แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 4609|ตอบ: 11
go

ขอเชิญร่วมปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ 10-12 สิงหานี้ มูลนิธินิธิกร บางปู สมุทรปราการ

Rank: 1

UMP โพสต์เมื่อ 2013-8-1 20:52 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
1. ผู้นำปฏิบัติ  :    แม่ชีเกณฑ์ นิลพันธ์ จาก วัดป่าเจดีย์เทวธรรม อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด

  ประวัติของท่าน
                  
                 คุณแม่ชีเริ่มสนใจศึกษาพระธรรมมาตั้งแต่ยังเด็ก จนกระทั่งอายุได้ 14 ปี คุณแม่ชีได้มีโอกาสฟังธรรมจากหลวงปู่ศรี มหาวีโร แห่งวัดป่ากุง จังหวัดร้อยเอ็ด ท่านบอกว่า มนุษย์เกิดมามีแต่ความอยาก มีแล้วก็อยากมีอีก คนฟังธรรม 100 คน ฟังแล้วหลุดพ้นได้มีไม่ีกี่คน ต้นไม้ที่มีรากก็จะสามารถออกดอก ออกผล มีลูก ต่อยอดไปไม่มีวันจบสิ้น เปรียกับมนุษย์ที่...มีครอบครัว ก็มีทั้งลูก หลาน ญาติ พี่น้อง หากใครต้องการหลุดพ้น ต้องออกจากการมีครอบครัว ด้วยการตัดช่องน้อยแต่พอตัว หลังจากได้ฟังหลวงปู่ศรีแล้ว นั้นแม่ชีก็ตั้งใจปฏิบัติ เดินทางไปฟังเทศน์จากหลวงปู่ และใส่บาตรกับหลวงปู่อยู่เป็นประจำ จนกระทั่งอายุ 18 จึงตัดสินใจบวชชี เพราะต้องการหลุดพ้น คุณแม่ชีได้ออกบวชตั้งแต่ท่านอายุ 18 ปี ที่วัดบูรพาพิราม และได้เดินทางมากรุงเทพ  ระยะเวลา 3 เดือน ในการปฏิบัติ คุณแม่ชีได้มองเห็นเหตุแห่งการเกิดทุกข์ เห็นทางพ้นทุกข์ เป็นอย่างไร ตลอดระยะเวลา 36 ปี แห่งการบวชชีเพื่อรับใช้พระพุทธศาสนา แม่ชีได้พบและเรียนรู้คำสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ นำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ แม่ชีจีงต้องการถ่ายทอดคำสอนของพระพุทธองค์ให้กับผู้ที่สนใจได้รู้และนำไปปฏิบัติ สิ่งที่แม่ชีจะสอนคือแนวทางการปฏิบ้ติสติปัฎฐานสี่ เบื้องต้น เพื่อให้รู้กาย รู้จิต รู้สติ รู้ลมหายใจ เพื่อให้เกิดปัญญา.....
                ปัจจุบันท่านเป็นผู้อบรมและเป็นผู้สอบอารมณ์ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมที่วัดป่าเจดีย์เทวธรรม จ.ร้อยเอ็ด และเคยมาเปิดอบรมการปฏิบัติธรรมที่สมุทรปราการเมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา

แม่ชีเกณฑ์.jpg
1.jpg
2.jpg
3.jpg
4.jpg
5.jpg
6.jpg

Rank: 1

UMP โพสต์เมื่อ 2013-8-1 21:04 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
2. สถานที่ปฏิบัติธรรม

              มูลนิธินิธิกร บนถนนเส้นบางปู สมุทรปราการ เยื้องวัดอโศการาม สถานที่สร้างแบบสถาปัตยกรรมของคนจีน ติดถนน ด้านหน้าจะมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ เนื้อที่ประมาณ 9 ไร่ สามารถจุคนได้เป็นหมื่น ภายในมีสวนสวยจัดไว้อย่างดี พร้อมต้นไม้ใหญ่ กว้างพอที่จะให้หามุมสงบเดินคนเดียวโดยไม่เห็นใครก็ได้ ผู้ที่เคยไปบอกว่าบรรยากาศของที่นั่นราวกับอยู่บนวิมาน ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสถานที่สวยงามเช่นนี้อยู่ใกล้กรุงเทพฯ ห้องน้ำ ที่นอน มีเพียงพอ เลือกนอนได้ทั้งในห้อง หรือศาลาใหญ่ กลางวันมีลมพัดเย็นสบายเพราะอยู่ใกล้ทะเล


Rank: 1

UMP โพสต์เมื่อ 2013-8-1 21:07 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
3. แนวทางการสอน
          แนวสติปัฎฐานสี่(เน้นดูกาย ใจ) ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าและอรหันต์เจ้าทุกพระองค์
ได้ปฎิบัติมาโดยเดินทางสายกลางให้ถึงมรรคถึงผล สามารถตัดภพ ตัดชาติได้
เป้าหมาย
1. ให้เห็นเหตุที่เกิดทุกข์
2. ให้ถึงความดับทุกข์
3. ให้เห็นแจ้งในมรรค
4. ถึงความพ้นทุกข์คือพระนิพพาน
... โดยเดินทางสายกลางเจริญด้วยมรรคมีองค์ 8 สามารถล้างกรรมที่ทำในปัจจุบันและอดีตชาติได้
           ท่านจะไม่บังคับให้ทำแนวใดแนวหนึ่ง ท่านจะถามก่อน เคยปฎิบัติมาแบบไหน เช่น พุทโธก็ได้ หนอก็ได้ หรือไม่มีอะไรเลยก็ได้ ท่านจะดูผู้ปฏิบัติเป็นหลัก หากทำแบบเดิมดีท่านก็จะให้ทำแบบเดิมแต่จะบอกจุดให้ดูว่าให้ดูตรงนั้นตรงนี้โดยภาวนาแบบเดิมก็ได้ หรือบางคนที่ยังหาตัวเองไม่เจอว่าเหมาะกับแบบใดท่านก็จะบอกหนทางให้ โดยที่ทุกคนจะมีโอกาสได้ส่งอารมณ์กับท่านหลังจากปฏิบัติ ซึ่งจะท่านจะช่วยแก้ในจุดที่เราติดขัดอยู่ได้ ท่านบอกว่าหากผู้ปฏิบัติใหม่มีโอกาสได้สอบอารมณ์ขณะปฏิบัติธรรมจะทำให้การปฏิบัติธรรมนั้นก้าวหน้าไม่ติดขัด
           ผลจากผู้ปฏิบัติธรรมที่มาอบรมกับท่านเมื่อเดือนที่แล้วเพียงแค่ 3 วัน หนึ่งในนั้นบอกว่าเขาไปมาหลายที่แล้ว เขาเพียงแต่เป็นผู้ได้ฟัง ไม่มีโอกาสได้ถามเพราะผู้คนมากมาย แต่ที่นี่ท่านไขข้อข้องใจและชี้จุดบอดให้กับเขาได้ เขาพบจุดบอดในตัวเขาแล้ว และอีกผู้หนึ่งเขานั่งสมาธิแล้วตกภวังค์ ง่วงอยู่ตลอดแก้ไม่เคยหาย ท่านบอกให้นั่ง 5 นาที ลุกเดิน 5 นาที เขาทำตามที่ท่านบอก ก่อนจะกลับเขามากราบเท้าท่านว่า เขามีโอกาสได้เห็นการเกิดดับแล้ว เขาขอบพระคุณท่านมาก
           ท่านเน้นให้ดูกายที่เคลื่อนไหวและความรู้สึกที่เกิดขึ้นที่ใจทั้งชอบไม่ชอบโกรธเกลียด ทุกความรู้สึกที่เข้ามา แม้มาคนเดียวก็ไม่เหงา

Rank: 1

UMP โพสต์เมื่อ 2013-8-1 21:08 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
4.ตัวอย่างบันทึกจากผู้ที่เคยผ่านการอบรมการปฏิบัติธรรมกับท่านและผู้ที่เคยส่งอารมณ์กับท่าน

             1........ขออนุญาติเล่าประสบการณ์ที่ตั้วได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าเจดีย์เทวธรรม จ.ร้อยเอ็ด เป็นเวลา 19 วัน ( วันที่ื 25 พย. 55 - 13 ธค. 55) โดยมีท่านแม่ชีเกณฑ์ เป็นครูสอนวิปัสนาค่ะ ท่านสอนเรื่องการเจริญสติปัฎฐาน 4 ค่ะ ขอเล่าคร่าวๆนะคะ

                  ในวันแรกที่ไปถึง แม่ชีท่านก้อให้เราแต่งชุดขาว พากราบพระ สมาทานศีล ขอกรรมฐาน และแนะนำเกี่ยวกับการปฎิบัติเบื้องต้น ที่นี่ท่านจะให้เราอยู่แต่ในห้องพัก พูดเท่าที่จำเป็น มีของใช้ส่ว...นตัว มีห้องพักคนเดียว บางห้องมีห้องน้ำในตัว บางห้องไม่มีก็มาใช้ข้างนอกซึ่งก็สะดวก สงบ แบ่งโซนพักชาย-หญิงค่ะ และฝากมือถือไว้กับท่านค่ะ ใครจะเป็นห่วงโทรมาสอบถามเรา ท่านก็ให้โทรถามท่านได้เลยค่ะ ที่นี่ทานอาหารได้ถึงเที่ยงค่ะ ตอนเช้าแม่ชีท่านจะเตรียมอาหาร 1 ถาดใหญ่ ไว้ให้เราค่ะ มีครบของคาวของหวานขนมผลไม้ เราไปรับมาทานที่ห้อง ทานเสร็จเก็บล้างแล้วไปเก็บในครัว อ้อ งดกาแฟด้วยค่ะ เพราะท่านอยากให้เราเห็นความเป็นจริงของกายและใจค่ะ
                  ในระหว่างวัน ท่านจะสอนให้เราเดินจงกรมมีหลายจังหวะ เปลี่ยนไปเรื่อยๆค่ะ แต่เน้นให้เดินช้าก่อนเพื่อให้สติทันกับสิ่งที่ปรากฎทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัส ร้อน เย็นต่างๆ รวมถึงการกินก็ให้กินแบบกำหนดรู้ไปด้วย ตอนแรกๆตั้วรู้สึกไม่ทันใจมากค่ะ ช้าแล้วขัดใจจริงๆ กินคำนึงนี่เหนื่อยจัง ก้อมีสติช้าได้ไม่นานก้อกินเร็ว กินเร็วรู้ก้อกินช้า ตามกำลังสติค่ะ รวมถึงการเดินด้วยค่ะ ยิ่งอยู่ในห้องไม่มีคนเห็น เดินยังไงก้อได้ จริงๆแล้วมันเดินตามสภาวะที่เราเป็นอยู่ขณะนั้นแหล่ะค่ะ แต่ตั้วเหลวไหลเยอะหน่อยกว่าจะรู้ทัน แล้วก้อมาเดินช้า ตอนเดินจงกรมในห้องคนเดียว แต่ความคิดเราจะเยอะมากเลยค่ะ ถึงได้รู้ว่าที่ผ่านมาเราสงบไม่จริง มีขยะความคิดที่เราเก็บสะสมมากมายทั้งที่ตั้งใจ ไม่ตั้งใจ เป็นเรื่องของเรากับเพื่อน กับที่ทำงาน กับข่าวที่เราอ่าน,ฟัง หนังที่เราดู สิ่งที่เราพบเจอแล้วมีความถูกใจ ไม่ถูกใจ รู้ตัวบ้างแต่ผ่านมันไปก่อน ไม่รู้ตัวบ้าง อะไรๆที่เราลืมไปแล้ว มันจะผุดขึ้นมา แรกๆรู้ไม่เท่าทันก้อเผลอปรุงแต่งต่อมีชอบ ไม่ชอบ ความคิดที่ผุดขึ้นมา คราวนี้ก้อ ทุกข์ อยากหาย แต่ทุกวันแม่ชีท่านจะมาหาเราเพื่อพูดคุยสภาวะ คุยทุกเรื่องที่เราพบเจอรู้สึก ท่านก้อจะแก้ข้อสงสัยให้ ชี้ให้เห็นความเป็นจริง ให้เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตน โดยเทียบเคียงกับประสบการณ์ของเราในการพบเจอในช่วงที่มาปฎิบัติค่ะ มันก้อเห็นง่ายขึ้นค่ะ ก้อเลยอยู่กับอกุศลที่ผุดขึ้นมาอย่างเข้าใจกันได้ค่ะ อะไรเกิดก้อดูอันนั้น อะไรก้อได้ขอให้เราเห็นตามความเป็นจริงไม่ปรุงแต่งค่ะ แล้วเราก้อจะได้พบของจริง คือธรรมมะของพระพุทธเจ้า เห็นอริยสัจ 4 ค่ะ
                 ในช่วงปฎิบัติ ท่านจะให้การบ้านเราด้วยค่ะ บางวันให้วันนี้ ปฎิบัติไป พรุ่งนี้รู้ตอบได้เลย บางวันก้อตอบผิด กลับไปดูใหม่ บางวันดูหลายวันกว่าจะรู้เห็นความเป็นจริง สนุกดีค่ะ วันๆค้นหาแต่ความเป็นจริงของกายและใจ ได้แค่ไหนก้อแค่นั้นค่ะ พอครบกำหนดกลับ ถ้าเราพบเจอหรือติดขัดอะไรก้อสามารถโทรปรึกษาแม่ชีท่านได้ค่ะ
                   ตอนออกจากกรรมฐาน พระอาจารย์พิชิตและพระ เณรท่านอื่นก้อได้เมตตาชี้แนะด้วยค่ะ โดยเฉพาะพระอาจารย์พิชิต พูดสั้นๆนะคะ ไม่กี่ประโยค แต่โดนจริงๆ (ไม่โดนไม่รู้ค่ะ) ส่วนแม่ชีเกณฑ์ ก้อเป็นครูที่เอาตั้วอยู่ค่ะ คือตั้วเป็นคนขี้สงสัย พอเจอใครที่ตอบเราได้เหมือนมี google นี่มันพอใจค่ะ อยากเชิญทุกท่านนะคะ ขอให้ลองมาปฎิบัติมาเรียนรู้ทุกข์ มาเรียนวิปัสนาหาหนทางดับทุกข์ ที่นี่ดูสักครั้ง สำหรับตั้ว ตั้วมั่นใจในครูบาอาจารย์ ในพระอาจารย์พิชิต และแม่ชีเกณฑ์ ในสถานที่ที่มีความศักดิ์สิทธิ์และอะไรหลายอย่างที่นี่ จะช่วยเกื้อหนุน ส่งเสริมให้เราได้เรียนรู้ธรรมมะของพระพุทธเจ้าได้ดีมากค่ะ  ขอบพระคุณค่ะ  สุหัทยา (ตั้ว) โชติมานุกูล

Rank: 1

UMP โพสต์เมื่อ 2013-8-1 21:08 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
2...... ผู้ที่ปฏิบัติธรรมที่บ้านและส่งอารมณ์กับท่านทางโทรศัพท์
               แต่ก่อนเราเป็นอีกคนหนึ่งที่อ่านมาก ฟังมากและสวดมนต์ทุกวัน แต่นับวันกลับยังพบว่าความทุกข์ยังคงมีเช่นเดิม มันหายไปแค่ชั่วคราว ซ้ำร้ายใจที่มีต่อคนที่รักกลับเหนียวแน่น จนวันหนึ่งเมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไปใจยิ่งทุกข์มาก ยิ่งอ่านยิ่งทุกข์ ยิ่งฟังยิ่ง...ทุกข์ เพราะนี่คือสิ่งที่เขาให้มา ยิ่งอ่านยิ่งยึด ยิ่งฟังยิ่งยึด จนกระทั่งวันหนึ่งได้เริ่มต้นคุยกับแม่ชีเกณฑ์ท่าน แรกๆไม่รู้จะเริ่มต้นคุยกับท่านอย่างไรดี ในช่วงนั้นด้วยความทุกข์ทั้งหมดที่มีทำให้เราได้มีโอกาสไปใช้สถานที่ของวัดใกล้บ้านเพื่อเริ่มต้นเดินจงกรมและนั่งสมาธิวันละ 1 ชม. พระท่านไม่ได้บอกอะไรเราเลย เราเพียงใช้สถานที่ป่าของวัดเท่านั้น
               เมื่อเริ่มปฏิบัติจริงๆ จึงมีคำถามถามท่าน เริ่มต้นด้วยเรื่องการเดินจงกรม ตอนนั้นเรารู้สึกว่าการเดินจงกรมความเร็วแบบปกติกลับทำให้ใจเราร้อนแต่พอเดินช้าๆใจเรากลับเย็นลง จึงสงสัยว่าเดินแบบนี้ถูกไหม อันไหนจะใช่สำหรับเรา ใครจะตอบเราได้ แม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าการเดินช้าๆเหมือนกับการขัดกิเลสและท่านถามอีกว่าภาวนาพุธโธหรืออะไร เราบอกพุธโธ ท่านบอกว่าเวลาก้าวเท้าลงก่อนจะโธให้เราหยุดเสีย ให้เห็นทันปัจจุบันขณะที่เท้าลงกับโธให้พร้อมกัน เราทำอย่างนั้นอยู่เป็นอาทิตย์แล้วเราบอกกับท่านว่า เราหนวกหูเสียงหายใจ และบอกสิ่งที่ไม่กล้าพูดเพราะกลัวบาปเราบอกท่านว่าเสียงพุทโธเราก็รู้สึกหนวกหูเช่นกัน ท่านบอกว่าจิตมันไม่เอาแล้ว และให้เราปล่อยพุทโธเสีย ไม่ต้องบริกรรมทั้งวัน 2 วันแรกพอใจมันวุ่นเราจะพุทโธแต่ก็ต้องหยุดไว้ จนถามตัวเองว่าเราจะรอดไหมนี่ เพราะความวุ่นวายเต็มไปหมด สุดท้ายเราก็ผ่านมาได้ ตอนนี้ใจเราไม่วุ่นวายโดยไม่พุทโธก็ได้
                 พอปฏิบัติทุกวันเราก็มีการบ้านส่งท่านมากขึ้น ท่านบอกว่าผู้ใดได้ปฏิบัติทุกวันการมีผู้สอบอารมณ์เป็นสิ่งจำเป็นมาก ขณะนั้นเรายังไม่วางการอ่านและการฟัง ท่านบอกว่าขณะปฏิบัติท่านจะให้ผู้นั้นเก็บอารมณ์ ไม่ใช้โทรศัพท์ ไม่ดูทีวี ไม่อ่าน ไม่ฟัง พูดให้น้อย ไม่คลุกคลีกับผู้คน ให้คอยเฝ้าอ่านใจตัวเอง ฟังใจตัวเองแทนการอ่านหนังสือและฟังแผ่น CD ท่านบอกมาอย่างนี้อีกเป็นเดือนโน่นเราถึงจะวางตามท่านบอก แรกๆคิดว่าถ้าไม่อ่านแล้วเราจะทำอะไร ตอนนี้เวลาที่คิดว่าจะว่างมากขึ้นมันหายไป ตามมาด้วยการหยุดฟัง สิ่งที่เราพบคือความเป็นธรรมชาติความเป็นตัวของตัวเองได้เกิดขึ้นกับเรา เห็นสิ่งใดพิจารณาออกมาเป็นธรรมะสอนตัวเองก็เป็นไปโดยธรรมชาติไม่ต้องตั้งท่าและตั้งใจให้เข้าแบบนั้นแบบนี้ตามตำรา ไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องกำหนด สิ่งนี้เกิดควบคู่ไปกับการปฏิบัติในป่าที่วัดวันละชม.คนเดียวทุกวัน นับวันเรายิ่งพบความเปลี่ยนไปของตัวเอง ใจมันเริ่มวางเองตามธรรมชาติของมันเพราะมันเห็นความจริงแล้วในธรรมชาตินั้น
             เราเริ่มแจกของเล็กๆน้อยให้กับผู้คนจนกระทั่งวันหนึ่งเราทำให้สิ่งที่เราไม่เคยคิดจะทำ เราถามแม่ชีเกณฑ์ท่านว่าหากเราจะไม่เก็บหนังสือธรรมะไว้เลยจะผิดไหม เราบอกท่านว่าที่เราไม่กล้าให้ใครเพราะกลัวว่าวันหนึ่งเราจำเป็นต้องใช้ และคนที่สำคัญให้เรามา ท่านบอกว่าให้อ่านใจของเราเองไม่ดีกว่าหรือ หนังสือวางไว้เฉยจะเกิดประโยชน์อะไร เอาไปให้คนที่เขายังต้องการไม่ดีกว่าหรือ เราประกาศแจกหนังธรรมะผ่านทางอินเตอร์เนตจนหมด แผ่น CD ทั้งหมด สิ่งของต่างๆที่เราเคยหวง ให้โดยไม่แสดงตัวตนและไม่หวังสิ่งตอบแทน
             เริ่มแรกทีเดียวที่คุยกับท่านจะเป็นเรื่องรอบๆตัวที่ยังพัวพันอยู่ ตอนนี้เราหยุดดูทีวีได้แล้ว เราถามท่านว่าเรารู้สึกว่าการดูทีวีทำให้เสียเวลาและใจมันออกไปข้างนอก เราตั้งใจเปิดให้คนอื่นดูแต่พอนานๆไปเรากลายเป็นคนติดมันไปเสียเอง เราถามท่านว่าจะหยุดมันไปเลยดีไหมท่านบอกว่าผู้ปฏิบัติใหม่ที่ใจยังไม่แข็งพอก็อย่าไปดูเลย แรกๆหยุดเพียงแค่ละคร ดูแต่ข่าวเพราะคิดว่าจำเป็นต้องดู แต่นานเข้าก็เห็นว่าดูข่าวแล้วมันยังมีผลกับใจ จึงถามท่านว่าไม่จำเป็นดูข่าวได้ไหม หากโลกจะแตกเกิดภัยพิบัติอะไรช่างหัวมันได้ไหมค่ะ เพราะตอนนี้ใจมันไม่เอาทีวีแล้ว ท่านบอกว่าไม่ต้องไปดูมันเถอะ อะไรจะเกิดก็เกิดอย่าให้มันมาเป็นนิวรณ์เลย ตอนนี้เราเลิกดูทีวีไปอย่างเด็ดขาดและพบว่าเรามีเวลาทำอย่างอื่นอีกเยอะ เราแทบจะไม่พลาดที่จะดูใจของตัวเองในแต่ละตอน มันสนุกน่าดูกว่าละครในทีวีเสียอีก
                ตั้งแต่เริ่มต้นที่คุยกับท่านเราบอกท่านว่าวันไหนกินกาแฟมันจะมีแรง วันไหนมันไม่กินกาแฟมันตื๊อๆ เราจึงถามตัวเองว่านี่เราทำความเพียรหรือให้กาแฟมันทำความเพียรกันแน่ ท่านบอกให้หยุดกินกาแฟให้อยู่ได้ด้วยสติของตัวเราเอง แรกๆยังไม่กล้า กินบ้างไม่กินบ้าง หลังๆก็เป็นโอเลี้ยงแต่มันจะต่างกันตรงไหน จนเราเลิกไม่ยอมตกเป็นทาสมันอีก เพราะรู้สึกว่าเราคิดไปเองที่ว่าอยู่ได้เพราะมัน ตอนนี้เราไม่กินกาแฟเลยและพบว่าการมีสติอยู่กับตัวให้มาทำให้ตื่นเสียยิ่งกว่ากาแฟเสียอีก ยิ่งเคลื่อนไหวยิ่งตื่น
                  มีอยู่วันหนึ่งได้ยินเขาคุยกันเรื่องมีสิ่งทำให้ศาสนาเสื่อมแต่เรากลับรู้สึกตรงข้าม เรากำลังรู้สึกว่าศาสนาเจริญขึ้นเสียต่างหากเจริญขึ้นที่ใจของเรา สว่างกระจ่างจ้าอยู่ข้างในนี้ เราไม่รู้เลยว่าศาสนาพุทธเข้าไปอยู่ข้างในเสียตั้งแต่ตอนไหนแต่ก่อนนั้นเรารู้สึกว่าศาสนาพุทธอยู่ที่หนังสือ ที่พระ ที่วัด ที่ครูบาอาจารย์ แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าศาสนาพุทธได้เกิดขึ้นที่ใจเสียแล้ว เราไม่ต้องการหนังสือและ CD ธรรมะอันใดอีกแล้วเพราะทุกอย่างมีครบแล้วที่ใจดวงนี้  
                 และมีอีกวันหนึ่งที่เห็นความกล้าหาญของตัวเอง วันที่เราถอดสิ่งคุ้มครองที่ห้อยคอเรามาตลอด เราบอกกับแม่ชีเกณฑ์ท่านว่าเราไม่ต้องการสิ่งวิเศษหรือของขลังอันใดมาคุ้มครองเราอีกแล้วเพราะของวิเศษที่สุดที่จะคุ้มครองเราได้มีอยู่ที่ใจดวงนี้แล้ว ท่านบอกว่าธรรมะของพระพุทธเจ้า 84,000 พระธรรมขันธ์ รวมลงคือใจดวงนี้ดวงเดียว ไม่มีอันใดวิเศษเท่าใจดวงนี้แล้วหากเราทำให้เขาปกป้องเราได้ ท่านบอกสิ่งที่สำคัญกว่านี้มากแต่เราจำได้เพียงเท่านี้
                 สิ่งอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นนี้เพียงแค่ในระยะเวลาไม่กี่เดือนเท่านั้น ท่านเป็นเพียงผู้ตอบและแนะแนวทาง เตือนเมื่อผิด ท่านไม่บอกอะไรอย่างเฉย แรกท่านมักจะให้การบ้านให้เราไปดูเองเช่นท่านถามว่าเวลาได้ยินเสียงคิดว่าเสียงมาหาหูหรือหูมาหาเสียง นี่เป็นเพียงบางส่วนในตอนเริ่มต้นของเรื่องที่ผ่านมา ท่านให้ความกระจ่างเราไว้ในอีกหลายเรื่องทั้งเรื่องในใจและนอกใจ เป็นต้นว่า เมื่อใส่บาตรขณะพระให้พรภาษาบาลีเราควรทำใจอย่างไร หรือ ขณะเดินจงกรมบนพื้นดินบางคนใส่รองเท้าหรือถุงเท้าได้หรือไม่
               บางครั้งผู้ชี้แนะแนวทางเดินเราได้ไม่จำเป็นต้องอยู่ในเครื่องแบบตามตำราก็ได้ ขอเพียงท่านชี้บอกทางให้เราเดินให้ถูกต้องก็เป็นพอแล้ว เมื่อผ่านเรื่องข้องเกี่ยวภายนอกแล้วท่านย้ำเสมอกับเราว่าความมีสติอยู่กับตัว อย่าได้ประมาทเพราะความตายมาถึงเมื่อไหร่ไม่รู้ และท่านจะสอดแทรกให้เห็นเสมอถึงความไม่เที่ยงในสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งความทุกข์และความไปบังคับมันให้ได้ดั่งใจเราไม่ได้ นอกจากท่านจะชี้แนะให้เราเห็นสิ่งนั้นในชีวิตประจำวันของเรา และท่านยังชึ้ให้เราเห็นถึงโทษของมันที่เกิดขึ้นกับใจ สุดท้ายท่านเน้นย้ำให้เราเห็นถึงความยินดีและยินร้าย ท่านบอกว่าหากตราบใดเรายังมีความยินดียินร้ายนี้อยู่ไม่มีวันที่เราจะหมดภพชาติได้
               ในยามที่เราเจอสิ่งหรือเหตุการณ์ที่ทำให้ใจเราโกรธท่านกลับสอนเราว่าในเวลาที่เกิดเหตุหากเรามีปัญญาพอ เราก็จะมองเหตุการณ์นั้นหรือผู้คนที่เกี่ยวข้องอย่างพิจารณาให้ละเอียดขึ้น ให้มองเห็นความแตกต่างของเขาและเรา ให้เห็นความเสมอภาค ให้เห็นข้อด้อยของตัวเอง ให้เตือนตนเองด้วยตัวเอง เราไม่ใช่คนที่เก่งอะไรเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งที่ท่านเมตตาอบรมสั่งสอน ขณะนี้ใจของเราก็อยู่ที่ตัวเรา ไม่ได้ไปอยู่ที่ผู้อื่นหรือสิ่งอื่นอีกแล้ว

Rank: 1

UMP โพสต์เมื่อ 2013-8-1 21:09 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
3.........  เริ่มแรกของการปฏิบัติเมื่อผ่านเรื่องการเดินจงกรมมาได้แล้ว เหลือเพียงเรื่องการนั่งสมาธิที่ยังไม่ดีนัก เริ่มแรกนั่งแล้วเงียบหาย ตัวก็หาย สถานที่ก็หาย ตอนแรกคิดว่ามันดีเพราะมันไม่ฟุ้งซ่าน แต่รู้สึกไม่มั่นใจ ถามแม่ชีเกณฑ์ท่านว่านั่งแบบนี้ถูกไหม ท่านบอกว่าไม่ได้แล้ว หายเงียบไปแบบนั้นหาใช่ดีไม่ การนั่งสมาธิที่ดีต้องมีสติรู้กายรู้ใจอยู่ครบถ้วน ต้องตื่นอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่หายไปไหน ท่านบอกว่าขณะกำลังเกิดภาวะเช่นนั้น ให้แก้ด้วยการลุกเดิน อย่าปล่อยให้ดิ่งหายไปแบบนี้

                เมื่อไม่หายไปไหนกลับมาเจออีกภาวะหนึ่งคือโงกง่วงโยกไปโยกมา น่าอายมากหากใครมาเห็น แม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าเพราะสติมันอ่อนเลยทำให้เสียการทรงตัว ให้เราสำรวจว่าเป็นเพราะร่างกายเราเหนื่อยอ่อนเพลียไหม หรือมันจะเป็นนิวรณ์ไม่เหนื่อยไม่เพลีย แต่พอเริ่มนั่งก็เริ่มง่วง อันนี้เป็นนิวรณ์แล้ว กลับมาดูตัวเองอาจจะใช่ปกติแล้วเวลาบ่าย 2 ของทุกวัน เราจะงีบหลับ แต่นี้เราไม่ได้นอนเลย และพบว่าหลังอาหารเที่ยง เราจะรู้สึกง่วงอย่างหนัก

             เมื่อเริ่มเห็นจุดที่จะแก้การโงกง่วงของตัวเองได้แล้ว จึงเปลี่ยนเวลาการกินอาหารให้เสร็จก่อนเที่ยง ประมาณบ่ายโมงเขาจะง่วงพอดี นอนเสียครึ่งชม.ก่อนไปปฏิบัติธรรม  ทำให้อาการโงกง่วงหายไปและท่านยังบอกอีกว่าอย่าปล่อยให้เป็นอย่างนั้นมันจะติดเป็นนิสัย เราต้องขัดมัน ถ้ามันโงกง่วงให้เราลุกเดินทันที อย่านั่งต่อต้องฝืนลุกขึ้นมา

                เมื่อผ่านอาการโงกง่วงมาแล้ว หากนั่งนานเกินไปจะมีการจมแช่อยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ระยะหลังท่านให้นั่ง 5 นาที เดิน 5 นาที เพื่อไม่ให้จมแช่ทั้งขณะเดินและขณะนั่ง นั่ง 5 นาทียังไม่ทันง่วงและไม่จมในความคิด เดิน 5 นาทีก็ยังไม่ทันออกนอกวัด ทำแบบนี้แล้วทำให้มีความรู้สึกตัวต่อเนื่องไม่ขาดตอน แต่กว่าจะแก้ได้ไม่ใช่แค่วันเดียวนะ เราใช้เวลาร่วมๆ 3 เดือนกว่าจะแก้ได้

                ถามท่านว่านั่งสมาธิลืมตาได้หรือไม่เพราะหลับตาแล้วมันจะพาหลับ ท่านบอกว่าจะลืมตาก็ได้ขอให้มีสติรู้ตัวอยู่ เราก็เลยนั่งหลังตรงและลืมตา หากวันไหนง่วงทั้งเดินและนั่งจนเอาไม่อยู่ จะด้วยสภาพร่างกายหรือสภาพอากาศ เราแก้ด้วยการจับไม้กวาดกวาดใบไม้ไปจนหมดชม. ดีกว่าทนนั่งง่วงเดินง่วงอยู่อย่างนั้น

           ถามแม่ชีเกณฑ์ท่านว่ามีความคิดเกิดขึ้นมากขณะเดินและนั่ง บางทีคิดไปข้างหน้า บางทีคิดไปข้างหลัง แม่ท่านบอกว่าพอมีความคิดเกิดขึ้นก็ให้หยุดเช่นกำลังจะก้าวเท้าลงหากเห็นมันก็หยุดคาอยู่อย่างนั้น เราทำตามที่ท่านบอกแล้วเราก็เห็นมันดับลงไป และอีกวิธีหนึ่งที่ท่านแนะนำเวลาที่ฟุ้งมากๆให้กำหนดไปเลยคิดหนอ คิดหนอ หลายๆครั้ง หรืออยากหนอ อยากหนอ ถ้ามันอยากขึ้นมา จะช่วยให้หายฟุ้งได้

            แม้ขณะนี้จะไม่ดีเลิศมากนักแต่เบาบางจากความฟุ้งซ่านไปมาก เสียงข้างในเงียบขึ้นมากเหลือเพียงแต่เสียงภายนอก แม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าผู้ใดไปร่วมปฏิบัติธรรมไม่ได้ หากมีปัญหาอารมณ์ใจท่านยินดีจะให้คำแนะนำผ่านทางโทรศัพท์

Rank: 1

UMP โพสต์เมื่อ 2013-8-1 21:11 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
5. สถานที่ติดต่อ

         สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ใน Face book วัดป่าเจดีย์เทวธรรม ท่านผู้ใดสนใจจะไปร่วมปฏิบัติธรรมแจ้งชื่อได้ที่               
คุณ แก้ว เบอร์ 085-2310550  gooddao@gmail.com   หรือสอบถามได้ที่คุณแม่ชีเกณฑ์ เบอร์ 086-8540049 (dtac) ,086-1009373
             ถ้าหากท่านไดที่เคยปฎิบัติมาบ้างแล้วมีความข้องขัดในอารมณ์ของการปฏิบัติ หรือไม่เคยปฏิบัติมาเลย สามารถโทรมาปรึกษา(หรือสอบอารมณ์)กับคุณแม่ชีได้ที่เบอร์ที่แจ้งไว้ รอบที่แล้วมีผู้มาปฎิบัติธรรมไม่มากนัก นอนที่นั่นประมาณ 22 คน กลางวันมีประมาณ 26 คน บางคนเป็นแม่ค้าขายของอยู่แถวนั้น หรือบางคนทำงานในนิคม กลางวันมากลางคืนกลับไปเข้ากะ


Rank: 1

กำไร โพสต์เมื่อ 2013-8-1 21:58 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
สาธุ น่าสนใจมาก..แต่อยู่ไกลจัง...

Rank: 1

จิดาภา โพสต์เมื่อ 2013-8-2 07:21 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
สาธุ น่าสนใจจริงๆค่ะ แต่คงไปไม่ได้ ขออนุโมทนากับทุกดวงจิตที่เป็นกุศลค่ะ

Rank: 1

สมประสงค์ โพสต์เมื่อ 2013-8-3 19:37 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
อนุโมทนาสาธุทุกดวงจิตร จะขอสอบถามแนวทางครับ

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-10-11 18:29 , Processed in 0.034382 second(s), 16 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.