แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 9186|ตอบ: 4
go

หลักสูตรปริบัติที่นักเรียนพลังจิต และนักเรียนอภิญญาทุกคนต้องศึกษา [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

หลักสูตรปริบัติที่นักเรียนพลังจิต และนักเรียนอภิญญาทุกคนต้องศึกษา% L# M/ _; W: ~5 u2 `( r' e, M  ~
, y7 p9 E1 L6 H# o7 k
เพื่อในการปฏิบัติกัมมัฏฐานเป็นไปอย่างก้าวหน้า นักเรียนอภิญญาทุกคนจะต้องศึกษาหลักสูตรปริยัติให้เข้าใจเสียก่อน นักปฏิบัติที่เน้นแต่ปฏิบัติกรรมฐานอย่างเดียว จะเจริญก้าวหน้าในสมาธิได้ช้ากว่า นักปฏิบัติที่ศึกษาปริยัติมาจนเข้าใจแล้ว ค่อยมาเน้นการปฏิบัติกรรมฐานทีหลัง เหตุที่เป็นแบบนี้เพราะ การศึกษาปริยัติเปรียบเสมือนเป็นการศึกษาแผนที่นำทาง
0 k' T" Q$ C1 D, ~7 m: n/ W) V+ P1 P+ v  C& a
ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติ นักปฏิบัติควรทำความเข้าใจกับเส้นทางที่จะมุ่งไปเสียก่อน ควรรู้ล่วงหน้าว่าจะต้องพบเจอกับสิ่งใดข้างทางบ้าง สิ่งใดที่จะเป็นอุสรรคขัดขวางการเดินทาง และจะต้องผ่านด่านทดสอบจิตใจอะไรบ้าง : `0 W) |7 \* F7 q* I0 R' f: G* p( Y

$ u% i+ y( T( \: Qแผนที่ปริยัติถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้นักปฏิบัติรู้เส้นทางที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางที่ตนมุ่งหวัง และรู้ถึงสิ่งที่ตนจะต้องประสบล่วงหน้า รู้ที่จะเตรียมใจที่จะต้องฝ่าฟันไปให้ได้ เพื่อให้ได้สำเร็จอภิญญา 5 และ 6 และบรรลุมรรคผลนิพพานในที่สุด (เป็นจุดหมายปลายทางสุดท้าย หรือเส้นชัยของนักเรียนอภิญญาทุกคน)
1 V" J3 Q: Q# G' o- V( X2 k: l  F+ K" J9 f1 k
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธคืออะไร?1 _0 A( X4 ~0 v, K. g7 E5 H
. P+ r. [% O" o
ศีล ๕ ประกอบด้วย
- y4 G: M; Z  E8 V" t4 Z1 B๑. ไม่ฆ่าสัตว์9 b$ b% s, U. M% `$ K7 j
๒. ไม่ลักทรัพย์( m) i9 b. o) Z
๓. ไม่ประพฤติผิดในกาม (ผิดลูก เมีย สามี คู่ครอง ของผู้อื่น)
' p3 u2 a7 d* ~0 k๔. ไม่พูดโกหก
8 L5 c, U* c* k) ^8 u" c9 M๕. ไม่ดื่มสุราของมึนเมา

" p  }1 Z. V3 r' G; q7 x3 j/ N& @: P9 G+ v9 J2 c1 `7 g# {% ^: f
ศีล ๘ ประกอบด้วย1 t! c+ j7 n' W. B2 r4 S
๑.
6 W0 E/ s) }7 J# [; D4 i๒.4 B2 o# d( ^1 z& R) c# W, O8 |
๓.
" x3 l" v) Y/ X๔.  O* d$ w( h! i2 w& U
๕.
& k1 U+ m% c9 c8 [7 O6 @๖.2 n: H6 N$ y$ |) M+ `# H) `$ [% F
๗.
: l8 e% O$ _& C- S1 t๘.
/ X8 c- l& a0 d
, o3 j2 p! P9 o
- นิวรณ์ ๕ (เครื่องกั้นขวางความดี)
$ j: Y3 p7 O' ]( A  c! sผู้ที่สามารถเอาชนะนิวรณ์ ๕ ได้ คือผู้ที่ได้ปฐมฌานเป็นอย่างต่ำ หากขณะนั่งสมาธิ ไม่ว่าผู้ฝึกจะมีภาพร่างกายแบบไหน ง่วงมากๆ เพลียมากๆ ฟุ้งซ่านมากๆ หลังจากเริ่มนั่งสมาธิแล้ว อาการง่วง อาการโกรธ อาการฟุ้งซ่านไม่ปรากฏ นั้นถึงจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าผู้ฝึกกรรมฐาน ฝึกได้ปฐมฌานเป็นอย่างต่ำแล้ว

) p* X/ P" `4 |  w, v' \6 g
9 }( K- o4 P  f( K$ H. ?, e- Sกามฉันท์ คือ ความพึงพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง โผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์/ q+ O- n& v9 X3 i
พยาบาท คือ การผูกใจเจ็บ หรือผูกอาฆาตผู้อื่น3 o6 N% ?8 e7 o+ Q2 r" n
ถีนมิทธะ คือ ความง่วงเหงาหาวนอน
) a/ E: u7 h$ {5 eอุทธัจจะ กุกกุจจะ คือ ความฟุ้งซ่าน ความรำคาญ
, @1 G; D1 y1 ~, E4 I( iวิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัยในผลการปฏิบัติ
6 s/ B: ~" X2 j" L; N' `  P$ b

) F' M( Z; H% L3 m, q: C  nอุปกิเลส (เครื่องที่ทำให้จิตเศร้าหมอง ๑๖ ประการ)
: n2 j, y4 _2 n0 \# ?2 \7 \ผู้ที่สนใจการปฏิบัติทางจิต หรืออบรมสมาธิ ตามแนวของพระพุทธศาสนา ควรต้องเรียนรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์ที่จะนำมาซึ่งกิเลส หรือสิ่งที่ทำให้จิตใจตกต่ำ และเป็นเหตุทำให้
2 q7 C' u3 ]) r, y. w5 Vพลังจิตถดถอย หรือขุ่นมัว ฉะนั้นผู้ที่ปฏิบัติทุกท่านควรละทิ้ง หรือห่างไกลจากสิ่งเหล่านี้ แล้วท่านทั้งหลายจะพบกับความสุข ความเจริญก้าวหน้า

) n: J: L+ W( _! f๑. อภิฌาวิสมโลภะ คิดอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่นมาเป็นของตน2 C; R! {1 c$ E
๒. พยาบาท (โทสะ) มีใจเดือดร้อน ความอาฆาต ผูกใจเจ็บคิดร้ายแก่ผู้อื่น
3 M1 S+ ^/ W; o4 G/ a๓. โกธะ ความโกรธ อาการกำเริบพลุ่งขึ้นมาในใจ จากความไม่ชอบนั้นๆ แต่ยังไม่ถึงกับบันดาลโทสะ! k& x1 |. R  A
๔. อุปนาหะ ความผูกใจโกรธ เพียงแต่ผูกใจไม่ยอมลืม แต่ไม่ถึงกับคิดทำร้ายเขา เพราะกำลังของกิเลสยังอ่อนกว่าความโกรธ! _! D) i, Q8 Z$ Y: J8 w
๕. มักขะ ความลบหลู่คุณท่าน คือ ใครมีบุณคุณกับเรา แล้วไม่คำนึงถึงคุณท่าน เป็นการลบล้างหรือปิดซ่อนคุณท่าน หรือความดีของท่าน7 S; |) R0 D+ W7 x; r9 t
๖. ปลาสะ ความดีเสมอตัวท่าน เอาตัวเองเป็นใหญ่ แล้วไม่ย่อมให้ใครดีกว่าตน ข่มเหงรังแก: y5 F- ?% w% o, G1 K/ \2 U
๗. อิสสา ความริษยา เห็นใครดีกว่าก็ทนไม่ได้ เกิดความขุ่นมัวในจิต กลั่นแกล้งเขาทำให้เสื่อมเสีย% A) i/ d& O# ^9 X3 e& z' i) p+ g
๘. มิจฉริยะ ความตระหนี่เกินกว่าปกติ ตระหนี่ในทรัพย์ ตระหนี่ในความรู้
8 ^! z7 P: I) d, K๙. มายา มารยาเจ้าเล่ห์ แสดงออกได้ทุกรูปแบบ หาความจริงไม่ได้ หรือแสดงออกให้คนอื่นหลงใหล% C/ b. @# I+ x
๑๐. สาเถยยะ ความโอ้อวด หลอกหลวงเขา พูดจาเกินความจริง; V/ }. l. E/ U. O  k% k
๑๑. ถัมภะ ความเป็นคนหัวดื้อ รั้น กระด้าง หัวแข็ง ไม่ยอมคนทั้งผิดและถูก
6 W4 t  q2 a1 {, z; _๑๒. สารัมภะ ความแข่งดี ไม่ยอมลดละ มุ่งแต่จะเอาชนะฝ่ายเดียว ไม่ยอมแพ้
, Z7 r9 |, c5 M+ N" c8 G$ K0 ^4 |๑๓. มานะ ความถือตัวทะนงตน6 E/ i0 X& l. a0 x6 m
๑๔. อติมานะ ความถือตัวว่าดียิ่งกว่าเขา ดูหมิ่น ยกตนข่มท่าน# F* ^5 `, U' c: \$ J; R
๑๕. มทะ ความมัวเมาในกิเลส เช่นบ้ายศ บ้าอำนาจ บ้าเงิน บ้าสมบัติ หลงยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น; G# c6 ^( I: m
๑๖. ปมาทะ ความประมาทเลินเลิ่น ปล่อยสติให้คล้อยไปตามอำนาจของกิเลส จนได้รับทั้งความเสียหายต่อตนเอง และผู้อื่น นักปฏิบัติทุกท่าน
# Q! k1 G; ~# C2 E2 u& f$ E" lเมื่อทราบเช่นนี้แล้ว ควรหลักเลี่ยงให้ห่างไกล หรือสละสลัดสิ่งเหล่านี้ออกไปจากกายและใจ เมื่อท่านทั้งหลายสละละทิ้งได้จริง เมื่อนั้นความสุขจะเกิดขึ้นตามความเป็นจริง% C  P* U' O9 Q9 T
และเป็นความสุขที่แท้จริง
* a5 b4 [* }( \, a

: X! T7 r. X- Z4 Fอริยสัจ ๔ ได้แก่
  g# t  R1 C+ o0 s3 L( L๑. ทุกข์ คือ การทนได้ยาก
7 j& ~7 d8 \  u๒. สมุทัย คือ เหตุหรือปัจจัยที่ทำให้เกิดทุกข์
. J: y( g0 y3 H3 }; o6 p0 F๓. นิโรธ คือ การปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงความดับทุกข์ โดยการจะดับทุกข์ได้นั้นต้องอาศัย...
; q3 }: \. D. F. g& J& Q7 q* Z๔. มรรคปฏิปทา มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น และมีสัมมาสมาธิเป็น ปริโยสาน
" u) N: g# r. D. j" q# I

" r& Y$ y! E9 z; B( w; ~7 D9 M4 Vกฏไตรลักษณ์ ๓ ข้อ คือ/ X1 s3 l* T; n2 O5 e
๑. อนิจัง ร่างกายและทุกอย่างในโลกไม่เที่ยง
0 _! s; J  k  T; d* a8 z๒. ทุกขัง ถ้าไปยึดมั่นก็เป็นทุกข์) `) r  D: E6 z
๓. อนัตตา ในที่สุดก็พัง

! O4 f" @6 ?& j! @  r9 h
" q9 Q! L% c4 n1 ]3 M. W! A) `0 |. M7 m: L: ~, g+ _
สังโยชน์ ๑๐ 9 J' Z+ N! b- ~6 U
๑.
5 N/ u5 y  v; P" p2 j๒.
5 r' `) [) ^0 O: P๓. 0 u& O: T# D8 ^1 q9 K( F* P
๔.
: h* M5 A. [) E, S7 m# [) H๕.
$ k3 @$ V8 n( _5 Q6 B* n2 R* ^7 [๖.
4 ~! A, }0 v& P! r& r, M7 |: Y9 X๗. 0 \3 E+ q9 Y* F: L# }
๘.
1 S, G4 U! w* x' H6 F2 Y๙.
" U6 G. V& U" N/ M- ]๑๐. . X% O$ S& h; K1 F9 i
6 l# r' s0 X& ~+ C- A
บารมี ๑๐

( y$ l+ g+ ?2 s1 N, J* Z. s2 @๑.
; B4 ~5 t) H/ M, |% B: p๒.+ @$ ]/ |5 k2 n, N6 O
๓.
+ p0 h( o$ e9 z! w๔.
/ E' N! C2 X$ C% X; E  L๕.3 `" n" v9 ?5 [. K" f
๖.$ F$ v! m0 G* x0 Y2 Q! ?0 Y. I
๗.
6 ?' k4 b% {7 t2 z% v๘.
# _0 w& j6 L6 N$ |0 @; z, R๙.
, Q! A  I5 R  K8 Y; K- m4 p6 a3 m6 f๑๐.
) q) l. H& J- A  T; }+ a
/ w8 I6 P. ^8 t. h$ X
สังขาร ๓ ได้แก่
6 Z% j. Z9 G) z
, z2 b( L. e( H$ g, L" E2 S! f% {, K& A- T" e0 g; y

( O; X3 g% s& [3 g' R

  P2 V. y1 u. d# l$ r4 qกรรมฐาน ๔๐ กอง แบ่งเป็น ๗ กลุ่มประกอบด้วย
" d) R' G  E. }( F- หมวดกสิน ๑๐ (๑-๑๐)

% j1 B' b/ ~1 O* q2 j1 d# w4 H- หมวดอสุภกรรมฐาน (๑๑ - ๒๐)5 P% ^' N* d) H& S
- หมวดอนุสสติกัมมัฏฐาน ๑๐ (๒๑ - ๓๑)

: |  k. ?5 c9 Y- หมวดจตุธาตุววัฏฐาน (๓๒)$ p( Z- u& c8 M8 z- d
- พรหมวิหาร ๔ (๓๓ - ๓๖)9 |8 c8 q1 S& @( R4 q
- หมวดอรูปฌาน ๔ (๓๗ - ๔๐)% s% O$ ^. ]; U3 A! p& ]  @
$ y1 u! G* @* C* H  {: F1 |! M
กามคุณทั้ง ๕ ได้แก่

7 u9 o$ m+ l) w2 \; \' z4 b" n๑. 8 j. _0 m9 J% z3 ~0 P: v  `
๒. ; q0 j8 V; v5 H% z& n& E
๓.8 u& Y; Y+ ]- Q. }
๔.
+ J; z/ h1 M: A* @๕.
/ B0 I: ?2 d3 Y6 u; j- H8 Z! ~. h- _, ]( _( a" W
กรรมฐาน ๔๐ กอง แบ่งเป็น ๔ หมวดได้แก่5 E5 {! ?6 Q" ~- J& i; {8 H; J+ T
๑. สุกขวิปัสสโก
/ _- z7 ?6 Q7 _& b5 @๒. เตวิชโช2 G) M" H2 e2 U
๓. อภิญญาหก& D  \7 l" d% D/ K/ M
๔. ปฏิสัมภิทาญาณ

7 Z) u  q" V" i4 O7 i" N* L: l- J& l- V4 d% V6 {  p
ภวังค์ ๓ หรือสมาธิขั้นต้น ได้แก่
% u  o' R& l2 h: C1 b' X๑., b! \% W( Q1 O* b0 N
๒.- N. a9 K& v, X4 ]& |1 h3 |0 l
๓.8 p. O' `% @: |

2 L6 @1 d7 h7 \1 I. ~& Kรูปฌาน  ๔ ได้แก่+ r1 i$ X/ d) K
๑.
2 y. C9 D4 W2 A; Q, @% z& J๒.
1 F1 i5 o0 A6 i+ y5 ^2 c๓.
0 F' G7 X3 f5 j๔.+ \( m* H1 g/ s/ k
& [; a0 T" [$ E9 b
อรูปฌาน ๔ ได้แก่
1 A$ h2 ], N# P% s๑.
7 f6 h/ g: Q1 D/ _0 ]' N๒.
! Q! L! n& _) u( _4 K% n๓.
3 ^' s; ~$ i2 t: ^: j. @  D# f๔.. O7 ^) I. ?: u& O

8 V9 Q6 w1 [4 H4 n& [พิจารณาธาตุ ๔ ในร่างกายมนุษย์ อันได้แก่
- _  l$ L9 x) c- _8 J- i& q๑. ธาตุไฟ ๔
+ N0 G& i, R, D* i๒. ธาตุลม ๖
* C( C/ u+ B, k1 ^: O๓. ธาตุน้ำ ๑๒3 w' W9 n! ?/ s- G: m2 G
๔. ธาตุดิน ๒๐
, C) P: n0 Z' {* u: ?' N; n4 D4 _" l& Z! l1 B( ]# `  ?
ขันธ์ ๕ ได้แก่+ B8 b% K5 R5 s

# T: R3 f# G1 `! O" t, M2 K3 Q6 s

Rank: 8Rank: 8

2#
NOOKFUFU2 โพสต์เมื่อ 2013-5-17 01:01 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

& L3 r* g% ^* C  Q) h" |2 bวิปัสสนาญาณ ๙
% f% D6 z3 s, }. k2 e* Q6 U๑.
9 r( n3 ^8 n% [: y6 J4 }, H๒.6 h3 }/ `: W$ L) Z9 R* n5 z" X% s
๓.
9 W1 z" S. Q: @- Q& ~8 R๔.
0 |  E( R" [0 g๕.
$ @: E" H6 x7 M* x# P๖./ t: ^3 [9 Y  a4 G3 P1 B, N; p. F
๗./ I9 O+ R& G! j% _
๘.& M: P( c" ?& ?) y9 P- V2 e
๙.
- f1 ~' ?% O- ?0 X0 m

1 @. `) {4 M& {6 ~9 B! Zญาณ ๘
8 q0 v5 G1 \6 F: ~& \$ i. S๑.
7 J4 d1 e' Z+ t* v+ a( E๒.! ~# u6 q/ Q9 j* f/ m
๓.9 g, E# `# \3 K6 n3 m$ c  j
๔.- D/ Q& B! P, \! o8 V$ I4 ?6 H& D
๕.8 |, t( {/ |/ u$ x: c! p0 I$ m
๖.; }$ J0 K1 s( D2 D) I5 H
๗.6 }; A0 \" U0 o  d: E
๘.

; F/ A% S+ p' J # J, z% c$ ]1 I  D! b# ~3 y3 q; Y
ปีติ ๕ ได้แก่
) p% |4 |8 P2 g- E  p8 r๑. & U4 ^& u9 s, e
๒. ' J% h) ~: A+ J; N3 X
๓.+ Z' j, c! d0 _" Q- R
๔. 2 N! y% F! s% a' Z) C2 S
๕.

7 L) _  `3 T* Z- u! N 9 W5 A9 o: W  |
มรรค ๘ ได้แก่
5 d4 L  B& x! G; w, f% y๑.
- V9 G$ L+ M: ?9 v  S๒.
, f2 C; g% J: A4 O; P. O+ H% a3 _๓.0 V' O" L8 Z7 o: k( m; Q
๔.  G3 b0 n3 x2 e, V! Y
๕.. E" R6 T# Y4 P9 j4 f; L
๖.
1 b, g& l% N. b( R; h, L# N๗.+ I+ n( R; Y' O7 V! E# f6 m
๘.
6 ~6 y7 B. |: ?8 ~
$ U, V" a" P3 F- r' A
อิทธบาท ๔
# t" a* z' U! ?2 y" l: y* D๑. ฉันทะ มีความพอใจ
  d7 t- V/ J& ?0 `/ k  f& N2 [9 d๒. วิริยะ มีความพากเพียรในการทำลายอุปสรรคไม่ถ้อถอย
0 a4 R7 a5 i& Y8 T4 `๓. จิตตะ จดจ่อสนใจในสิ่งนั้น ไม่วางมือ4 Q. J. C2 y) Y; g) W; I9 E6 L
๔. วิมังสา ใช้ปัญญาพิจารณาให้เข้าใจ
% u! b: ~& u+ ]* K$ [% x
! b- f& f8 a! C# O3 [6 ~
จรณะ ๑๕ ได้แก่
3 w7 F( ~# k) G2 _* S" K# t' Q๑.  n7 N% [3 D7 u. _4 j
๒.& w# t5 n4 G3 p0 H; t- L* ?. Q! n
๓.6 d4 i6 T3 B: E7 v* ?0 e, j
๔.
; l: h4 Z; a. E3 ]๕.& b9 L; w8 A0 J& ^# [; C. i! u! @
๖.
( A& L  M6 ]0 p8 u" ~- ~2 k๗.
: K7 R' m/ I" g3 R+ x$ K: s9 `๘.% X- V% n+ |- v! m0 \: E0 {3 e
๙.
# ?1 W7 R: N. Y+ p( D+ ]4 x5 D๑๐./ l: ?2 m0 X# a, K
๑๑.
* n% D+ W. P* A" p: x; a๑๒., e$ E! Z1 Y3 G7 x9 b5 F
๑๓.
. d: D- ?6 \. F+ Y8 o๑๔.3 d% j* b9 A$ V! I, Q* U  |
๑๕.
9 \' V5 G- L; n5 t, E5 z1 n6 t: u

1 V7 T: T9 [. C9 o$ Vโพชฌงค์ ๗ ได้แก่
2 ?- M3 q1 _9 ?, c  y; k7 b๑. ! T5 x9 ?# j5 Z1 |5 n
๒. 2 a6 ]) B! R% _5 M8 s$ u
๓.   O& P1 a; r8 }: f
๔.
0 f( ?1 H1 d8 L% ~$ y# l, `๕.: F' f) i, D: I$ r/ {
๖.# Q# h0 `* r$ P" f
๗.
+ V5 R" X- W2 |๘.7 D# t4 z% d& x! ]
๙.
1 J" f# L! e' t6 P" D๑๐.
9 k& Z2 C' H6 j) x2 {5 q
  v6 u* U6 x+ a7 v' ]
จริต ๖
5 q% Z% ^2 b& w! g! t: o8 S๑.
$ m0 D6 M# O2 W* |  C๒.
& U4 W) R/ l  A๓.
# y- N4 j+ }4 E" e๔." g: J7 S& s$ o2 T. e: {
๕.
2 x3 @8 e9 f& |& n: ?1 D0 V๖.' t) S% W0 n6 R( _+ z5 b
๗.
5 H' L: t# f" j* }, U
$ g6 S2 I8 G9 k0 d5 R
ปลิโพธ ๑๐ (ความเป็นห่วง ความข้องในอารมณ์). R  P, D) u9 K  E: E
๑.
$ y- \1 E. K% B, A๒.
* n7 c9 w  H" g8 Z) @" [  a; ]๓.
3 W2 n: s+ e8 }7 z๔.
  x8 [2 d, s- j8 d2 s๕.
! K) i# E8 X% H! C4 b( _" a๖.+ H/ `3 }; a8 v1 J, O, n% I
๗.
' m! m6 y" S* b% l: S๘.! I/ w- a) P: x: K2 X
๙.1 B1 h, q& t! ^" z* M' _5 k' `
๑๐.
) s: {% [/ |7 l% s0 W7 _
  I. p4 E, ]* O0 b+ |$ B

Rank: 8Rank: 8

3#
NOOKFUFU2 โพสต์เมื่อ 2013-5-17 01:02 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

7 I) ~0 P  P+ x2 ~+ m: t6 ?& Xพละ ๕
$ y& S5 E- U) B) e- i# q; ]๑. 3 _, N; K4 ~$ I7 W, o
๒.
5 M; `3 S  p' W๓.8 |* x) g$ G1 n/ I" O" @
๔.
9 L8 V3 y( e# _. b๕.
7 _2 Q' A. j2 f  n
! b6 k5 b4 w' @5 a* p
7 Y( [; t- ]0 f( P5 G
ทีปนีกรรม ๑๒
! x8 \4 s* p! W+ j' a9 e* O๑.
, r  _1 i# n, f/ u๒. 9 X  D8 d7 R5 I8 s
๓.+ T6 F; s! q6 X" E
๔.
* X. X1 f  I* [+ M1 p% `๕.
2 q! g+ J! P. a" c) L( D! A! F4 j. P๖.' R2 G4 ?* m8 J7 g- h/ B
๗.5 W* k% N' P# E, o" R! O, y0 c0 g& m
๘.
! ~  x" }: V+ R& b% a๙.
( E; R' W. c/ |; |๑๐.
0 a5 q& d( r. X+ {๑๑.
8 ^  w" r8 ]' k" \- @5 z๑๒.

5 H! ]$ y5 X/ J* t+ c
; w; g% f8 `1 U
  O. j. \5 {0 p. [2 _8 Jมละ ๙ (มลทิน ๙ อย่าง)
5 E1 f+ i* h4 R& Q1 ?$ N, p( c: [2 `
: k/ o5 K  h) z
% c5 Q, w' Q2 P4 O ( n0 g, C, P5 p* V, H
อายตนะ ๑๒ คือเครื่องรู้ และสิ่งที่รู้ มีดังนี้/ g8 w1 Z, ^/ w# G3 @& ~/ M% ^
๑. จักขายตนะ ประสาทตา( h( N. D* z$ b$ q
๒. รูปายตนะ แสงสีที่มากระทบตา
, W. F# Y& ~3 [/ U. c๓. โสตายตนะ ประสาทหู5 z& R+ K2 i0 U$ V. e
๔. สัททายตนะ เสียงต่างๆ
9 A% y) A& J5 Z. c5 k. M๕. ฆานายตนะ ประสาทรับกลิ่น( D! m) ^6 N( ^, p% o1 @$ r  z
๖. คันธายตนะ กลิ่นต่างๆ
3 q/ b4 D/ m$ P! c& A๗. ชิวหายตนะ ประสาทรับรส
; k8 ?; H8 Q& n* \! e8 ^5 A, l& i๘. รสายตนะ รสต่างๆ
& H& n4 v# D! v1 C. w๙. กายายตนะ ประสาทตามผิวกาย$ c0 Q* _8 a( x) Z# g& j
๑๐. โผฏฐัพพายตนะ ความเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ที่กระทบกาย
/ k  {4 c  Y# z- B* l. O+ j9 h0 k๑๑. มนายตนะ จิตซึ่งเป็นผู้สัมผัสกับความคิด
0 K( f8 ]+ }) T8 J& M8 h๑๒. ธัมมายตนะ ความคิด ความรู้สึกต่างๆ

7 o9 K+ t% d& ?5 \  j! N8 C- J & w  J3 r0 n- W" q% ~
อายตนะทั้ง ๑๒ นี้ แบ่งออกเป็น ๒ จำพวกคือ อายตนะภายนอก และอายตนะภายใน$ a2 a+ t, l" N

0 |0 y0 d7 |: d& jอายตนะภายนอก คือ เครื่องรับรู้ ได้แก่ ตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ (ตามข้อ ๓ ๕ ๗ ๙ และ ๑๑ ข้างต้น)
4 r& ~7 O" ^+ q$ }
- ]' s  q, L" M8 I& L) ^/ Yอายตนะภายใน คือ สิ่งที่รู้ เช่น รูป รส เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ คือ อารมณ์ที่มาถูกต้องกาย ธรรมารมณ์ คืออารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ (ตามข้อ ๒ ๔ ๖ ๘ ๑๐ และ ๑๒ ข้างต้น)
+ x, b; Y1 o- B2 Q: r$ J
! `" ]8 i. ]4 o/ |& K6 m( O
$ Q# b4 c( h: e" Y7 Lความปรารถนาของบุคคลในโลกที่ได้สมหวังด้วยยาก ๔ อย่าง
, U# w5 @! p3 I5 R7 D๑. ขอสมบัติจงเกิดแก่เราโดยทางชอบ
  u$ d+ m% T' F7 a6 Z* m๒. ขอยศจงเกิดแก่เรากับญาติพวกพร้อง
$ ?' e4 W. ?" \8 R5 D๓. ขอเราจงรักษาอายุให้ยืนนาน0 E: B! ^* X) N0 {
๔. เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว ขอเราจงไปบังเกิดในสวรรค์
4 f3 r8 ]  Z' }: F4 n! Y
ธรรมเป็นเหตุให้สมหมายมีอยู่ ๔ อย่าง. m: ~" M4 `' A! y- e

2 F+ X) ?1 D# F" }9 J4 `0 o๑. สัทธาสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา
# o+ s; g, n2 }! i% e! z๒. สีลสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยศีล/ `: Z" x3 m( |2 T% p9 V" ]) r0 C
๓. จาคสัมปทา ถึงพร้อมด้วยบริจาคทาน
4 L4 C6 Y2 [0 P8 W% @" t' _8 Z๔. ปัญญาสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยปัญญา (เข้าใจเหตุและผล)) H9 f% }8 W2 V8 Q/ G. s% }
2 L( X* E8 i( `. o' ]
ตระกูลอันมั่นคงจะตั้งอยูานานไม่ได้เพราะสถาน ๔ ได้แก่2 F3 Y; A# \4 j" R0 o3 Q
๑. ไม่แสวงหาพัสดุที่หายแล้ว
0 J" J0 j7 B) z๒. ไม่บูรณะพัสดุที่คร่ำคร่า! t4 ?! D8 h& w' ]& q- h, d
๓. ไม่รู้จักประมาณในการบริโภคสมบัติ
& I- w6 t+ }& u) @0 j0 H๔. ตั้งสตรีทุศีลหรือบุรุษทุศีล ให้เป็นแม่เรือน พ่อเรือน

" w; ^+ q8 U# [# }7 [; `0 L
, C; ?' }2 j1 bธรรมของฆราวาส ๔ ได้แก่
# u) \4 a) M/ P+ L9 w8 X8 m/ W๑. สัจจะ ซื่อสัตย์แก่กัน4 m9 y* m" y5 O7 f- ^
๒. ทมะ รู้จักข่มจิตของตน) e! g- _3 m& `6 r; B  D
๓. ขันติ มีความอดทน อดกลั้น0 V. K4 g" A6 f8 {+ [
๔. จาคะ สละให้ ปันสิ่งของๆตนให้แก่ผู้อื่นที่ควรให้ปัน
+ ?2 Z6 u( b* I: X
- Z/ d7 e& I  h
สังคหวัตถุ ๔ อย่างได้แก่ (คุณทั้ง ๔ อย่างนี้ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวผู้อื่นไว้ได้)
7 H. N; B. l# g9 n๑. ทาน ให้ปันสิ่งของๆตนแก่ผู้อื่นที่ควรให้ปัน0 o/ e* Q2 B/ F7 a, Z+ e7 r* N. f
๒. ปิยวาจา เจรจาด้วยวาจาที่อ่อนหวาน  G$ D' y" s7 F1 m# N
๓. อัตถจริยา ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
* ~4 d2 y% x( Y7 t4 K# d2 y! \๔. สมานัตตตา ความเป็นคนมีตนเสมอไม่ถือตัว
( f9 _/ |8 s; G( d/ @9 P
) z( h; ^% P5 T" e9 G. o7 ~) i
สุขของคฤหัสถ์ ๔ อย่าง ได้แก่* y3 e6 I$ G: t+ _+ E" n
๑. สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์
/ h* i! o1 {1 `๒. สุขเกิดแต่การจ่ายทรัพย์บริโภค
! d3 ?" M+ P3 W; ^4 N, j( o  J๓. สุขเกิดแต่ความไม่ต้องเป็นหนี้
9 A1 l) y) `$ b1 S6 n! g; b๔. สุขเกิดแต่ประกอบการงานที่ปราศจากโทษ
: p# ?8 _1 l9 z, P
) h5 \: j; ~4 h/ y* P+ D' l% @

Rank: 8Rank: 8

4#
NOOKFUFU2 โพสต์เมื่อ 2013-5-17 01:05 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ
. J+ H" y7 N8 Z3 }$ f" H- q0 U  b* Y  R; g; p
บุญ กิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ คือ สิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ หรือกล่าวอย่างง่ายๆ ว่า การกระทำที่เกิดเป็นบุญ เป็นกุศล แก่ผู้กระทำต่อไปนี้
8 r/ ^* \# {' |( Q  Z  i
๑. บุญสำเร็จได้ด้วยการบริจาคทาน (ทานมัย) คือการเสียสละนับแต่ทรัพย์ สิ่งของ เงินทอง ตลอดจนกำลังกาย สติปัญญา ความรู้ ความสามารถ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยส่วนรวม รวมถึงการละกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ ออกจากจิตใจ จนถึงการสละชีวิตอันเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดเพื่อการปฏิบัติธรรม
2 T% R. Z4 V( h0 _
+ g# ^0 e4 U) b7 F6 c' ^5 H๒. บุญสำเร็จได้ด้วยการรักษาศีล (ศีลมัย) คือ การตั้งใจรักษาศีล และการปฏิบัติตนไม่ให้ละเมิดศีล ไม่ว่าจะเป็น ศีล ๕ หรือ ศีล ๘ ของอุบาสกอุบาสิกา ศีล ๑๐ ของสามเณร หรือศีล ๒๒๗ ข้อของพระภิกษุ เพื่อรักษากาย วาจา และใจ ให้บริสุทธิ์สะอาด พ้นจากกายทุจริต ๔ ประการ คือ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ละเว้นจากการลักทรัพย์ ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม และเสพสิ่งเสพติดมึนเมา อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท วจีทุจริต ๔ ประการ คือ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดปด  ไม่พูดเพ้อเจ้อ และไม่พูดคำหยาบ มโนทุจริต ๓ ประการได้แก่ ไม่หลงงมงาย ไม่พยาบาท ไม่หลงผิดจากทำนองคลองธรรม
/ G3 j) j1 R% u4 u
# p# h! U7 f5 M7 F: G- n๓. ; @% f  D! k" Q8 B4 e
๔.# m: w$ p+ X  i" Z5 R$ D) g6 b% _
๕.
$ O* B3 u! {2 s) y% O' j๖.
$ Y9 A/ `2 S, M2 ^3 {% N๗.
% [. G- b0 v* e( N! A, d+ p( x๘.& U  r5 W  V6 Y
๙.
9 T8 O" T2 j) d: G, ]) \2 u๑๐.

' {7 [3 t+ Y( p0 Q
: h2 c5 M3 [  ?" @3 y7 [และให้ศึกษาปฏิจจสมุปบาทมาให้เข้าใจ 0 ]6 `+ i: o- q4 F4 a8 _
รูป นาม วิญญาณ
4 s/ ]- F" t$ s/ F/ ^) Iภพ - ชาติ
: y0 n% j; J  `1 nเสขะ อเสขะ

$ y5 z$ [% W9 J/ v
' v3 P0 X4 K7 C***ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะออกข้อสอบวัดผลความรู้ด้านปริยัติ นักเรียนอภิญญา มีทั้งอัตนัย(แบบมีตัวเลือก) และปรนัย(ข้อเขียน อธิบายมาให้มากที่สุด) 4 I: T2 |+ E9 Z4 P7 M; [

Rank: 8Rank: 8

5#
NOOKFUFU2 โพสต์เมื่อ 2013-8-5 20:21 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
ตอบกระทู้ มารน้อย ตั้งกระทู้( K& E% T6 ~  ]0 S

& W6 d: P, B# c, J
! t/ j, _' `8 s: i. Y7 ]  i/ @. }5 c+ e" Q2 u  i+ R
ตัวอย่างที่ยกมาของ "ท่านพระโปฐิละ" เป็นตัวอย่างของพระที่มุ่งศึกษาแต่ปริยัติอย่างเดียว จนเกิดทิฐิมานะเกาะกินใจ ว่าตนเป็นผู้มีคนศรัทธามาก และไม่สนใจเรื่องการปฏิบัติเพื่อมรรคผลอย่างแท้จริง
- l4 s) L8 f) i) m
$ I9 i& Q1 D( o' T# ~
$ ~1 J7 |) `% Mแต่ในเรื่องของการฝึกฤทธิ์อภิญญาแล้ว มันค่อนข้างจะต่างกัน เพราะในกรณีของท่านอาจารย์วิเชียร ที่จำเป็นต้องให้มีการศึกษาธรรมให้เข้าใจก่อนนั้น มันมีที่มาที่ไป คือ.....2 [7 p: }( o) k/ c2 G' g

3 ?4 e+ c' c. P
; c: m6 d/ ?! X; p( w1 B๑. เคยมีลูกศิษย์ฆราวาสท่านหนึ่ง มาขอเรียนอภิญญา ๕ กับท่านอาจารย์วิเชียร แต่ด้วยความที่เขาเน้นแต่ปฏิบัติเพื่อให้ได้เกิดฤทธิ์อย่างเดียว ไม่สนใจเรื่องการศึกษาหลักธรรมเลย
- ], l" d5 z# G8 X* Q1 d2 H7 m7 C
: B, [5 o; m* T$ }. p# Rผลลัพธ์หลังจากที่เขามุ่งเน้นแต่จะเอาฤทธิ์ก่อน คิดว่าธรรมะไปศึกษาเอาตอนไหนก็ได้ เมื่อเขาสามารถฝึกพลังจิตจนสำเร็จแล้ว จึงเป็นเหตุให้ลูกศิษย์ท่านนี้ไปเป็นพนักงานอยู่ที่บ่อนการพนันฝั่งลาว มีหน้าที่ในการใช้พลังจิตเพื่อให้คนที่ไปแสวงความร่ำรวยเสียเงินหมดสิ้นเนื้อปะดาตัว เพ่งแกนสล็อตเพื่อให้เกิดความคลาดเคลื่อน ฯลฯ พร้อมกับทำผิดศีลธรรมทุกชนิด ก่อกรรมทำเข็ญมากมาย และสุดท้าย อภิญญา ๕ ที่ได้มาก็เสื่อมหมด
. g/ f: O$ l, H, e, B: G! ^( \% O" V
ด้วยเหตุนี้คนที่จะมาขอฝึกอภิญญา ๕ กับท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์จึงต้องตั้งกฎใหม่ว่า ลูกศิษย์ของท่านทุกคนจะเป็นต้องเรียนรู้ธรรมะให้เข้าใจเสียก่อน ถ้าศีลแม้แต่ศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ ยังถือไม่ได้ก็ไม่ต้องมาขอเรียนอภิญญา " K' ~9 G  K5 h7 U4 S2 ~" J' n

6 m' v0 ?5 |8 M! C6 i) N$ s3 L$ r4 ^0 {0 C- V* ?
๒. ส่วนธรรมข้ออื่นๆนั้นล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยช่วยส่งเสริมให้ลูกศิษย์ฝึกอภิญญาง่ายขึ้น เพราะสิ่งสำคัญของลูกศิษย์ที่จะฝึกอภิญญาสำเร็จ คือ ต้องมีความเพียร มีความอดทน อดกลั้น (อิทธิบาท ๔) ไม่ย่อท้อต่อการถูกทดสอบต่างๆนาๆจากเทพพรหม จิตใจต้องแน่วแน่ เข้มแข็ง ไม่ยอมแพ้ต่อพญามารและกิเลสตัณหาของตนเอง และต้องทรงให้ได้ซึ่งความ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาพร้อม (พรหมวิหาร ๔ + ศีล ๕ )
( a7 k/ U& t/ L: H" p% S; N: e" F% H0 ^; p, F
๓. ส่วนปริยัติข้ออื่นจะอธิบายในเรื่องอาการของสมาธิที่จะเกิดขึ้น ตั้งแต่เบื้องต้น จนถึงอรูปฌาน รวมไปถึงขั้นตอนของการวิปัสสนา เพื่อปูพื้นฐานให้ลูกศิษย์รู้ว่าหลังจากได้อภิญญา ๕ แล้ว วิปัสสนาตัวใดที่เหมาะกับจริตของตนเอง การรู้จักใช้วิปัสสนาที่ถูกกับจริตของตนมาร่วมด้วย เพื่อให้ลูกศิษย์สามารถยกระดับจิตของตนไปสู่ อภิญญา ๖ ต่อได้ในที่สุด (เช่น การพิจารณาอาหาเรปฏิกูล และมรณานุสสติ เพื่อให้มีพระนิพพานเป็นเป้าหมายสุดท้ายที่จะไป)
9 o+ p4 K: W) S, J5 g" h
0 I0 F! ~. h/ ~5 h" {* ]
และอีกสาเหตุหนึ่ง ที่ลูกศิษย์จำที่ต้องศึกษาปริยัติไว้ล่วงหน้าก็เพราะเวลาที่ลูกศิษย์ไปสอบถามระดับกรรมฐานหรืออาการสมาธิของตนกับท่าน เมื่อท่านอาจารย์ตอบมาเป็นภาษาบาลี (เช่น ได้ถึงขั้นตติยฌาน หรือขั้นทุติยฌาน อรูปได้ถึงขั้น....)  ตัวลูกศิษย์เองจะได้มีความเข้าใจทันที ว่าตนเองพัฒนามาถึงขั้นไหนแล้ว
! q* Y" w* A" M6 d! C/ f  T3 E* z" P  }6 @  u4 v9 I6 |
๔. ที่ท่านอาจารย์ให้ศึกษาปริยัติก่อนนั้น ท่านไม่ใช่บอกให้ศึกษาหมดทั้ง ๘๔๐๐๐ ธรรมขันธ์ แต่บอกเพียงให้ศึกษาเป็นบางข้อที่นักปฏิบัติที่ดีจำเป็นต้องรู้ไว้ เพื่อลูกศิษย์ของท่านจะได้เป็น คนดีของสังคม เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตน และเมื่อตายไปแล้วก็ได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี( p% U7 z$ [4 E" ~& ?' p' J9 Y

& v9 O- [) y5 p0 _" Q๕. ท่านอาจารย์มักพูดเป็นนัยบ่อยครั้งว่า ปัจจุบันนี้ผู้ที่มาขอฝึกอภิญญา ส่วนมากที่ไม่สำเร็จกัน เพราะมักมาด้วยความโลภ อยากได้ฤทธิ์และอยากเป็นผู้วิเศษ อยากมีชื่อเสียงได้ศรัทธาจากคนหมู่มาก ซึ่งท่านอาจารย์เองก็รู้ว่าหากคนเหล่านี้ได้ฤทธิ์ไปแล้วจะนำไปใช้ในทางใด ท่านอาจารย์จึงจำเป็นต้องชำระล้างจิตใจลูกศิษย์ของท่านให้สะอาดมากพอเสียก่อน นั้นคือการให้ศึกษาธรรม และให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ไม่เช่นนั้น ถ้าปล่อยให้ฝึกได้ไป มันก็ไม่ต่างอะไรกับเอาอาวุธไปใส่มือโจร
, J; P6 y2 S8 W7 O# E# m; U  \. l
" v' V9 x7 T0 j, ?๖. พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีสอนปรยัติก่อนที่จะสอนกรรมฐานให้ทุกครั้ง ถ้าสังเกตุดีๆ ก่อนที่ลูกศิษย์จะเรียนมโมยิทธิ ท่านจะบอกให้รู้จักการถือศีล ๕ และ ศีล ๘ จากนั้นก็จะสอนให้รู้จักกับการตัดสังขารร่างกาย สอนให้พิจารณาความตายก่อนทุกครั้ง ไม่ให้ยึดติดสิ่งสมมุติใดๆทั้งหลายในโลก เช่น ชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง ฯลฯ  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นธรรมะที่มีอยู่ในพระไตรปิฏกทั้งสิ้น จากนั้นพระเดชพระคุณหลวงพ่อจึงค่อยสอนฤทธิ์มโนมยิทธิให้ เพื่อให้ลูกศิษย์ของท่านนำวิชามโนมิยทธินี้ไปใช้ประโยชน์เพื่อความบรรลุมรรคผล ไม่ใช่นำวิชาของท่านไปใช้ในทางมิชอบมิควร ใช้ฤทธิ์เพื่อสนองตัณหาตนเอง ก่อกรรมทำเข็ญกับผู้อื่น

8 M- z4 V; n" y3 ]* @: M
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2025-6-18 13:47 , Processed in 0.064954 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.