไกลจากสิ่งเหล่านี้ แล้วท่านทั้งหลายจะพบกับความสุข ความเจริญก้าวหน้า

3 ^5 E1 o5 }( q: V2 R2 u* N* I; v5 y๑. อภิฌาวิสมโลภะ คิดอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่นมาเป็นของตน% [( }, \# N: m8 Q- C+ r
๒. พยาบาท (โทสะ) มีใจเดือดร้อน ความอาฆาต ผูกใจเจ็บคิดร้ายแก่ผู้อื่น6 ~& M0 n; W6 B9 ^
๓. โกธะ ความโกรธ อาการกำเริบพลุ่งขึ้นมาในใจ จากความไม่ชอบนั้นๆ แต่ยังไม่ถึงกับบันดาลโทสะ5 `" A; C2 d2 p, h
๔. อุปนาหะ ความผูกใจโกรธ เพียงแต่ผูกใจไม่ยอมลืม แต่ไม่ถึงกับคิดทำร้ายเขา เพราะกำลังของกิเลสยังอ่อนกว่าความโกรธ' Z0 L1 f) c4 S& B
๕. มักขะ ความลบหลู่คุณท่าน คือ ใครมีบุณคุณกับเรา แล้วไม่คำนึงถึงคุณท่าน เป็นการลบล้างหรือปิดซ่อนคุณท่าน หรือความดีของท่าน
" i4 u' [+ |+ K$ m: G* T& }3 I: {๖. ปลาสะ ความดีเสมอตัวท่าน เอาตัวเองเป็นใหญ่ แล้วไม่ย่อมให้ใครดีกว่าตน ข่มเหงรังแก& L. |' B. F, K2 ?: O  a; I, p5 p/ G
๗. อิสสา ความริษยา เห็นใครดีกว่าก็ทนไม่ได้ เกิดความขุ่นมัวในจิต กลั่นแกล้งเขาทำให้เสื่อมเสีย! R; E7 ~2 _7 g0 C4 @* ?
๘. มิจฉริยะ ความตระหนี่เกินกว่าปกติ ตระหนี่ในทรัพย์ ตระหนี่ในความรู้
6 \8 p, p( g& _1 y; c% c; C# {" m1 V๙. มายา มารยาเจ้าเล่ห์ แสดงออกได้ทุกรูปแบบ หาความจริงไม่ได้ หรือแสดงออกให้คนอื่นหลงใหล9 ?& W4 [( ]9 w- m' S' b4 }
๑๐. สาเถยยะ ความโอ้อวด หลอกหลวงเขา พูดจาเกินความจริง8 W4 |9 y1 P; V" i  @7 @1 Q
๑๑. ถัมภะ ความเป็นคนหัวดื้อ รั้น กระด้าง หัวแข็ง ไม่ยอมคนทั้งผิดและถูก  C1 q6 ]( U( _1 x/ q/ ~
๑๒. สารัมภะ ความแข่งดี ไม่ยอมลดละ มุ่งแต่จะเอาชนะฝ่ายเดียว ไม่ยอมแพ้
; r2 G/ z# V: u5 G# L" p! f๑๓. มานะ ความถือตัวทะนงตน5 V. y2 X# O/ a6 F2 {* Y8 F
๑๔. อติมานะ ความถือตัวว่าดียิ่งกว่าเขา ดูหมิ่น ยกตนข่มท่าน3 J- y6 X/ T8 j
๑๕. มทะ ความมัวเมาในกิเลส เช่นบ้ายศ บ้าอำนาจ บ้าเงิน บ้าสมบัติ หลงยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น4 e' @9 z; ~/ K( X$ I: ]
๑๖. ปมาทะ ความประมาทเลินเลิ่น ปล่อยสติให้คล้อยไปตามอำนาจของกิเลส จนได้รับทั้งความเสียหายต่อตนเอง และผู้อื่น นักปฏิบัติทุกท่าน 7 t% b5 C1 o5 y+ H$ H. U. \0 @0 N
เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว ควรหลักเลี่ยงให้ห่างไกล หรือสละสลัดสิ่งเหล่านี้ออกไปจากกายและใจ เมื่อท่านทั้งหลายสละละทิ้งได้จริง เมื่อนั้นความสุขจะเกิดขึ้นตามความเป็นจริง4 e, _0 \8 X/ o$ V* g2 |
และเป็นความสุขที่แท้จริง
& C9 ~  I8 g8 ~* @4 s) o7 B4 |
2 b/ H  ]  O) L
อริยสัจ ๔ ได้แก่4 |/ b; m; |' ?; I( _; O. L
๑. ทุกข์ คือ การทนได้ยาก$ o# @3 R$ [; y. v. w2 e0 k& S
๒. สมุทัย คือ เหตุหรือปัจจัยที่ทำให้เกิดทุกข์
  p7 J# e) V' v4 G3 z( z- C๓. นิโรธ คือ การปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงความดับทุกข์ โดยการจะดับทุกข์ได้นั้นต้องอาศัย...( B6 {$ |3 h; E/ T0 `" K6 f' D
๔. มรรคปฏิปทา มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น และมีสัมมาสมาธิเป็น ปริโยสาน

/ \& b7 u. Y+ ~4 Y( G7 D3 \
( }" @+ r! V2 e8 g: k' nกฏไตรลักษณ์ ๓ ข้อ คือ) k- X2 }5 j- |7 g# B* {
๑. อนิจัง ร่างกายและทุกอย่างในโลกไม่เที่ยง
% f2 H7 r& ]9 T* [- J  b๒. ทุกขัง ถ้าไปยึดมั่นก็เป็นทุกข์
8 ^; ^- l9 w0 |4 E๓. อนัตตา ในที่สุดก็พัง
$ A0 L2 j" U, z6 t# f
6 B7 z  Z6 J* W) T$ o/ U

, H  e. z2 i3 kสังโยชน์ ๑๐ 2 D1 D2 F  B* Z; ?3 \  l
๑.3 d3 }5 f  r) M  m$ W! V% k
๒., F! f3 @$ f8 z$ p3 [' h& v* K% d; v
๓.
8 u! c; G2 S# }/ L. m4 d/ t๔.
7 }9 G& M; O8 F" f- ]3 v๕. & f) x5 d, V/ C( I, k- e
๖.3 v2 B* J# z5 H7 Y3 H9 V
๗.
+ d- p+ ~* [, h๘.
; b) U& w/ K. C๙.
) E: m9 j- I0 J* L๑๐. " s7 k; p7 E# }6 f# _/ |4 Q
+ T9 n# b+ t. v( w! R- v) Z
บารมี ๑๐

4 x# v. ^9 k1 i/ X๑.
' f+ G* {" G0 n3 [๒.
) D8 P5 x( |! w8 G7 X๓.
: n- m; p+ N& o- [: _๔., I* O2 u+ I$ g$ p, [
๕.* Z( Y# _' S$ O4 U: l2 I
๖.3 }8 y1 A9 K- q3 O# Q
๗.
* ]. V; x$ F8 A: B, a% W3 N# \  V1 j๘.8 Y( B, ~. A1 c2 B1 w2 Q) M7 s+ |0 R
๙.7 j; |8 S1 {$ G: Y' }3 m
๑๐. 7 g& H* ^0 \$ f5 D7 ?0 N, o) d  z
! ?" _# l. j0 m# g
สังขาร ๓ ได้แก่
' k9 A0 \" u, I$ ?  N  y4 H
( q( b8 c  w$ p9 m2 \
: x7 ^0 S& i* o1 L
* T, s1 q2 B$ j% q

0 J+ S0 G) U5 S4 c0 @กรรมฐาน ๔๐ กอง แบ่งเป็น ๗ กลุ่มประกอบด้วย/ s+ h( o& y9 r  I2 y, e
- หมวดกสิน ๑๐ (๑-๑๐)

6 B) @1 ]  a5 p" _+ S# G7 {- หมวดอสุภกรรมฐาน (๑๑ - ๒๐)7 q' T* @  I4 r  q7 O. M- h
- หมวดอนุสสติกัมมัฏฐาน ๑๐ (๒๑ - ๓๑)

8 J& `( ~7 @2 c2 E6 g& {3 B. G- หมวดจตุธาตุววัฏฐาน (๓๒)
5 p9 z* E  c' o- v1 E- พรหมวิหาร ๔ (๓๓ - ๓๖)
& e& h. o" M8 u' B9 t- หมวดอรูปฌาน ๔ (๓๗ - ๔๐)- Q) f  ]8 K0 C3 p
( {' {) a# H1 ^- _; G* D
กามคุณทั้ง ๕ ได้แก่
3 [; [$ s5 r  c( R, \
๑. , t! }$ P9 s; d# H8 M# y
๒.
1 k8 z9 X* j( A+ S3 q- F" X๓./ ?8 K3 f2 {* L2 L( g
๔.
( e( l$ o- |" l๕.
! a# A% N4 J% s2 g/ }' |. q) Z9 d" R% V
กรรมฐาน ๔๐ กอง แบ่งเป็น ๔ หมวดได้แก่
- X2 T0 y/ R0 s) Y1 V1 t( f/ s๑. สุกขวิปัสสโก
0 G. N( L4 R' n! }) q8 x๒. เตวิชโช. _& K- v& z" E7 s3 T4 F
๓. อภิญญาหก' r* \' }& y7 e: n6 x+ \
๔. ปฏิสัมภิทาญาณ

5 j# b+ e, A8 i2 p+ h" h
# k1 q) e6 k% Z% m! K) zภวังค์ ๓ หรือสมาธิขั้นต้น ได้แก่9 v6 A3 H- B" y- W  X
๑., ^9 h+ a7 O& t+ [/ L- P
๒.. C; }  f+ G1 ^( v% g( C, b0 q
๓.
) w9 N3 e' P* M* u- \! G$ x6 |: K, L# O, E
รูปฌาน  ๔ ได้แก่+ e7 h. Q: d; [. l6 p8 R
๑.
! `; y: H9 m; o8 G. E๒.- \& K" B6 `* ?) z9 W: f
๓.
$ D% L. w' i5 X# w๔.
- M8 {% D& {+ ]  |: ^3 _. @2 p+ C5 Z4 M/ l! V5 {# _- a9 s% D- D
อรูปฌาน ๔ ได้แก่  n# M) {. B+ h& r5 J3 `7 Z
๑. ; p2 I; @" D: O# C
๒.+ l6 K  m/ h6 l( x8 g
๓.4 d& S" ~! V2 L2 _7 t2 _
๔.$ C. \0 \/ k4 Y: H

8 c" v( T2 X' x  Aพิจารณาธาตุ ๔ ในร่างกายมนุษย์ อันได้แก่
: }; O6 \/ |* P8 J๑. ธาตุไฟ ๔
+ n0 z$ R7 A- F( e! G1 X๒. ธาตุลม ๖7 K& x0 c' `- k! P$ g" U# u1 _7 _7 b8 o0 N
๓. ธาตุน้ำ ๑๒
4 [! a4 e3 g. c2 O; w6 v! p๔. ธาตุดิน ๒๐ . L! w1 s% U3 t9 i
' H4 A  k1 y2 Q
ขันธ์ ๕ ได้แก่& X( F9 X2 {5 {9 Q

/ y" j# s, j' a/ C9 k/ K

Rank: 8Rank: 8

2#
NOOKFUFU2 โพสต์เมื่อ 2013-5-17 01:01 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
" k6 R2 W4 L3 f3 c/ T) e
วิปัสสนาญาณ ๙
) ~' D- d0 d/ M- b" R0 a" V๑.
6 J$ _* B/ H, {4 z  |๒.
$ Z" |3 r1 Z* O5 Q% R๓.& s* Q0 o" J) U0 q
๔.
9 s! e3 R  f8 F/ B1 W/ f7 N๕.
! |2 w% C; a( ~0 p( `# w% q. ]8 n๖.
' f1 R/ T: T1 x- B  v๗.
  _% Q7 g7 n5 T( l' S9 T& {! ^: C๘.
, O+ W/ C) ?5 @2 N" o: Y/ O7 g- U3 x๙.
# O$ M% E1 ]* N

1 j: i6 E; v% I, k7 mญาณ ๘4 A% ~$ n  k) v$ w
๑.
4 H3 N- k' _- V๒.
6 M# X% X) K# r* k$ `$ K๓.
7 q' q1 A4 }! J& l# o# [0 A( j๔.+ t( K, f& s; K$ L4 }0 C
๕.
* c+ S! c; O# F& s" r๖.
; p2 ^8 H) {4 S1 `$ T# k๗.
( z4 Q4 f4 `- H" ]7 k/ e$ M๘.

' k7 P' ~8 P# H* D0 a# Y7 O; V: M & W9 ?& S8 W5 ^" G1 h+ e" i
ปีติ ๕ ได้แก่: G# ^" o3 m; l+ u. D
๑.
7 ]1 D, D6 s: x+ D! u๒.   c) e* n( k. j7 B
๓.' }/ t6 I# j, b
๔. 3 \6 W) t  S! C- m) P, G
๕.
6 n. }5 L2 {* Z& G$ E. ]  T) I
- w* a7 T: V$ ?; e3 Q$ y
มรรค ๘ ได้แก่+ t% Z5 R/ k5 z7 M. @2 ~
๑.
& N2 E. ]3 ]" W) T5 J* [๒. ( Y3 @- f4 `% ]3 v2 W" v* Q
๓.& I( H" i* l% q  l" C3 m) h
๔.
  j! J0 `8 |1 ^' h, \๕.
% V% e7 L* s% c๖.
; _4 d  n! N9 a! e7 T๗.  o/ R6 S( x. A
๘.

, P! X7 c5 P+ p3 n0 w + k, g! v$ \9 h# R) O. F
อิทธบาท ๔
! n8 Y5 r; }- J9 F๑. ฉันทะ มีความพอใจ7 P7 U# V8 X, k+ a9 X
๒. วิริยะ มีความพากเพียรในการทำลายอุปสรรคไม่ถ้อถอย6 n. H$ A, b; H* f. K% m- a; U3 D
๓. จิตตะ จดจ่อสนใจในสิ่งนั้น ไม่วางมือ5 N3 m' \" n3 q! f
๔. วิมังสา ใช้ปัญญาพิจารณาให้เข้าใจ

: b" Y' c! F# ~; E# J
) a' {- O6 y- u8 rจรณะ ๑๕ ได้แก่' {  l- J& s) Q1 q5 d' x/ R1 Y; V
๑.
; }- G+ r9 [" r: m  n๒.
8 M6 \, l  p- L. q# L๓.
$ K  N) G0 J! o% S8 e๔.& E2 d' O3 j6 U* ~
๕.
9 J7 ]- J6 [+ o; z& D' k๖.
  @4 L7 Z% R& F* F. `/ C. i๗.
- d8 B* b4 Z1 ~* v" K& |๘.
# ?0 C* M9 J& q4 G& h% Q๙.
" Y- i  g3 P5 m$ D๑๐.
- d4 s; ^& `/ B# z2 `' ?* R5 |๑๑.# r, w& Y% [2 Z; `3 h4 ]
๑๒.; Q# A3 y; R  q# V) P: N5 d
๑๓.1 \) H, e; A* x; C
๑๔.
% m+ s4 i6 _+ {๑๕.

& H" Z/ Y, B! ]8 U' i ) O* _5 x2 K0 Y" w5 H# |& y5 J7 o
โพชฌงค์ ๗ ได้แก่
" Q' m# z0 W- K' a๑. , a6 G* q! M( y: K
๒. ! F7 A; j5 D9 n$ G, m' m- p$ D
๓. 8 X3 u' I% ]: i3 W! E8 M( l
๔.
$ O  y" H9 D0 Z2 ]# ]& T๕.
7 ?% N" l3 u" o1 U! M๖.
. K, H: ?$ [" r2 m; _1 ^* g๗.
, b$ q1 a7 Q& y) {๘.6 ~' g" h5 k2 u8 c4 M' d
๙.+ a; A( g% R3 B: l6 t; b
๑๐.
) r3 s5 h7 E- |
9 y2 [5 [  Z6 h8 y3 C/ ?+ u" U
จริต ๖8 a& t% Q5 O6 C3 n7 r' a5 V
๑.9 ^/ h' E5 u- L
๒.
$ d6 w2 e& @# A- y7 e๓.' f1 C% H4 i% }( Y$ Q! `
๔.8 `" D2 o/ Y2 v; l8 p) A
๕.4 S# c6 {6 L5 x: H) v, r
๖.
& Z; j! W: e. t$ Y9 ?๗.

8 t  ^3 y# j/ a" l6 |2 O: W( U6 _0 }) x3 z, y3 |
ปลิโพธ ๑๐ (ความเป็นห่วง ความข้องในอารมณ์)
8 b' I: Q" J$ F, r& ]5 k2 f๑. 8 C, `  X5 p( Q
๒.
/ W' _( _2 b. v0 \๓.
6 X8 J7 q2 u5 [7 Q( j๔.
- q6 ~0 {( D1 G" B. Y0 l3 C๕.
/ _. b+ }+ X% @6 s7 A% W9 G๖.
1 |9 c8 r" k( b2 k๗.+ N4 @3 U# |( h8 e. I  ^0 U. t; A
๘.
' K* u% ^4 C; ^# V! J  E; K๙.
9 M) |1 i( T0 j๑๐.  {: r' v4 _7 I7 }: M" n

) n4 i$ d: T3 m% D

Rank: 8Rank: 8

3#
NOOKFUFU2 โพสต์เมื่อ 2013-5-17 01:02 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

" \, W( d9 Z- h8 yพละ ๕9 q/ k8 g" s3 F8 f6 }
๑. 2 r( Y7 h) _6 v6 w" r
๒. 9 H- g1 w& x7 l9 q) J3 R$ H& ^
๓.
# L  i  o/ x1 W: }. Y2 l4 I3 w6 g๔.
& U" e5 A: k) _" R+ M๕.
9 E% G* v8 n8 r  g7 |

( `6 {  |$ g: J5 @1 c0 V " R; s9 e4 a1 N
ทีปนีกรรม ๑๒* S3 F: V$ _( [
๑.
$ t6 z2 U, e( C4 }- y1 N! V๒.
8 {+ ~+ k9 q: m4 `! H, O๓.; f0 M: L& [! v6 t3 G
๔.! P# R* d5 T% C) M
๕.
9 E0 S; `2 |$ [" U) j( Q% g๖.2 }, g2 J2 D5 w/ V3 F
๗.) f( ?7 W: J, L
๘.8 J- V/ ~3 B; q; I
๙.
& M9 C$ X2 T! G๑๐.
- o. w& D1 Y- v. n7 y, L๑๑.
8 S# ~* D; a. d" M1 k, h๑๒.
% `" p* g8 k. o9 X& y% _

  F7 d% k: V! y! b 7 R. T4 h( L, ~5 f8 [$ {% x
มละ ๙ (มลทิน ๙ อย่าง)
7 y# k4 o- |' m; Q0 p" P" M, P2 ` ( ~7 X  n8 l' m0 N8 ]! K& `
# N: u4 O# F8 i& v' A( N
* u- `- n& S6 D* ?. \
อายตนะ ๑๒ คือเครื่องรู้ และสิ่งที่รู้ มีดังนี้
. V: N3 N( c/ t; e๑. จักขายตนะ ประสาทตา, r( Y; Y! G$ G! O3 p
๒. รูปายตนะ แสงสีที่มากระทบตา
& z, F  o) `  f, s๓. โสตายตนะ ประสาทหู
6 Q# c. d) B, w/ L4 r& [1 I๔. สัททายตนะ เสียงต่างๆ) P" @+ Q; z/ O% U
๕. ฆานายตนะ ประสาทรับกลิ่น0 L" m' s/ `: }+ J/ Q7 t
๖. คันธายตนะ กลิ่นต่างๆ2 d( J" \3 z" N5 H
๗. ชิวหายตนะ ประสาทรับรส; T6 r! M# y1 b! X
๘. รสายตนะ รสต่างๆ6 v& }3 k  X# ]% ?  F* o; I4 W
๙. กายายตนะ ประสาทตามผิวกาย
0 M$ A9 Q& i$ n5 u๑๐. โผฏฐัพพายตนะ ความเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ที่กระทบกาย4 f. ?; I; g" o" v+ _: P' a
๑๑. มนายตนะ จิตซึ่งเป็นผู้สัมผัสกับความคิด
+ b! {8 c% J! z๑๒. ธัมมายตนะ ความคิด ความรู้สึกต่างๆ

  |* C4 z% t9 H" f6 I! }
  D2 K6 X- c& y% [8 Xอายตนะทั้ง ๑๒ นี้ แบ่งออกเป็น ๒ จำพวกคือ อายตนะภายนอก และอายตนะภายใน
3 ], s! l: H: p) q+ k; h- a% ^
8 L& c5 f# }# Y. w$ |อายตนะภายนอก คือ เครื่องรับรู้ ได้แก่ ตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ (ตามข้อ ๓ ๕ ๗ ๙ และ ๑๑ ข้างต้น)
( o$ [" ]3 t6 L" ^0 H# e
  ]5 ^$ U* z, [' ^, J* Hอายตนะภายใน คือ สิ่งที่รู้ เช่น รูป รส เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ คือ อารมณ์ที่มาถูกต้องกาย ธรรมารมณ์ คืออารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ (ตามข้อ ๒ ๔ ๖ ๘ ๑๐ และ ๑๒ ข้างต้น)
9 m8 s+ o9 K, R# b9 k; p
1 H- A  T  [" J9 }& F% R4 r3 N# L% N$ ~. v, D: A4 {- _
ความปรารถนาของบุคคลในโลกที่ได้สมหวังด้วยยาก ๔ อย่าง
) N) P& W) D0 C  m5 F$ H6 j๑. ขอสมบัติจงเกิดแก่เราโดยทางชอบ; M0 u& @/ h' r6 d
๒. ขอยศจงเกิดแก่เรากับญาติพวกพร้อง9 ^4 J: i! h; `2 i& n5 U1 i& l$ T5 {
๓. ขอเราจงรักษาอายุให้ยืนนาน
5 f2 I: @; H# b+ }" o4 ]๔. เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว ขอเราจงไปบังเกิดในสวรรค์

2 ?; W+ ]7 d( s7 C8 U! iธรรมเป็นเหตุให้สมหมายมีอยู่ ๔ อย่าง) F3 R7 E" s# \- B

, Q5 H1 {' U; y8 Q) e๑. สัทธาสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา% D+ ~! }1 T' `  q# L, E+ i
๒. สีลสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยศีล. c/ c  e+ n% T' W; ^! o: l* C
๓. จาคสัมปทา ถึงพร้อมด้วยบริจาคทาน0 a* J, H# Q8 S) @
๔. ปัญญาสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยปัญญา (เข้าใจเหตุและผล)
" k9 h6 y) A7 F, M
* T1 d+ K6 s2 H6 Q& L2 U' ]2 n
ตระกูลอันมั่นคงจะตั้งอยูานานไม่ได้เพราะสถาน ๔ ได้แก่4 `5 N. X) H  z4 L5 M
๑. ไม่แสวงหาพัสดุที่หายแล้ว
* s/ j5 t- Y* b  [) i# y๒. ไม่บูรณะพัสดุที่คร่ำคร่า
, H# E# c9 L/ a& K' O: B1 `9 W๓. ไม่รู้จักประมาณในการบริโภคสมบัติ
; o) `$ W$ L* h# J; z* p2 u๔. ตั้งสตรีทุศีลหรือบุรุษทุศีล ให้เป็นแม่เรือน พ่อเรือน

* M7 z+ c( Q; C4 c 5 c" q4 }4 o' B/ t3 `/ X0 D9 b
ธรรมของฆราวาส ๔ ได้แก่
& O- i7 i* J  t9 n8 B; X& X0 N; T# h๑. สัจจะ ซื่อสัตย์แก่กัน
, @* Z& p% {1 |+ K/ v๒. ทมะ รู้จักข่มจิตของตน4 I( E1 ]: i# q, \3 C
๓. ขันติ มีความอดทน อดกลั้น
2 `6 C8 |( y3 T! Z* I๔. จาคะ สละให้ ปันสิ่งของๆตนให้แก่ผู้อื่นที่ควรให้ปัน
0 o8 g7 W+ }) \5 Y

$ ~, K, e) Z6 x# o6 N8 P8 i1 @สังคหวัตถุ ๔ อย่างได้แก่ (คุณทั้ง ๔ อย่างนี้ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวผู้อื่นไว้ได้)* T% x3 M% ?, Q. f
๑. ทาน ให้ปันสิ่งของๆตนแก่ผู้อื่นที่ควรให้ปัน9 w" b' G% P( V# y! H  O  [4 A* e: G
๒. ปิยวาจา เจรจาด้วยวาจาที่อ่อนหวาน- z  ?5 q. L8 _
๓. อัตถจริยา ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
* T5 R: r' X6 ]2 ~" ~๔. สมานัตตตา ความเป็นคนมีตนเสมอไม่ถือตัว
: E) ^7 A" b9 P2 x

* E1 E6 c$ _$ ^9 kสุขของคฤหัสถ์ ๔ อย่าง ได้แก่3 Z# u( I# m: j. P3 ]% Z% ?4 ^
๑. สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์
9 v& M" R: b2 N/ K- r6 A* z๒. สุขเกิดแต่การจ่ายทรัพย์บริโภค
2 n& @. X# c7 U" q; a; [9 c๓. สุขเกิดแต่ความไม่ต้องเป็นหนี้
" C2 j' R3 t: h$ s; A2 i๔. สุขเกิดแต่ประกอบการงานที่ปราศจากโทษ. A8 ^. |; i: w1 f+ P' E7 w

% g& l4 V5 z& R! P( Q

Rank: 8Rank: 8

4#
NOOKFUFU2 โพสต์เมื่อ 2013-5-17 01:05 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ
9 w* f( \1 ]* V9 S
9 T) t- b3 O/ s) h$ |บุญ กิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ คือ สิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ หรือกล่าวอย่างง่ายๆ ว่า การกระทำที่เกิดเป็นบุญ เป็นกุศล แก่ผู้กระทำต่อไปนี้
6 X' R" Q4 ^: P$ N4 X
๑. บุญสำเร็จได้ด้วยการบริจาคทาน (ทานมัย) คือการเสียสละนับแต่ทรัพย์ สิ่งของ เงินทอง ตลอดจนกำลังกาย สติปัญญา ความรู้ ความสามารถ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยส่วนรวม รวมถึงการละกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ ออกจากจิตใจ จนถึงการสละชีวิตอันเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดเพื่อการปฏิบัติธรรม
0 H7 l' a: P+ t5 r3 b , Y( [! g( o: D. h+ x
๒. บุญสำเร็จได้ด้วยการรักษาศีล (ศีลมัย) คือ การตั้งใจรักษาศีล และการปฏิบัติตนไม่ให้ละเมิดศีล ไม่ว่าจะเป็น ศีล ๕ หรือ ศีล ๘ ของอุบาสกอุบาสิกา ศีล ๑๐ ของสามเณร หรือศีล ๒๒๗ ข้อของพระภิกษุ เพื่อรักษากาย วาจา และใจ ให้บริสุทธิ์สะอาด พ้นจากกายทุจริต ๔ ประการ คือ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ละเว้นจากการลักทรัพย์ ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม และเสพสิ่งเสพติดมึนเมา อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท วจีทุจริต ๔ ประการ คือ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดปด  ไม่พูดเพ้อเจ้อ และไม่พูดคำหยาบ มโนทุจริต ๓ ประการได้แก่ ไม่หลงงมงาย ไม่พยาบาท ไม่หลงผิดจากทำนองคลองธรรม* S; D) h4 t; P- \4 F& a& p

1 U' }. ^) h% \2 R: M: a1 ?6 n- S๓.
! C0 l7 z1 L. t: u- G. x๔.
# \4 k6 p0 i+ {5 X/ y3 s) _+ b๕.
, M/ X2 K4 m5 N' z7 p๖.* V- m6 s' C; b' }0 J
๗.
/ t9 E5 I2 O% N$ ^& r5 ?๘.4 N" S1 p( U% o& \8 X, H/ Z
๙.
, v: z3 d8 y& J$ u2 @' `+ C- E๑๐.

$ X0 d3 a8 c6 _4 u, E2 N# `
  U/ I2 C! F' k8 G+ eและให้ศึกษาปฏิจจสมุปบาทมาให้เข้าใจ
# \& h, o7 Z  E1 eรูป นาม วิญญาณ
3 N7 X$ F& W. f' w0 m, e; [+ Sภพ - ชาติ3 f) h+ p+ r/ f2 K" m$ d
เสขะ อเสขะ
3 {& R2 m& `3 h
9 G3 P" _6 S2 r3 ^8 p1 k" F. s5 u
***ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะออกข้อสอบวัดผลความรู้ด้านปริยัติ นักเรียนอภิญญา มีทั้งอัตนัย(แบบมีตัวเลือก) และปรนัย(ข้อเขียน อธิบายมาให้มากที่สุด)
2 B# w! G9 u6 f1 Q# o

Rank: 8Rank: 8

5#
NOOKFUFU2 โพสต์เมื่อ 2013-8-5 20:21 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
ตอบกระทู้ มารน้อย ตั้งกระทู้; S$ Y4 z" @( ^* a7 ~

' B: r+ @5 t# R6 r0 I; }3 B
3 n9 H* k* U+ |: c" X- ~7 l) V1 O9 Y- C0 E! ^/ L
ตัวอย่างที่ยกมาของ "ท่านพระโปฐิละ" เป็นตัวอย่างของพระที่มุ่งศึกษาแต่ปริยัติอย่างเดียว จนเกิดทิฐิมานะเกาะกินใจ ว่าตนเป็นผู้มีคนศรัทธามาก และไม่สนใจเรื่องการปฏิบัติเพื่อมรรคผลอย่างแท้จริง ( C& T5 U7 B% Y' n8 d3 ]

& U- _3 O& S  q- K; b8 o3 D! |+ B& I3 I- i- \
แต่ในเรื่องของการฝึกฤทธิ์อภิญญาแล้ว มันค่อนข้างจะต่างกัน เพราะในกรณีของท่านอาจารย์วิเชียร ที่จำเป็นต้องให้มีการศึกษาธรรมให้เข้าใจก่อนนั้น มันมีที่มาที่ไป คือ.....4 G2 W7 x* n; Z9 n$ t+ f

7 v4 z  W* O) [' [" y
* V; N& ?* s6 [. Z8 |๑. เคยมีลูกศิษย์ฆราวาสท่านหนึ่ง มาขอเรียนอภิญญา ๕ กับท่านอาจารย์วิเชียร แต่ด้วยความที่เขาเน้นแต่ปฏิบัติเพื่อให้ได้เกิดฤทธิ์อย่างเดียว ไม่สนใจเรื่องการศึกษาหลักธรรมเลย
0 s$ d* h! p. e7 g+ z" i
4 M, V  m, }: j/ Q! ]ผลลัพธ์หลังจากที่เขามุ่งเน้นแต่จะเอาฤทธิ์ก่อน คิดว่าธรรมะไปศึกษาเอาตอนไหนก็ได้ เมื่อเขาสามารถฝึกพลังจิตจนสำเร็จแล้ว จึงเป็นเหตุให้ลูกศิษย์ท่านนี้ไปเป็นพนักงานอยู่ที่บ่อนการพนันฝั่งลาว มีหน้าที่ในการใช้พลังจิตเพื่อให้คนที่ไปแสวงความร่ำรวยเสียเงินหมดสิ้นเนื้อปะดาตัว เพ่งแกนสล็อตเพื่อให้เกิดความคลาดเคลื่อน ฯลฯ พร้อมกับทำผิดศีลธรรมทุกชนิด ก่อกรรมทำเข็ญมากมาย และสุดท้าย อภิญญา ๕ ที่ได้มาก็เสื่อมหมด
/ u1 p# h' n3 a2 u! s
; \; F9 j+ }! r; B3 ~ด้วยเหตุนี้คนที่จะมาขอฝึกอภิญญา ๕ กับท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์จึงต้องตั้งกฎใหม่ว่า ลูกศิษย์ของท่านทุกคนจะเป็นต้องเรียนรู้ธรรมะให้เข้าใจเสียก่อน ถ้าศีลแม้แต่ศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ ยังถือไม่ได้ก็ไม่ต้องมาขอเรียนอภิญญา 3 G8 z/ A" o% u: p

! @, Q  S# F; X& k3 A6 V7 F1 e( O3 ~* l% `3 W
๒. ส่วนธรรมข้ออื่นๆนั้นล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยช่วยส่งเสริมให้ลูกศิษย์ฝึกอภิญญาง่ายขึ้น เพราะสิ่งสำคัญของลูกศิษย์ที่จะฝึกอภิญญาสำเร็จ คือ ต้องมีความเพียร มีความอดทน อดกลั้น (อิทธิบาท ๔) ไม่ย่อท้อต่อการถูกทดสอบต่างๆนาๆจากเทพพรหม จิตใจต้องแน่วแน่ เข้มแข็ง ไม่ยอมแพ้ต่อพญามารและกิเลสตัณหาของตนเอง และต้องทรงให้ได้ซึ่งความ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาพร้อม (พรหมวิหาร ๔ + ศีล ๕ )
/ f: b2 ~+ L* l. C: K6 Q$ e/ R$ k7 u) g. P5 u
๓. ส่วนปริยัติข้ออื่นจะอธิบายในเรื่องอาการของสมาธิที่จะเกิดขึ้น ตั้งแต่เบื้องต้น จนถึงอรูปฌาน รวมไปถึงขั้นตอนของการวิปัสสนา เพื่อปูพื้นฐานให้ลูกศิษย์รู้ว่าหลังจากได้อภิญญา ๕ แล้ว วิปัสสนาตัวใดที่เหมาะกับจริตของตนเอง การรู้จักใช้วิปัสสนาที่ถูกกับจริตของตนมาร่วมด้วย เพื่อให้ลูกศิษย์สามารถยกระดับจิตของตนไปสู่ อภิญญา ๖ ต่อได้ในที่สุด (เช่น การพิจารณาอาหาเรปฏิกูล และมรณานุสสติ เพื่อให้มีพระนิพพานเป็นเป้าหมายสุดท้ายที่จะไป)

7 p& }# j' h. S: F
& M! l5 |9 A% K2 E1 c9 v9 T3 Jและอีกสาเหตุหนึ่ง ที่ลูกศิษย์จำที่ต้องศึกษาปริยัติไว้ล่วงหน้าก็เพราะเวลาที่ลูกศิษย์ไปสอบถามระดับกรรมฐานหรืออาการสมาธิของตนกับท่าน เมื่อท่านอาจารย์ตอบมาเป็นภาษาบาลี (เช่น ได้ถึงขั้นตติยฌาน หรือขั้นทุติยฌาน อรูปได้ถึงขั้น....)  ตัวลูกศิษย์เองจะได้มีความเข้าใจทันที ว่าตนเองพัฒนามาถึงขั้นไหนแล้ว1 Z# P! n# A6 [- R
2 Z! i% l; B$ H" k0 b
๔. ที่ท่านอาจารย์ให้ศึกษาปริยัติก่อนนั้น ท่านไม่ใช่บอกให้ศึกษาหมดทั้ง ๘๔๐๐๐ ธรรมขันธ์ แต่บอกเพียงให้ศึกษาเป็นบางข้อที่นักปฏิบัติที่ดีจำเป็นต้องรู้ไว้ เพื่อลูกศิษย์ของท่านจะได้เป็น คนดีของสังคม เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตน และเมื่อตายไปแล้วก็ได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี' c2 n5 f2 R9 b' ?8 |
8 j) o3 n& w# O7 O/ s) c8 Y% ]& k1 Y
๕. ท่านอาจารย์มักพูดเป็นนัยบ่อยครั้งว่า ปัจจุบันนี้ผู้ที่มาขอฝึกอภิญญา ส่วนมากที่ไม่สำเร็จกัน เพราะมักมาด้วยความโลภ อยากได้ฤทธิ์และอยากเป็นผู้วิเศษ อยากมีชื่อเสียงได้ศรัทธาจากคนหมู่มาก ซึ่งท่านอาจารย์เองก็รู้ว่าหากคนเหล่านี้ได้ฤทธิ์ไปแล้วจะนำไปใช้ในทางใด ท่านอาจารย์จึงจำเป็นต้องชำระล้างจิตใจลูกศิษย์ของท่านให้สะอาดมากพอเสียก่อน นั้นคือการให้ศึกษาธรรม และให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ไม่เช่นนั้น ถ้าปล่อยให้ฝึกได้ไป มันก็ไม่ต่างอะไรกับเอาอาวุธไปใส่มือโจร
, @; a& a" ]1 |* y9 m/ Y- m/ T- i: |
๖. พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีสอนปรยัติก่อนที่จะสอนกรรมฐานให้ทุกครั้ง ถ้าสังเกตุดีๆ ก่อนที่ลูกศิษย์จะเรียนมโมยิทธิ ท่านจะบอกให้รู้จักการถือศีล ๕ และ ศีล ๘ จากนั้นก็จะสอนให้รู้จักกับการตัดสังขารร่างกาย สอนให้พิจารณาความตายก่อนทุกครั้ง ไม่ให้ยึดติดสิ่งสมมุติใดๆทั้งหลายในโลก เช่น ชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง ฯลฯ  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นธรรมะที่มีอยู่ในพระไตรปิฏกทั้งสิ้น จากนั้นพระเดชพระคุณหลวงพ่อจึงค่อยสอนฤทธิ์มโนมยิทธิให้ เพื่อให้ลูกศิษย์ของท่านนำวิชามโนมิยทธินี้ไปใช้ประโยชน์เพื่อความบรรลุมรรคผล ไม่ใช่นำวิชาของท่านไปใช้ในทางมิชอบมิควร ใช้ฤทธิ์เพื่อสนองตัณหาตนเอง ก่อกรรมทำเข็ญกับผู้อื่น
3 }$ k3 b1 t  W5 J9 F+ \* D+ d
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2025-12-15 07:36 , Processed in 0.036794 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.