แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 21904|ตอบ: 1
go

วัดพระเกิด บ.แม่เลียบ ต.ทุ่งฮั้ว อ.วังเหนือ จ.ลำปาง [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

24191_10362021634.jpg
วัดพระเกิด บ.แม่เลียบ ต.ทุ่งฮั้ว อ.วังเหนือ จ.ลำปาง  
ประวัติวัดพระเกิดที่โลกลืม

   ณ  ดินแดนเหนือสุดของจังหวัดลำปาง  ออกจากตัวจังหวัดไปตามถนนสายลำปาง-แจ้ห่ม  ไปทางทิศเหนือประมาณ  108  กิโลเมตร  จะพบอำเภอหนึ่งของจังหวัดลำปาง  คือ  อำเภอวังเหนือ  เดิมชื่อเมืองวัง
   วัดพระเกิด  ตั้งอยู่หมู่ที่  8  บ้านแม่เลียบ  ตำบลทุ่งฮั้ว  อำเภอวังเหนือ  จังหวัดลำปาง  เป็นวัดโบราณและมีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน  แต่ก่อนเป็นวัดเอกและเป็นวัดประจำของชาวเมืองวัง  เป็นวัดที่มีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน
   วัดพระเกิดมีโบราณสถานที่สำคัญ  คือ  พระเจดีย์  ซึ่งมีความสูง  36  เมตร  ฐานกว้าง  18  เมตร  มองพระเจดีย์ใกล้ ๆ แล้วจะเกิดความศรัทธาเลื่อมใสยิ่งนัก  องค์เจดีย์เป็นศิลปะที่สวยงาม  ละเอียดยากที่จะหาพระเจดีย์ที่อื่นเสมอพระเจดีย์วัดพระเกิดได้  โดยเฉพาะส่วนบนสุดของเจดีย์ที่ต่อจากฉัตร  ก็จะมีแม่กาทองเด่นเป็นสง่าเป็นสัญลักษณ์ของเจดีย์วัดพระเกิดที่ไม่มีเจดีย์ที่อื่นมี  บริเวณพระเจดีย์มีขนาดกว้างขวางมีกำแพงอยู่สองชั้น  คือกำแพงชั้นในเรียกว่ากำแพงแก้ว  มีกำแพงชั้นนอกทำด้วยศิลาแลงบริเวณลานพระเจดีย์ปูด้วยหินอ่อน  พุทธศาสนิกชนนิยมมาปฏิบัติธรรมและเวียนเทียนในวันสำคัญทางพระศาสนาโดยเฉพาะวันขึ้น  15  ค่ำ  พระจันทร์เต็มดวงจะเห็นพระเจดีย์เด่นสง่า  เกิดความรู้สึกภายในจิตใจยากที่จะพรรณาได้เหมือนกับได้อยู่บนสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่งก็ไม่ปาน  นี่คือความรู้สึกจากผู้ที่มาร่วมใจปฏิบัติเวียนเทียนและมากราบไหว้พระเจดีย์วัดพระเกิด  ซึ่งเป็นเจดีย์ประดับด้วยแก้วทั้งองค์  มีฉัตรข้างบน  และฉัตรข้างล่างอีก  4  ฉัตร  แต่ละฉัตรก็จะมีกาทองอยู่ทุก ๆ ฉัตร


24191_103620209681241.jpg




ประวัติพระเจดีย์วัดพระเกิด  โดยสังเขป
/


   สมัยสองพันกว่าปีมาแล้ว  เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระองค์ยังไม่เสด็จดับขันธปรินิพพาน  ยังมีนายพานิช  2  คน  ได้เดินทางจากดินแดนสุวรรณภูมิง  (เมืองวัง)  ไปค้าขายยังดินแดนประเทศอินเดีย  ได้มีโอกาสเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  จนเกิดความเลื่อมใสองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระพุทธองค์ทรงตรัสถามนายพานิชทั้งสองคนถึงที่อยู่ของนายพานิช  นายพานิชก็ได้ทูลตามความจริง  องค์สมเด็กพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประทานพระเกศา  (เส้นผม)  ของพระองค์ให้แก่นายพานิชทั้งสองคน ๆ ละ  4 เส้น  พระพุทธองค์ได้ตรัสให้นายพานิชทั้งสองคนนำพระเกศาบรรจุไว้ที่ดอยสังกุตตะระ  ในเมืองที่พ่อค้าอยู่  เพราะว่าดอยสังกุตตะระแห่งนี้เป็นที่บรรจุพระสารีริกธาตุ  เส้นพระเกศา  (เส้นผม)  ของพระพุทธเจ้ามาแล้ว  3  พระองค์  คือ  พระกกุสันธะ  พระโกนาคมนะ  พระกัสสปะ  แล้วพระพุทธองค์ได้ตรัสเล่าว่า  สถานที่นั้นเป็นที่เกิดของแม่กาขาวและกำเนิดพระโพธิสัตว์ทั้ง  5  พระองค์  พระพุทธองค์ยังได้ประทานเล่าเรื่องให้แก่นายพานิช  2  คนได้รู้ดังนี้
   ย้อนหลังเริ่มตั้งแต่ปฐมกัปป์  คือกัปป์แรกของโลก  ยังมีแม่กาขาวทำรังอยู่ที่ต้นมะเดื่อใกล้กับแม่น้ำ  ต่อมาแม่กาขาวได้ออกไข่  5  ฟอง  แม่กาก็รักและทะนุถนอมไข่ทั้ง  5  ฟอง  ไม่ให้ได้รับอันตรายจากศัตรูหรือสัตว์อื่นที่จะมาทำร้ายไข่ทั้ง  5  ฟอง  อยู่มาวันหนึ่งแม่กาขาวก็ไปเที่ยวแสวงหาอาหาร  ทางด้านทิศตะวันตกซึ่งเป็นที่อุดมสมบูรณ์ด้วยอาหารหลายอย่าง  เผอิญวันนั้นได้มีพายุและฝนพัดกิ่งไม้ล้มระเนระนาดอากาศมืดครึ้มทำให้แม่กาจำทิศทางไม่ได้  เพราะดูเหมือนกันหมด  แม่กาขาวก็หลง  สถานที่แม่กาขาวไปหลงเดี๋ยวนี้เรียกว่าเวียงกาหลง  ซึ่งอยู่ในอำเภอเวียงป่าเป้า  จังหวัดเชียงราย  เมื่อสิ้นพายุและฝนแล้วอากาศแจ่มใส  แม่กาก็หาทางบินกลับที่อยู่  คือ  ต้นมะเดื่อใกล้กับแม่น้ำ  กลับมาหาลูกที่เป็นไข่ทั้ง  5  ฟอง  ไม่เจอ  แม่กาก็เลียบไปทางด้านทิศตะวันตก  เดี๋ยวนี้เรียกว่าหมู่บ้านแม่เลียบ  ก็ไม่เจอ  แม่กาก็ตามหาตามน้ำบริเวณนั้นก็ไม่เจอ  เขาก็เรียกว่าวังแม่กา  เมื่อแม่กาตามหาลูกไม่เจอแม่กาขาวก็ร้องไห้  เดี๋ยวนี้เขาเรียกว่าหมู่บ้านฮ่องไฮ  แม่กาก็ตามหาลูกบินวนไปมาเดี๋ยวนี้เขาเรียกว่าหมู่บ้านวังมน  เมื่อแม่กาบินวนไปมาไม่เจอลูกก็เกิดความเศร้า  ในเดี๋ยวนี้เขาเรียกว่าหมู่บ้านทัพป่าเส้า  แม่กาตามหาลูกเป็นเวลา  7  ปี  ก็เกิดความท้อใจไม่อยากกินอาหารจนร่างกายซูบผม  แต่ด้วยเหตุที่แม่กาเคยเป็นพรหมมาก่อน  แม่กาก็ได้ทำใจให้สงบแล้วแม่กาก็สิ้นใจ  สถานที่แม่กาสิ้นใจก็คือวัดอักโขชัยคีรี  อำเภอแจ้ห่ม  จังหวัดลำปาง  เมื่อแม่กาสิ้นใจแล้ว  ก็ไปเกิดเป็นมฏิกามหาพรหม  อยู่ชั้นสุทธาวาส
   จะกล่าวถึงไข่ทั้ง  5  ฟองของแม่กาขาว  วันที่แม่กาขาวไปหาอาหารวันนั้น  ก็ได้เกิดพายุและฝนเหมือนกัน  พายุได้พัดกิ่งไม้และรังไข่ของแม่กาขาวตกลงมาสู่แม่น้ำ  ไข่ทั้ง  5  ฟองก็ลอยไปตามกระแสน้ำ  ไข่ฟองที่  1  ลอยไปมีแม่ไก่เห็นแล้วก็เก็บเอามาเลี้ยงไว้  ไข่ฟองที่  2  ลอยไปมีแม่นาคเห็นแล้วก็เก็บเอามาเลี้ยงไว้  ไข่ฟองที่  3  ก็ลอยไปมีแม่เต่าเห็นก็ได้เก็บเอามาเลี้ยงไว้  ไข่ฟองที่  4  ลอยไปก็มีแม่วัวเก็บมาเลี้ยงไว้  ไข่ฟองที่  5  มีแม่ราชสีห์  (สิง)  เห็นแล้วก็เก็บเอามาเลี้ยงไว้  ต่อมาไม่นานไข่ทั้ง  5  ฟอง  ก็แตกออกมา  แทนที่จะเป็นอย่างอื่นกลับเป็นคนซึ่งเหมือนกันหมดทั้ง  5  แม่เลี้ยงก็เกิดความยินดีรักเหมือนกับลูกของตัวเอง  แม่เลี้ยงทั้ง  5  ก็ได้เลี้ยงไว้เหมือนแม่ที่แท้จริงของกุมาร  เวลาผ่านไปเมื่อกุมารทั้ง  5  เป็นหนุ่ม  ได้ถามแม่เลี้ยงของแต่ละคนว่า  แม่ที่แท้จริงอยู่ที่ไหน  แม่เลี้ยงก็ไม่สามารถตอบคำถามได้  เพราะว่าลูกได้ลอยมาตามกระแสน้ำ  แม่เลยเก็บเอามาเลี้ยงไว้  กุมารทั้ง  5  คิดถึงแม่ที่แท้จริงก็อยากจะตามหาแม่  ได้กราบลาแม่เลี้ยง  ส่วนแม่เลี้ยงทั้ง  5  ก็มีความอาลัยหาลูกแต่ถ้าเป็นความต้องการของลูกก็อนุญาต  แต่แม่ขออะไรสักอย่าง  คือ  ถ้าลูกได้เจอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว  ขอฝากชื่อแม่เลี้ยงไว้
   ถัดจากนั้นมากุมารทั้ง  5  ก็ได้เข้าป่าบำเพ็ญเป็นฤาษี  จนได้ฌาณ  มีวันหนึ่งฤาบีทั้ง  5  ได้มาเจอกันโดยบังเอิญโดยลักษณะหน้าตาก็คลายกัน  อายุก็เท่ากัน  ฤาษีทั้ง  5  ได้พร้อมใจกันตั้งสัจจะอธิษฐานกันว่าด้วยแรงบุญแรงกุศล  แรงอธิษฐานบารมีของลูกทั้ง  5  นี้  ขอได้พบเจอแม่ที่แท้จริง  ด้วยแรงอธิษฐานของฤาษีทั้ง  5  ซึ่งมีพลังอันยิ่งใหญ่และเป็นอธิษฐานที่ลูกส่งถึงแม่ด้วยความบริสุทธิ์  แรงอธิษฐานนั้นไปถึงฆฏิกามหาพรหม  ซึ่งเดิมทีเป็นแม่กาก็ได้ลงมาในสภาพของแม่กา  ได้มาให้ฤาษีทั้ง  5  ได้มารู้และเห็น  และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ลูกทั้ง  5  ฟัง  ตั้งแต่ต้นจนจบสิ้น  ชีวิตมีความรักของแม่ยากที่จะทดแทนบุญคุณของแม่ที่มีต่อลูก  ฆฏิกามหาพรหมในสภาพของแม่กาขาว  ได้แนะนำลูกทั้ง  5  ที่เป็นฤาษีว่า  ให้ลูกนำดินมาทำประทีป  และนำฝ้ายมาทำเป็นรูปตีนซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนแม่กาขาว  เมื่อแม่กาขาวได้แนะนำฤาษีทั้ง  5  แล้วก็ได้ขึ้นไปสู่ที่อยู่  คือ  พรหมโลก  วันที่แม่กามาพบฤาษีทั้ง  5  นั้น  ตรงกับวันเพ็ญ  เดือน12  เพ็ญหรือวันเดือนยี่เป็ง  ของชาวล้านนาไทย  นิยมจุดประทีปตีนกาบูชาแม่กาเผือก  (ขาว)  ตลอดมา  ก็มาจากเรื่องของแม่กาขาวพระเจ้า  5  พระองค์ซึ่งวันนี้เป็นวันตรงกับวันลอยกระทงเมื่อแม่กาขาวไปสู่พรหมโลกแล้ว  ฤาษีทั้ง  5  องค์  ก็ได้ทำตามคำที่แม่แนะนำคือการจุดประทีปนำฝ้ายมาเป็นตีนกา  แล้วหาน้ำมันมาใส่จุดบูชาทุกวันพระ  8  ค่ำ  15  ค่ำ  แล้วฤาษีทั้ง  5  องค์ได้บำเพ็ญเพียรจนสิ้นอายุขัยของแต่ละองค์  ต่อมาฤาษีทั้ง  5  องค์ก็ได้มาเกิดในเมืองมนุษย์บำเพ็ญเพียรบารมีอีกหลายชาติ  หลายกัปป์  จนมาถึงยุคภัทกัปป์นี้ซึ่งกัปป์ที่โชคดีที่สุดมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก  5  พระองค์  คือ  พระกกุสันธะ  พระโกนาคมนะ  พระกัสสปะ  พระโคตมะ (สิทธัตถะ)  องค์ปัจจุบัน
   และจะอุบัติขึ้นในอนาคต  คือ  พระศรีอารยเมตไตรย  ซึ่งก็เป็นองค์สุดท้ายในภัทกัปป์นี้  ซึ่งพระพุทธเจ้าทั้ง  5  พระองค์นี้  แต่ก่อนก็เป็นลูกของแม่กาขาวและที่ได้ชื่อต่าง ๆ ก็ได้เอาชื่อแม่เลี้ยงตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับแม่เลี้ยง  เมื่อพระพุทธเจ้าได้เล่าเรื่องของแม่กาขาว  พระเจ้า  5  พระองค์แล้ว  นายพานิชทั้งสองคนได้กราบลาพระพุทธเจ้าแล้วเดินทางมาที่บ้านเกิด  คือ  ดินแดนสุวรรณภูมิง  แล้วนำพระเกศาทั้ง  8  เส้น  บรรจุไว้  ณ  ดินแดนดอยสังกุตตะระ  คือ  พระเจดีย์วัดพระเกิด  ตราบเท่าทุกวันนี้
   ตามคัมภีร์มูลศาสนาญาณคัมภีร์  ฉบับล้านนาไทย  ในปีพุทธศักราช  1995  ว่ามีพระเถระผู้มีชื่อเสียงรูปหนึ่ง  ท่านชื่อว่าพระญาณคัมภีร์  เดิมท่านบวชอยู่ที่วัดนันทราม  จังหวัดเชียงใหม่  ท่านได้เดินทางไปสุโขทัย  อยุธยา  และไปที่ประเทศลังกา  แล้วไปทิโรหณชนบทแล้วท่านได้ไปเลื่อมใสพระเถระรูปหนึ่งชื่อว่า  พระมหาสุทัสสนะ  พระญาณคัมภีร์ก็ได้บวชใหม่ที่นั้นได้อยู่กับอุปัชฌาย์  5  ปี  ได้ลาอุปัชฌาย์กลับเมืองไทย  แล้วท่านพระญาณคัมภีร์ก็เป็นที่เคารพ  และนับถือจากกษัตริย์  เช่น  สุโขทัย  อยุธยา  และมีกุลบุตรมาบวชมากมาย  ท่านได้เดินทางมาเชียงใหม่  และได้เผยแพร่พระศาสนาไปแพร่หลายถึงเชียงแสน  เชียงตุง  ต่อมาในลำปางมีเหตุคือคนไม่สบาย  คือ  โรคภัยไข้เจ็บ  ได้นิมนต์ท่านมาโปรด  ท่านได้เดินทางมาโปรดที่เมืองลำปาง  ในช่วงเวลานั้นพระธาตุแจ้ห่ม  พระธาตุเมืองวัง  สถาปนาขึ้นมาท่านก็ได้รับนิมนต์แล้วในพรรษาสุดท้าย  ท่านก็ได้จำพรรษาพระธาตุเมืองวัง  (วัดพระเกิด)  เพราะได้หลักฐานจากการเล่าสืบกันมาว่า  วัดพระเกิดเคยมีพระจำนวนร้อย  เณรจำนวนพัน  สะบัดผ้าจีวรพร้อมกันจะดังเหมือนฟ้าร้อง  เข้าใจว่าคงจะเป็นยุคที่ท่านพระญาณคัมภีร์มาอยู่จำพรรษาที่วัดพระเกิด  เพราะว่ามีกุลบุตรจากที่ต่าง ๆ มาบวชกัน  เพราะท่านเป็นพระที่นำศาสนาคำสอนมาจากประเทศลังกา  และตอนนั้นเมืองวังมีความเป็นอยู่ที่ดี  มีศิลปะถ้วยเครื่องปั้นดินเผาต่าง ๆ ส่งออกขายไปตามหัวเมืองต่าง ๆ และเจ้าเมืองก็ได้อุปภัมภ์พระภิกษุ-สามเณรจำนวนร้อยจำนวนพัน  ได้ต่อจากนั้นมาท่านพระญาณคัมภีร์ก็ได้เดินทางไปเชียงใหม่ตามคำนิมนต์ของเจ้าเมือง  แต่ท่านเดินทางไปไม่ถึงเชียงใหม่ก็ได้มรณภาพระหว่างทาง  พุทธศาสนิกชนได้ทำพระเจดีย์เป็นอนุสรณ์แก่ท่านพระญาณคัมภีร์  ผู้นำพุทธศาสนามาสู่ล้านนาไทย
/



28973_116026628440599.jpg


ปีพุทธศักราช  2469
/


   ครูบาศรีวิชัยนักบุญแห่งล้านนาไทย  เดิมท่านบวชอยู่ที่วัดบ้านปาง  อำเภอลี้  จังหวัดลำพูน  ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดี  ปฏิบัติชอบ  เป็นที่เคารพนับถือของพระภิกษุ  สามเณร  พุทธศาสนิกชนทั้งหลายทั่วแคว้นล้านนาไทย  ยกย่องท่านครูบาศรีวิชัยว่าครูบาศีลธรรม  ท่านมีความเสียสละประโยชน์ตนเพื่อประโยชน์ผู้อื่น  พระศาสนาตลอดสาธารณประโยชน์ทั่วไป  ท่านได้มาเห็นสภาพเจดีย์วัดพระเกิดมีสภาพทรุดโทรม  แทบจะไม่มีสภาพของเจดีย์  มีหญ้าปกคลุมอยู่พระเจดีย์คงจะขาดการเอาใจใส่ดูแลมานาน  บางสมัยก็อาจจะเกิดศึกสงครามทำให้วัดพระเกิดต้องได้รับผลกระทบด้วย  ท่านครูบาศรีวิชัยพร้อมด้วยภิกษุ-สามเณร  ตลอดจนญาติโยมที่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาในเขตอำเภอวังเหนือ  เวียงป่าเป้า  แจ้ห่ม  และทางลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่-เชียงแสน  ในแคว้นล้านนาไทยช่วยกันบริจาคทรัพย์สินเงินทองตลอดการปั้นอิฐ  การใช้แรงงานต่างๆ เท่าที่ผู้มีศรัทธาจะทำได้  ท่านครูบาศรีวิชัยได้วางผังของพระเจดีย์ตั้งแต่ใต้ดินจนจะเสร็จการทำพระเจดีย์ที่โบราณเขากล่าวว่า  การวางผังเริ่มแรกจะยากมากเสมือนทำเจดีย์สององค์คือใต้ดินก็มีรูปเป็นเจดีย์  ผู้เฒ่าผู้แก่เขาเล่าว่า  ท่านครูบาศรีวิชัย  ท่านมีความตั้งใจทำพระเจดีย์พระเกิดให้ถูกต้องที่สุดตามพิธีโบราณ  เช่น  มีเรือเงิน  เรือทอง  เป็นต้น  ท่านบูรณะพระเจดีย์ได้ประมาณจนจะเสร็จ  ก็ประมาณ  80  เปอร์เซ็นต์ญาติโยมที่อื่นก็ได้นิมนต์ท่านครูบาศรีวิชัยไปเป็นประธาน  ท่านก็รับนิมนต์แล้วก็เดินทางไป  ท่านครูบาศรีวิชัยคิดว่าเมื่อสร้างที่นิมนต์แล้วจะกลับมาบูรณะเจดีย์วัดพระเกิดต่อ  ในระยะนั้นจังหวัดลำปางมีพระผู้มีชื่อเสียง  เป็ฯที่เคารพนับถือของชาวลำปาง  คือ  ครูบานันดา  แห่งวัดทุ่งม่านใต้  อำเภอเมือง  จังหวัดลำปาง  ญาติโยมเลยนิมมนต์ครูบานันดา  บูรณะพระเจดีย์วัดพระเกิด  ต่อจากครูบาศรีวิชัยจนเสร็จสมบูรณ์ในปีพุทธศักราช  2472  ได้ทำการฉลองเรียกว่างานปอยหลวงของภาคเหนือล้านนาไทย  นับตั้งแต่นั้นมาวัดพระเกิดก็เกิดการเปลี่ยนแปลง  ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้  คือ  เป็นอนิจจังไม่แน่นอน  บางคราวก็มีพระมาอยู่  1  พรรษา  2  พรรษา  และไปอยู่ที่อื่น  บางคราวก็เป็นวัดร้าง  มีพระขาวแก้วซึ่งเป็นที่นับถือของคนทั่วไปอยู่บ้าง  มีพระจากที่อื่นเช่น  หลวงพ่อบุญชู  มาจากแม่สาย  เป็นพระหมอรักษาคนที่ไม่สบาย  ท่านก็อยู่ไม่นานได้เดินทางไปอยู่ที่แม่สาย  จนมาถึงสมัยของพระอธิการดวงติ๊บ  อสโม  ซึ่งท่านก็เป็นคนแม่เลียบได้มาบวชภายหลังได้เป็นเจ้าอาวาสวัดพระเกิด/


28973_116027715107157.jpg

ปีพุทธศักราช  2535
/


   พระอาจารย์ธรรมสาธิต (สนั่น)  กนฺตธมฺโม  แห่งสำนักปฏิบัติธรรมเวียงกาหลง  อำเภอเวียงป่าเป้า  จังหวัดเชียงราย  พร้อมกับญาติโยมทางกรุงเทพฯ-สมุทรปราการ-เวียงป่าเป้า-เวียงเหนือ-แม่ขะจาน  ได้มีความเห็นว่าพระเจดีย์วัดพระเกิดมีสภาพที่จะได้รับการบูรณะใหม่ซึ่งสภาพพระเจดีย์มีไม้โพธิ  (สหลิ)  อยู่บนเจดีย์  ออกรากเจาะเข้าไปสู่ในใจกลางพระเจดีย์และดูสภาพปูนก็จะหมดอายุ  ท่านได้ประชุมปรึกษากับคณะสงฆ์  ซึ่งมีเจ้าคณะอำเภอวังเหนือและประชาชนวังเหนือ  และหมู่บ้านแม่เลียบ  ก่อนจะได้บูรณะพระเจดีย์ก็ประชุมกันหลายครั้ง  ในที่สุดการบูรณะพระเจดีย์ก็เริ่มขึ้น  ได้รับปัจจัยจากญาติโยมผู้ใจบุญทั่วประเทศ  มีคุณคิด  ศิริกาญจนวงค์  เป็นเจ้าภาพ  ที่เสียสละทรัพย์ส่วนตัวเป็นจำนวนเงินถึง 1,000,000  บาท  เพื่อจะบูรณะพระเจดีย์วัดพระเกิดให้เป็นสมบัติของพระศาสนาสืบต่อไป  ได้ติดกระจกพระเจดีย์ทั้งองค์และซื้อที่นาทำถนนเข้าสู่วัดพระเกิด  สร้างห้องน้ำ ฯลฯ  ในที่สุดงานบูรณะพระเจดีย์ก็ได้สำเร็จสมความตั้งใจของพุทธศาสนิกชน  ได้มีการปฏิบัติธรรม  9  วัน  9  คืน
   วันที่  22  พฤษภาคม  2537  เป็นวันผูกพัทธสีมา  วัดพระเกิด
   วันที่  24  พฤษภาคม  2537  ตรงกับวันวิสาขบูชา  ได้บวชพระภิกษุ  59  รูป  ปีนี้เกิดแผ่นดินไหว จึงเรียกพระภิกษุที่บวชรุ่นนี้ว่า  “รุ่นแผ่นดินไหว”  ปีนี้มีฝนตกมากรัฐบาลประกาศว่าจะเกิดฝนแล้ง  แต่เมื่อพระเจดีย์วัดพระเกิดบูรณะเสร็จเรียบร้อยก็ทำให้ฝนตกมามากจนทำให้น้ำมากมายเป็นอัศจรรย์อย่างหนึ่ง
   ในพระอุโบสถของวัดพระเกิด  ยังมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์  2  องค์เรียกว่า  พระแสนแซ่  (สลัก)  เป็นที่เคารพและนับถือของพุทธศาสนิกชนทั่วไป  ตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่เล่าสืบกันมาว่า  พระแสนแซ่  ท่านไปสรงน้ำแล้วกลับมาที่เดิมได้  ชาวบ้านจึงเลื่อมใสศรัทธา  และเล่าสืบต่อกันมาแลว่าถ้าได้กราบพระแสนแซ่  ทองสัมฤทธิ์  จะมีคนสรรเสริญ  พบแต่ความสุข  ความเจริญ
   นอกจากนี้  วัดพระเกิดยังมีซากปรักหักพังของอิฐ  บริเวณพระอุโบสถหลังเดิม  ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวัดในปัจจุบัน
   ครั้นเมื่อวันที่  6  เมษายน  2545  วัดพระเกิดได้ดำเนินการหล่อพระพุทธเจ้าทั้ง  5  พระองค์  และพระแม่กาขาว  เพื่อเป็นอนุสรณ์ดินแดนพระแม่กาขาว  พระเจ้า  5  พระองค์
/







คำไหว้พระเจดีย์วัดพระเกิด
/


นะโม  ตัสสะ  ฯลฯ  (3จบ)
กาสัจจิ  กุสัจจัง  โกระหัง  กัสสะปัง  โคตะมัง  ไตรยะกุ  อะหัง  วันทามิ  สิระสา  ฯ
อะหัง  วันทามิ  สัพพะทา  ฯ  อะหัง  วันทามิ  สาธุโย  ฯ


28973_1160.jpg

24191_10362020634790.jpg

24191_1036201996812.jpg

ข้อมูลโดย : udomkedsee / หนุ่ม วังมน

Photographer : มงคล ใจยา (โต้ง)

Copyright©2009 by My space

http://viewfinderspace.multiply.com
/



Rank: 1

วัดพระเกิดมีองค์พระธาตุที่สวยงามเป็นสง่าใครเห็นเป๊นต้องสักการะนับถือ

‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-4-27 19:37 , Processed in 0.061401 second(s), 16 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.