แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 6295|ตอบ: 4
go

บันทึกแห่งสัจธรรม ลูกแก้วกายสิทธิ์ของหลวงปู่ทวด ณ ยอดเขาแก้ว เทือกเขาสันกาลาคีรี

Rank: 8Rank: 8

pimnuttapa โพสต์เมื่อ 2009-1-23 18:26 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

IMG_5784.JPG



บันทึกแห่งสัจธรรม

พิสูจน์…เรื่องเล่าจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์และความลี้ลับมหัศจรรย์

ของลูกแก้วกายสิทธิ์ของหลวงปู่ทวด


ณ ยอดเขาแก้ว เทือกเขาสันกาลาคีรี



จากบทความบันทึกแห่งสัจธรรม ที่หนังสือโลกทิพย์ลงฉบับที่ ๓๐๘ ปีที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๘ ได้ลงบทความเกี่ยวกับการพิสูจน์…เรื่องเล่าจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์และความลี้ลับมหัศจรรย์ของลูกแก้วกายสิทธิ์ ณ ยอดเขาแก้ว เทือกเขาสันกาลาคีรี

โดยมีคณะกลุ่มหนึ่งได้ขึ้นไปบนยอดเขาแก้ว เทือกเขาสันกาลาคีรี เพื่อสร้างบารมีให้เจตสิกของเราหรือดวงแก้วที่อยู่ในกายของเราสว่าง มีความบริสุทธิ์ เจตสิกที่สว่างนั้นคือ ดวงแก้วที่ทุกคนกำลังปรารถนานั้นเอง เจตสิกเหล่านี้แหละที่จะเข้าสู่ในขั้นอธิษฐานบารมี


คือ สามารถนำบารมีที่เราเคยปฏิบัติมาแล้วนั้น มาอธิษฐานจิตอย่างไรก็ตามความปรารถนา แต่ถ้าไม่มีบารมีเลย แล้วจะเอาอะไรไปใช้ในการอธิษฐานจิตเหมือนคนอื่นล่ะ

ณ พระเกตุแก้วฯ เป็นสถานที่สัปปายะเหมาะแก่การปฏิบัติอย่างอุกฤษฏ์มาก เพราะไม่มีอะไรมารบกวนเราได้เลย มีแต่พวกนก ลิง ค่าง และชะนีเท่านั้นเอง ที่จะอาศัยอยู่บนยอดเขาสูงๆ ได้ เพราะไม่มีแหล่งน้ำ ดังนั้นสัตว์ใหญ่ๆ จะอาศัยอยู่แถบเชิงเขาและกลางเขาได้


และ ณ ที่ยอดเขาแก้ว เทือกเขาสันกาลาคีรีแห่งนี้ หลังจากที่หลวงปู่ทวดได้ขึ้นไปแสวงหาสถานที่สัปปายะและเหมาะสมในการปฏิบัติอุกฤษฏ์บนยอดเขาสันกาลาคีรีแล้ว หลวงปู่ทวดท่านได้ขออธิษฐานจิตให้ญานของแก้วพระไตรรัตน์ลงมาจุติ เพื่อสร้างบารมีในรูปของมหาโพธิสัตว์

เมื่อหลวงปู่ทวดได้อธิษฐานจิตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต้นกัลปพฤกษ์ (ต้นกากะทิง) จึงเกิดขึ้นเองโดยอิทธิปาฏิหาริย์ เพราะหลวงปู่ทวดท่านได้ขึ้นสู่ยอดเขาสันกาลาคีรีด้วยธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ท่านจึงสามารถอัญเชิญลูกแก้วพระไตรรัตน์ให้ลงมาจุติเกิดได้ อีกทั้งการขึ้นยอดเขาอันศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ทวดนั้น เพื่อแสวงหาโมกขธรรมมาเก็บสะสมเอาไว้ในเจตสิกของท่านด้วย

ภาระหน้าที่ของกลุ่มคณะเราก็คือ การขึ้นไปบนยอดเขาแก้ว พร้อมกันนั้นยังได้สวดมนต์ไหว้พระ ทำสมาธิ จุดธูปจุดเทียนจำนวน ๑๐,๐๐๐ ดอก เพื่อแผ่เมตตาให้กับสรรพวิญญาณทั้งหลายได้ไปสู่ภพภูมิอื่นที่ดีขึ้นเป็นลำดับ ตลอดทั้งเทพพรหมที่อยู่ในยอดเขาแก้ว


เหตุการณ์ระหว่างเดินป่า ณ ยอดเขาแก้ว เทือกเขาสันกาลาคีรี


หลังจากที่กลุ่มคณะเดินทาง โดยการนำของพรานป่า ระหว่างทางได้หลงป่าอยู่นาน ๒ ชั่วโมง เพราะมีแต่ต้นไม้กับป่าเท่านั้นเอง ระหว่างทางเจอหนามอันแหลมคมต่างๆ ความเจ็บปวด ความเหน็ดเหนื่อย น้ำในกระติกก็หมด จะต้องดื่มน้ำจากเถาวัลย์ทีละหยด


และในการที่จะต้องปีนหน้าผาลงไปหาน้ำข้างล่าง มันเหมือนกับเราจะไปตาย เหวแต่ละเหวลึกมาก ทั้งหิว ทั้งอดและหนาวด้วย แต่เมื่อเดินผ่านต้นไม้ขนาดใหญ่ กลุ่มคณะจึงอธิษฐาน เพื่อขอให้รุกขเทวดาที่สิงสถิตอยู่ตามต้นไม้ช่วยลูกช้างด้วยเถิด นำทางให้เราด้วยเถิด ให้เราได้พบกับทางที่ถูกต้องเถิด

เมื่อได้ยินเสียงคุณวีระศักดิ์หนึ่งในสมาชิกกลุ่มคณะสั่งให้หยุด แล้วให้กลับสู่ยอดเขาใหม่ ใจจึงค่อยชื่นขึ้น เมื่อขึ้นจากหุบเขาเหวได้ จิตใจของเราก็เริ่มดีขึ้น มีกำลังใจขึ้น เพื่อที่จะต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ ให้จงได้


เมื่อกลุ่มคณะได้เดินทางถึงยอดเขาแล้ว ท่ามกลางเมฆหมอกที่ขาวนวล และเสียงของน้ำค้างตกลงมาตลอดคืนนั้น มันเหมือนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายกำลังให้ความอุ่นใจกับเรามากเหมือนกับพวกเขากำลังยินดีต่อพวกเรามากๆ เลย มันช่างเหมือนกับมีใครๆ ที่กำลังมาแสดงความรู้สึกที่ดีต่อเรามากมายเหลือเกิน

ในขณะที่ทุกคนกำลังหัวเราะเพลินอยู่นั้นเอง เสียงเล็กแหลมเหมือนเสียงเด็กๆ ดังขึ้นมากลางปล้อง ป้าบุญเรือนของเรากลายเป็นกุมารไปแล้ว กุมารตรีเพชรหรือหนุมาน ที่เราเรียกกันว่า ลูกตรี เพื่อลงมาทำหน้าที่แทนปู่อินทร์ ตอบข้อสงสัยของพวกเราให้หายข้องใจ

องค์ตรีเพชรได้ลงมาบรรยายให้เราฟังว่า การขึ้นเขาแก้วนั้นไม่ใช่การเดินป่าแบบธรรมดา ใครก็ตามที่สามารถขึ้นไปได้ถึงยอดเขา ย่อมเกิดจากแรงอธิษฐานและความตั้งใจมั่นจริงๆ เหมือนกับที่ปู่อินทร์ได้บอกเอาไว้ไง ว่าใครอยากได้อะไรก็ให้อธิษฐานจิตขอกันเอาเอง เพราะภูเขาแก้วทั้งลูกคือ แก้วสารพัดนึก ใครอยากจะได้อะไรก็ให้นึกเอา

ลูกตรีพูดต่อไปว่า ถ้าคณะของเราสามารถที่จะอดทนอยู่บนยอดเขาแก้วเกิน ๗ วันไปแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในรูปของลับแลต่างๆ ก็จะต้องออกมาทำบุญกับพวกเราด้วย ในเมื่อพวกเรายังคงมีความอดทนไม่พอ เพียงแค่ ๓ วัน จะไปเห็นอะไรดีของเหล่าเทวดาเขาได้อย่างไรเล่า มันง่ายเกินไป


พอพูดถึงจุดนี้ ลูกตรีก็ชี้ให้เแหงนขึ้นไปดูท้องฟ้า ในขณะนั้นกำลังเกิดเป็นภาพนิมิตเป็นลำแสงพุ่งไปมาในบริเวณนั้น เหมือนกับเป็นการยืนยันในคำพูดของลูกตรี และที่ได้เห็นอริยพรหมทรงเครื่องเหมือนพระศรีอริยเมตไตรยนั้น จริงๆ แล้วนี้คือ พระอิศวรภาคสมบูรณ์ของเบื้องบน ที่จะต้องมาตรวจตราดูแลรักษาธาตุขันธ์ของแก้วพระไตรรัตน์ด้วยเหมือนกัน

ถึงแม้ว่าจิตวิญญาณหรือเจตสิกของหลวงปู่ทวดได้ไปจุติเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อสะสมบารมีของมหาโพธิสัตว์ที่จะรับรวมอริยธรรมทั้งหลายของวัฏสงสารนี้มาสะสมเอาไว้ในเจตสิก เพื่อนำมาสั่งสอนเวไนยสัตว์ที่ปรารถนาจะหลุดพ้นในยุคที่ท่านสำเร็จเป็นพุทธะ


แสงปาฏิหาริย์ต่างๆ ของลูกแก้วจึงหายไป คงมีแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะต้องดูแลรักษาเอาไว้สืบต่อไปในภายหน้า ณ ภูเขาสันกาลาคีรีนี้ เพราะยังเป็นพันธะของพระโพธิสัตว์กับพระศรีสรรเพชญสืบต่อไปอีก

เราลองมาพิจารณาดูซิว่า…เรามาอยู่แค่เชิงเขาเท่านั้น เราก็สบายกันแล้ว ถ้าขึ้นไปอยู่บนยอดเขาแก้วไปนานๆ มันสบายเพิ่มมากขึ้นแค่ไหน ขนาดตรงนี้ยังไม่มีสิ่งรบกวนจากภายนอก มีสายลมโชยแสนจะสบาย มีดาวเต็มท้องฟ้า มีเสียงน้ำตก แล้วเราจะไปหาความสงบแบบนี้จากที่ไหนอีก ถ้าไม่ใช่ป่ารกชัฏ นี้แหละเป็นที่ฝึกหัดสมาธิได้ยอดเยี่ยมที่สุดเลย แต่ต้องเขานิโรธได้นะ อยู่ปฏิบัติสักเดือน สองเดือนก็เห็นผลแล้ว

ลูกตรียังคงพูดต่อไปอีกว่า การขึ้นเขาแก้วนั้น เขาต้องการให้รู้จักทุกข์ และหาหนทางให้พ้นทุกข์ หิวก็เป็นทุกข์ อิ่มก็เป็นทุกข์ ขึ้นเขาเหนื่อยๆ ก็เป็นทุกข์ เขาให้เราพิจารณาว่า ทุกๆ อย่างนั้นเป็นทุกข์ เพื่อมิให้พวกเราไปหลงยึดมั่นถือมั่นในร่างกายสังขาร เพราะจะทำให้จิตของเราไปจับอยู่กับกองทุกข์ทั้งหลายได้อีก ให้เอาจิตยกขึ้น ไม่ไปสนใจร่างกายสังขาร เพราะมันไม่ใช่ของเรา

ถ้าเราเอาจิตไปจับอยู่กับตัวทุกข์ ถ้าเราเอาจิตไปจับไว้ตรงนั้น มันก็เจ็บ มันก็ปวด มันก็เมื่อย มันก็ทุกข์ เราจึงต้องเอาจิตยกขึ้นมา แต่เรามันเกาะติดอยู่กับธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ของเรา ทั้งหมดนี้ก็เพื่อทำให้พวกเราได้รู้จักทุกข์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น


ถ้าเรารู้แล้วว่า นั้นแหละคือตัวทุกข์ ที่จะต้องเกิดมาเป็นธาตุขันธ์ มันทุกข์ทั้งนั้น เราก็ไม่เอาจิตของเราไปจับอยู่กับทุกข์ (ธาตุขันธ์) เราก็ปล่อยไป กลายเป็น ละ วาง หยุด

นี่ตรงนี้แหละ ที่พระสงฆ์องค์เจ้าต้องออกไปจาริกธุดงค์ ตามสถานที่ต่างๆ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้มีโอกาสที่จะได้รู้จักกับตัวทุกข์ พอรู้ทุกข์แล้ว ถ้าเราปฏิบัติไปเรื่อยๆ มันก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว เราจะรู้ว่า อ๋อ…ทุกข์มันเป็นอย่างนี้นะ

แต่กว่าจะผ่านความทุกข์ไปได้ เราจะต้องเจอด้วยตัวเราเองเสียก่อน ถ้าไม่เจอก็ไม่รู้ เพราะถ้าทุกคนไม่เคยผ่านทุกข์ เมื่อเรารู้จักทุกข์แล้ว เราจึงจะหาทางให้ไปจากกองทุกข์ได้ เพราะเรารู้ว่ามันเกาะติดอยู่ในธาตุขันธ์ เกาะติดอยู่ในปัญญา เกาะติดอยู่ในเวทนา เกาะติดอยู่ในวิญญาณ ทั่วทุกส่วนของร่างกายสังขารเลย วิญญาณไม่ใช่ปัญญานี่ แต่ปัญญาคือจิตของเรา


ลูกตรีจึงสรุปว่า การขึ้นเขาสันกาลาคีรีของเราในครั้งนี้ เพื่อให้เกิดปัญญา ไม่ประมาท ไม่ขาดสติ กำจัดความเคยชินและความสะดวกสบายออกไปจากเรา เพราะนั่นคือสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ จนมองไม่เห็นทุกข์ไปเสีย ต่อๆ ไปเราจะเกิดความสำรวมและระวังต่อสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า มันจะทำให้เราเกิดความอดทนและอดกลั้นจริงไหมล่ะ เพราะเคยลำบากยากเข็ญจากการขึ้นเขามาแล้ว


พอเรารู้แล้วว่า ทุกข์มันคืออะไร…เราก็กลายเป็นผู้ที่มักน้อย ปรมัตถ์นี้แหละที่เขาเรียกว่า ปรมัตถธรรม หรืออริยธรรมที่เราได้รับมา มีเหตุที่จะต้องขึ้นเขา หลังจากขึ้นเขาลงมาแล้ว ผลจะเกิดขึ้นในทันที คือได้ผลกันทุกคน ผลอะไร ก็ผลแห่งกองทุกข์ แล้วยังต้องหาทางออกจากทุกข์

เพราะในสัญชาตญาณของความเป็นคนนั้น ไม่มีใครเลยที่อยากจะทุกข์ เพราะเขากำลังผจญอยู่กับกองทุกข์โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลย เพราะทุกคนกำลังหากินกัน ย่อมเป็นธรรมดาของคนที่อยากร่ำอยากรวย อยากได้อยากดี อยากมี อยากเด่น และอยากดัง นี่แหละคือความพยายามที่จะหาทุกข์มาใส่ตัว หากองทุกข์กองใหญ่เลยมาใส่ตัว…แต่ไม่มีใครที่อยากจะพ้นไปจากกองทุกข์จริงๆ

ผลของการปฏิบัติอุกฤษฏ์ของเราในคราวนี้ นอกจากเทพเทวาทั้งหลายที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ จะมาร่วมโมทนาบุญกับเราแล้ว เรายังสามารถที่จะนำประสบการณ์ของความทุกข์ต่างๆ ที่เราได้ไปเจอมานั้น มาชี้แนะให้แก่ผู้คนโดยทั่วไป เพื่อให้พวกเขารู้จักทุกข์ได้เหมือนกัน เพราะเราได้ประสบการณ์แห่งทุกข์ออกมาแยกแยะ แจกแจงให้ผู้คนโดยทั่วไปได้เกิดปัญญาร่วมได้มากมาย


ส่วนผลของบารมีในการปฏิบัติอุกฤษฏ์นั้น เราไม่ต้องไปพูดถึงหรอก เพราะที่เขาเรียกกันว่าอุกฤษฏ์คือ ต่อๆ ไปเราก็จะสามารถที่จะปฏิบัติด้วยตนเองได้แล้ว…เพราะเราเคยปฏิบัติผ่านมาแล้ว ผ่านความทุกข์สุดๆ มาแล้ว จากการปฏิบัติอุกฤษฏ์ในคราวนี้

แต่ถ้าเราไปปฏิบัติตามสถานที่ต่างๆ ก็คงจะไม่ต้องทุกข์มากนัก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็มีคนเขาต้องการจะมาทำบุญด้วย มีชาวบ้านเขาเอามาให้กิน ก็สบายไปเลย ถ้าเราได้พิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้ว เราสามารถเห็นได้ตั้งแต่แรกเกิดเลย


เราเริ่มเกิดออกมาจากท้องแม่ เรายังไม่รู้จักตนเลย ยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีอาสวกิเลสแปดเปื้อนได้เลย ปีแรกๆ นั้น ความบริสุทธิ์และไร้เดียงสาของเด็กนั้น ถ้าเราจะเปรียบไปแล้วเหมือนกับดวงแก้วที่กำลังใสและบริสุทธิ์มาก เสมือนกับพระอรหันต์องค์หนึ่งเลยทีเดียว

เมื่อเราค่อยๆ โตขึ้นมา ก็ได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่ ญาติพี่น้อง และสังคม ได้เรียนรู้เพื่อให้เกิดปัญญา เพื่อความอยู่รอดในสังคมได้ แต่ในบางครั้ง ปัญญาที่เราได้รับจากพ่อแม่ พี่น้อง ครูบาอาจารย์ และสังคมนั้น ไม่มีใครบอกเราเลยว่า ให้เราใช้ปัญญาอย่างไรถึงจะถูกต้องทั้งทางโลกและทางธรรม เพราะฉะนั้นสภาวะแวดล้อมนี้สำคัญมาก


เช่น ลูกพ่อเดียวกัน…แม่เดียวกัน แต่ตกไปอยู่ในที่ดีก็ต้องดีเป็นธรรมดา ถ้าตกไปอยู่ในสถานที่ชั่วก็ต้องชั่วเป็นธรรมดา แต่ในขณะพวกเรากำลังตกอยู่ในสถานที่ดีอยู่แล้ว เราก็เลยต้องมาฝึกหาความดีกัน เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ให้ดีที่สุด แต่การกระทำความดีนั้น ยังกระทำได้ยากขึ้น มันจึงจะรู้ได้ว่าดีหรือชั่ว ความดีจึงทำยากกว่าทำความชั่ว

ถ้าเขาติดสนุก ติดสบาย เขาคงไม่หาความลำบากหรอก ทุกข์ก็ทุกข์ แถมยังต้องมาเสียเงินเสียทองอีกตั้งมากมาย เพราะบางคนเขาคิดว่าไร้สาระ ไม่มีค่าพอ...แต่ความจริงมันมีค่า มันล้ำค่ามากๆ เลย นี่แหละคือบารมีที่ได้ เราทำมาได้มากๆ เลย จนเราไม่สามารถที่จะนำบารมีที่เราได้รับมาเปรียบเทียบกับอะไรได้เลย

บารมีนั้นมีความลึกซึ้งและละเอียดอ่อนกว่าบุญมาก เพราะบารมีจับต้องไม่ได้…มันเป็นเพียงอานิสงส์ของการสร้างคุณงามความดี…ไม่ว่าคุณจะสร้างบุญ สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร หรือทานบารมีใดๆ ก็คือการสร้างบุญและบารมี เพื่อให้เกิดสิ่งดีๆ กับตัวเรา


ที่แน่ๆ เราได้รู้จักทุกข์ เราได้เห็นของจริงเลย ดีกว่าการกระทำใดๆ ไม่ว่าศีล หรือสมาธิ เพื่อหาอุบายมาให้จิตของเราได้เกิดปัญญาเท่านั้น จะได้รู้ว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก แต่ถ้าเราได้เห็นทุกข์จริงๆ ความรอบรู้นี้เองที่ทำให้เราเกิดปัญญา

และที่เรากำลังนั่งคุยอยู่นี้ มิใช่ว่าจะเฉพาะพวกเราเท่านั้นที่ร่วมรับฟัง แต่ยังมีเหล่าเทพเทวาอีกไม่รู้กี่ ๑๐๐,๐๐๐ กี่ ๑,๐๐๐,๐๐๐ ล้านดวงจิต เขาก็อยากจะรู้อริยธรรมชั้นสูงเหมือนกัน เขาจึงมาร่วมรับฟังธรรมด้วย เพราะเขาได้ช่วยผู้ปฏิบัติอยู่เนืองๆ เมื่อเราได้ธรรมสัจจะ เขาก็ได้รับธรรมสัจจะนั้นด้วย ตามบารมีของแต่ละรูปแต่ละนาม ว่าจะรับกันได้มากน้อยแค่ไหน สรุปง่ายเข้า เทพเทวาทั้งหลายเขาก็ต้องมาร่วมโมทนาบุญกับเราด้วย

จะว่าไปแล้ว มันก็เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่งของต้นกากะทิงหรือต้นกัลปพฤกษ์นั้น ที่เทพเทวาทั้งหลายถือว่าคือ ต้นพฤกษชาติประจำชาติไทยของเรา ที่มีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติและเป็นศาสนาเดียวที่อบรมสั่งสอนจิต ด้วยอุบายอันยอดเยี่ยมของศีล สมาธิ จนเกิดปัญญา และรู้แจ้งเห็นจริงในความไม่เที่ยงที่จะต้องเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในที่สุด เมื่อมองเห็นความไม่เที่ยงแล้ว จิตก็จะละ วาง หยุด ไปโดยปริยาย

ส่วนผู้ที่มีบารมีน้อย ก็ปรารถนาความสำเร็จเหมือนกัน จึงปรารถนาที่จะเกิดให้ทันในยุคของพระศรีอริยเมตไตรย เพื่ออาศัยพระบารมีของท่านให้ช่วยนำพาเจตสิกของเราเข้าสู่กระแสพระนิพพานตามพุทธทำนายไว้ แต่จะมีสักกี่คนละที่รู้และเข้าใจว่า ทำอย่างไรจึงจะสามารถไปเกิดในยุคของพระศรีอริยเมตไตรยได้….ยุคนั้น ไม่ใช่ใครๆ จะไปเกิดกันได้ง่ายๆ หรอกนะ

พราะจะต้องผ่านการปฏิบัติ เพื่อสะสมบารมีกันตั้งแต่ตอนนี้ อย่างน้อยก็จะต้องมีศีล ๕ ที่บริสุทธิ์จริงๆ ต้องมีศีล ๕ ที่บริสุทธิ์เสียก่อน ต่อจากนั้นจึงค่อยเริ่มเข้าสู่การปฏิบัติสวดมนต์ไหว้พระและหัดสมาธิบ้าง เพื่อชำระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์ ตั้งมั่นอยู่ในการสำรวมกาย วาจา ใจ และที่สำคัญที่สุด คือ สติ

การธุดงค์ มี ๒ แบบ คือ
แบบที่ ๑ สบายๆ แต่ไม่รู้จักทุกข์
แบบที่ ๒ รู้ทุกข์ แต่ไม่สะดวกสบาย


แม้การขึ้นยอดเขาแก้ว เทือกเขาสันกาลาคีรีครั้งนี้ จะเต็มไปด้วยอันตราย ความหิวทั้งอด ทั้งโหด ทั้งเหนื่อย แล้วก็หมดแรง แม้กระทั่งความกลัว การหลงป่า มันมีอยู่พร้อมทุกๆ อารมณ์ และทุกๆ ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ไม่มีใครเขาสนใจ ไม่มีใครเขาอยากทำ...แต่เราก็ภาคภูมิใจที่เราสามารถค้นหาต้นโพธิ์พระศรีอริยเมตไตรยหรือต้นกากะทิงต้นที่ ๕ จนพบ นี่ก็เพราะความปรารถนากันจริงๆ


คนใด ไม่ว่าหนาวหรือร้อน มีลม แดด เหลือบยุง ก็ไม่พรั่น (ไม่รู้สึกหวั่นกลัว) ทนหิวทนกระหายได้ทั้งนั้น สิ่งที่เป็นประโยชน์มาถึงตามกาล ก็ไม่ปล่อยให้สูญเสียไป คนนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ชอบใจของสิริโชค สิริโชคขอพักพิงอยู่กับเขา


IMG_1638.JPG



ธรรมกลางดง…..ใน ทุก ป่า มี ธรรม


โดย พระครูปัญญาโสภิต (รวย ฐิตยโส) วัดสร้อยทอง



ในดอนดงยังคงเดินเพลินไพรพฤกษ์

ในป่าลึกยังฝึกฝนทนสังขาร

ในเส้นทางระหว่างวันแสนกันดาร

ในสายธารสนานธรรมฉ่ำใจกาย


ทุกก้าวย่างที่ย่างย่ำเปี่ยมสำนึก

ทุกความตรึกอันลึกเปี่ยมความหมาย

ทุกลมปราณยังหาญกล้าสู้ท้าทาย

ทุกความตายคือคำเตือนเหมือนตำรา


ป่าดงดานย่านไพรใช้แทนวัด

ป่าปฏิบัติขจัดภัยในสังสาร

ป่าดอยดงพงพฤกษ์ลึกสุดตา

ป่าเชิงผาสารพัดชัฏเชิงไพร


มีนกน้อยคอยขับขานกังวานเสียง

มีสำเนียงแห่งสิงห์สาพนาสัย

มีความเงียบเปรียบดนตรีกวีใจ

มีหริ่งไรในแดนเถื่อนเป็นเพื่อนนอน   


ธรรมชาติประกาศธรรมอันล้ำค่า

ธรรมดาท้าให้เห็นเป็นคำสอน

ธรรมทัศน์ขจัดเขลาเกล่านิวรณ์

ธรรมธรบวรสงฆ์ผู้ทรง


o5.png



  อกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงสำหรับข้อมูลจาก :
          • โลกทิพย์ ๓๐๘ ปีที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๓๘ “บันทึกแห่งสัจธรรม พิสูจน์...เรื่องเล่าจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์และความลี้ลับมหัศจรรย์ของลูกแก้วกายสิทธิ์ ณ ยอดเขาแก้ว เทือกเขาสันกาลาคีรี”: อริยะ เรียบเรียง: กรุงเทพมหานคร, ๒๕๓๘. หน้า ๙๐-๙๘.
          • หลวงพ่อพระครูปัญญาโสภิต (รวย ฐิตยโส). “เหตุมหัศจรรย์บนเส้นทางธุดงค์ ค้นหาโมกขธรรมของหลวงพ่อสำรวย”: ภาพชุดสุดยอดวัตถุมงคลของท่านเจ้าพระคุณพระสุนทรธรรมากร. หน้า ๕๔.

Rank: 1

นพดล โพสต์เมื่อ 2009-7-23 01:03 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
ขอบพระคุณมากครับ
นพ

Rank: 1

นพดล โพสต์เมื่อ 2009-7-23 01:05 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
ผมชอบเวปนี้มากๆๆๆๆครับ

เป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดี

อนุโมทนา  สาธุ.... อนุโมทามิ
นพ

Rank: 1

sopa2511 โพสต์เมื่อ 2009-9-1 15:29 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

Rank: 1

Waranya โพสต์เมื่อ 2009-10-18 22:36 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
ขอโมทนากับบุญนี้ด้วยค่ะ

อ่านแล้วรู้สึกได้ข้อคิดอะไรเยอะแยะมากเลย

ขอบคุณมากค่ะ   สาธุ....

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-10-11 18:16 , Processed in 0.071760 second(s), 16 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.