แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 2199|ตอบ: 0
go

ประวัติหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค (ชุดเก่า) ตอนที่ ๔ [คัดลอกลิงค์]

Rank: 9Rank: 9Rank: 9

ประวัติหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค (ชุดเก่า) ตอนที่ ๔
วันที่: วันพุธ 18 กรกฎาคม 2007 @ 20:33:19
หัวข้อ: บทความคำสอนปกิณกะ




ประวัติหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค (ชุดเก่า) ตอนที่ ๔

ตอนที่ ๒ "เป็นหมอรักษาคนไข้" โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

มีอาคารใหญ่อย่างนั้นแล้วคนไข้ยังล้นมาต้องอาศัยตามศาลาหรือตามสถานที่ว่างต่างๆ อีกมากมาย บางรายต้องเอาเรือมาจอดเพื่อรอการรักษาอยู่ที่หน้าวัด เพราะไม่มีสถานที่อาศัย

แล้วคนไข้ที่ไปรักษาท่านไม่เคยคิดเงินคิดทอง เรื่องเงินทองไม่มี เป็นแต่เพียงว่ามีสตางค์ซื้อยาใบมะกากับข่า ใบมะกากับหญ้าแพรก สมัยที่ฉันบวชใหม่ๆ ยาหม้อหนึ่งก็ราคา ๑ บาท หมายความว่า ทั้งหม้อด้วยทั้งใบมะกากับข่า หรือใบมะกากับหญ้าแพรก อีกประมาณ ๑ บาท หรือบางทีก็ไม่ถึง ๑ บาท แค่ ๗๐ - ๘๐ สตางค์ เคยมีคนไข้ที่มารักษากับท่าน มีเกือบทุกโรค โรคมีเกือบทุกอย่าง ไอ้ที่เขาเรียกว่า โรคคุณโรคไสย อย่างนี้ฉันเคยเห็น แล้วโรคแปลกออกไปที่เขาเรียกว่า คุณคน คำว่า คุณคน ในที่นี้เป็นอาคมอย่างหนึ่ง ที่เขาเสกวัตถุแล้วให้เข้าไปอยู่ในกายของเรา

อันนี้ผมเคยเห็นกับตา ตอนนั้นยังไม่ค่อยจะเชื่ออะไร เพราะก็ไปจากสำนักของหมอ คือเป็นนักวิทยาศาสตร์นิดๆ ท่านบอกว่า คุณคนนี่มีอานุภาพมาก ถ้าหากว่าใครเขาทำกันเข้า ถ้าเป็นของใหญ่ ภายใน ๗ วัน ต้องตายภายใน ๗ วัน ถ้าของมันขยายตัว ฉันฟังแล้วก็เฉยๆ

วันหนึ่งปรากฏว่ามีเด็กสาวคนหนึ่ง อยู่บ้านสามกอ เป็นเด็กสาวรุ่นๆ พอเขานำเอามาหาท่าน เขาก็ต้องหามขึ้นมา เธอลุกไม่ขึ้น รู้สึกว่าอาการไม่ดี มีท่าทางใกล้จะตาย ฉันก็เข้าไปดูใกล้ๆ ก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้ เห็นจะไม่รอด แต่ท่านก็บอกว่าไม่ป็นไร เขาถามว่า เป็นอะไร ท่านบอกว่า ถูกคุณคน ท่านก็เลยบอกว่า ให้เอาเด็กคนนั้นไปวางไว้ที่หน้าตุ่มน้ำมนต์ แล้วสั่งให้ฉันไปรดน้ำมนต์ เมื่อฉันบวชแล้วฉันอยู่ใลก้ท่านมาก ท่านเรียกดูเรียกใช้ใกล้ชิด ฉันไม่มีคาถาอาคมอะไร ฉันถามว่าเวลารดต้องว่าคาถาอะไร ท่านก็บอกว่า แกไม่ต้องว่าหรอก ไอ้เรื่องคาถานี่ฉันทำน้ำมนต์ไว้หมดแล้ว แล้วท่านก็นั่งอยู่ไกล คุยกับแขก

เพราะว่าคนไข้ที่ไปรักษาไปหาท่านและไปกลับนี่วันละหลายร้อย ๒๐๐ - ๓๐๐ คนวันละไม่น้อยกว่า ๒๐๐ คนเต็มหมด แขกมาก และการรักษาของท่านไม่เคยปรารภเงิน ใครจะให้หรือไม่ให้ก็ตามใจ นี่เป็นปฏิปทาของท่าน ท่ากน็คุยไป ฉันก็รดน้ำมนต์ไป พอรดไปสักประมาณสัก ๑๐ ขัน เด็กคนนี้ก็รู้สึกว่าอาการดีขึ้น ดิ้นร้อง ทีแรกนอนเข้าตรีฑูต เมื่อรดไปๆ เธอก็ดิ้นจัด หนักเข้าๆ ฉีกเสื้อฉีกผ้านุ่ง แล้วก็ล้มฟุบลงไป ฟุบนอนคว่ำลงไป เสื้อแสงไม่มีแล้วขาดหมด ฉีกเหลือแต่ตัวล่อนจ้อน คนยืนดูมุงกันเป็นตับ เธอก็ร้องใหญ่หลวงพ่อปานสั่งให้รดหนักเข้า เมื่อรดหนักเข้าๆ ทั้งๆ ที่เสื้อแสงเธอไม่มี ไอ้หน้าอกคือตัวของเธอก็เห็นกันหมดแล้วว่าไม่มีอะไร เมื่อเธอล้มฟุบลงไปอย่างนั้น พอรดหนักๆ เข้าเธอก็หายดิ้น นอนสงบ หลวงพ่อก็บอกให้รดใหญ่

ผลที่สุดเธอลุกขึ้นมาปรากฏว่ามีมีดอีโต้เล่มใหญ่เล่มหนึ่งเป็นสนิม ผูกสายตราสังข์ ๓ เปาะ เหมือนกับผูกผี หล่นดังเปรี้ยงลงข้างหน้า ทุกคนที่เห็นพากันตะลึงคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีมีดขนาดใหญ่หล่นลงมาได้ แล้วท่านก็บอกให้นำมีดมา ท่านบอกว่า นี่แหละคุณคน เวลาเขาทำเขาเสกให้มันเล็ก เล็กลงไปๆ จนกระทั่งเล็กเกือบมองไม่เห็น แล้วก็ปล่อยให้มาเข้าเด็กคนนี้ ถามว่า เขาทำเด็กคนนี้เพื่ออะไร ท่านก็บอกว่า เขารับจ้างนะ คนที่ทำนี่เป็นลาว ท่านรู้ด้วย ท่านบอกว่าคนที่ทำนี่เป็นลาว เขารับจ้างมาทำ เขาจ้างฆ่าด็กคนนี้เพียงแค่ ๘๐ บาท พอถามว่า ฆ่าอย่างนี้บาปไหมครับ ท่านบอกว่า บาป แต่ว่าการฆ่าแบบนี้ ทางบ้านเมืองลงโทษเขาไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรเป็นเครื่องพิสูจน์ นี่ปรากฏเด็กคนนั้นได้กลับไปบ้าน ก็ให้ยันต์อันหนึ่งเรียกว่า ยันต์ทอ ติดตัวไป ท่านบอกว่ายันต์ทอนี้ห้ามถอด แต่ก็ไม่กี่วัน เด็กคนนั้นก็กลับมาหาท่านอีก มาสภาพอย่างนั้น ถามได้ความว่าเด็กคนนั้นจะเข้าห้องส้วม ถอดเอายันต์ทอแขวนไว้หน้าห้องก็เข้าไปในห้องส้วม พอถอดยันต์ทอเข้าไปนั่งในห้องส้วมก็ถูกทำอีก คราวนี้รดน้ำมนต์แบบเก่า แต่สิ่งที่ออกมาจากกาย(คือเธอก็ฉีกเสื้อผ้าตามเดิมมีสภาพอย่างนั้น เธอบอกว่ามันเจ็บ) สิ่งที่ออกมาคราวนี้เป็นเหล็ก คือเลื่อยตัดเหล็ก ๖ เล่ม ผูกไขว้กัน หมายความว่าผูกเป็น ๔ มุม แล้วก็มีสายตราสังข์เหมือนกัน

ไอ้เลื่อยตัดเหล็กนี่ถ้าผูกแล้วเอาวางไขว้กันอย่างนั้นเป็นสี่เหลี่ยมแล้วก็จะเข้าไปอยู่ในอก ถ้าหากว่าจะปลอมเอาเข้ามาไว้มันก็ปลอมไม่ได้แน่ เพราะมันใหญ่ว่าอกมากนัก มันยาวกว่า มันมีความกว้างมากกว่าไม่รู้จะซ่อนที่ไหน และทั้งๆ ที่ของนั้นมันก็หลุดมาเวลาที่เธอไม่มีเสื้อไม่มีผ้าแล้ว อันนี้ก็เป็นอัศจรรย์

อันนี้อยากจะเล่า เมื่อเล่าถึงตอนนี้แล้วนะ จริงๆ ตอนนี้มันก็เป็นตอนหลัง เล่าถึงอานุภาพของความเป็นหมอรักษาสิ่งที่ไม่น่าจะปรากฏขึ้นมาได้ ก็อยากจะเล่าเรื่องนี้สืบไปเสียเลยทีเดียวคือว่า ต่อมาไม่ช้าปรากฏว่าหมอคนที่ทำเด็กคนนั้นเขามีความโกรธหลวงพ่อปาน เขาถือว่าเขาไม่ได้ค่าจ้าง เพราะการกระทำ เมื่อเด็กคนนี้ไม่ตาย เขาก็ไม่ได้ค่าจ้างรางวัล เมื่อเขาเห็นว่าหลวงพ่อปานเป็นคนแก้โรคอย่างนี้หาย เขาก็จะจัดการกับหลวงพ่อปานเสียเอง

วันหนึ่งเวลาเย็นปรากฏว่ามีลาวคนหนึ่ง เดินมาทางหลังวัด เข้ามาอาศัยนอนอยู่ในป่าช้า คือมันมีกระท่อมเล็กๆ อยู่หลังหนึ่งที่คนตายชื่อว่าตาสุด เวลาตายแล้วเขาปลูกกระท่อมหลังนั้นเป็นที่เก็บศพ แต่ว่าขณะนั้นศพเผาไปแล้วแต่ว่ากระท่อมเขาไม่ได้รื้อ เป็นที่อาศัยของพระเจริญสมณธรรม พระที่เจริญกรรมฐานไปอยู่ ที่นั่นเวลากลางวันกลางคืนตามแต่อัธยาศัย ลาวก็มานอนอยู่ในที่นั้น จ้างเด็กตักน้ำไปให้ถังละ ๑ สตางค์ เมื่อลาวมาพักอยู่ในตอนเย็น เมื่อถึงเวลาตีสอง หลวงพ่อปานลุกขึ้นเรียกฉัน ฉันนอนอยู่ใกล้ๆ บอกให้ไปตามพระมาให้หมดถึงตีสองแล้ว

ฉันก็ไปตามพระมา ไม่รู้ท่านประสงค์อะไรก็บอกว่า เมื่อพระมาครบถ้วนแล้ว ท่านก็บอกว่า ดูอะไรนี่ ฉันมองเห็นตะขาบตัวเท่าแขนฉัน ขดกลมอยู่หน้าเตียงของท่าน ก็ถามว่าอะไรครับหลวงพ่อ ท่านบอกนี่แหละคุณคน ถามว่า ตะขาบเป็นคุณคนได้หรือครับ ตะขาบทำไมตัวโต ท่านบอกเป็นตะขาบวิชา ไอ้ลาวคนนั้น มันทำฉัน มันจะฆ่าฉัน

พอท่านบอกเท่านั้นแหละ พระหนุ่มๆ ก็ทำท่าฮึดฮัด จะไปเล่นงานลาว ท่านบอกไม่ต้อง กรรมของเขาให้เขารับไป อย่าไปทำเขา ถ้าทำแล้วมันบาป ท่านบอกว่า ตะขาบตัวนี้เขาเสกมาให้กัดฉัน ถ้ามันกัดฉันได้ละก็ฉันตาย แก้ไม่ทันหรอกมั้ง พวกแกนี่แก้ไม่ได้ ไม่มีใครมีความรู้ แก้ก็ไม่ทัน

แต่ว่าบังเอิญฉันตื่นขึ้นมาก่อน เห็นตะขาบมันวิ่งมาด้วยความไว ฉันก็เลยใช้หวายขีดเส้นสะกัด มันก็หยุดอยู่แค่เส้นที่ฉันขีด แล้วฉันก็เอาหวายวนๆ มันก็ขดไปตามหวายที่ฉันวง ท่านบอกว่าเอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะของๆ ใครก็ให้เขานะ เราไม่รับ เราไม่ได้ทำมานี่ แต่เมื่อเขาทำมา เราก็คืนให้เขา มันจะเป็นอะไรก็เป็นเรื่องของเขา เราไม่ได้ตั้งใจให้เขาตาย

ท่านก็เอาหวายขีดวงย้อนกลับ คือคลาย ตัวตะขาบก็คลายไปตามเส้นที่ท่านขีด เมื่อตะขาบตั้งตัวตรง คือคลายเป็นตัวตรงแล้ว ท่านก็เอาหวายเคาะกระดานข้างหลังตรงๆ แต่ห่างๆ ตะขาบ ๓ ครั้ง ตะขาบก็หายปั๊บไปทันตา ในพริบตาเดียว ไม่รู้ว่าตะขาบไปอย่างไร ทั้งๆ กุฏิก็มีข้างฝา ปิดหน้าต่างประตูหมด แต่ตะขาบหายออกไปอย่างไรไม่มีใครรู้

เมื่อตะขาบหายไปแล้ว ท่านก็สั่งว่ารีบไป ถามว่ารีบไปไหนครับ ท่านบอก พวกเธอรีบไปที่ลาวนั่น หามมันมาหาฉัน ประเดี๋ยวมันจะตายเสีย มันจะแก้ไม่ทัน ของๆ มันเล่นงานมันเสียแล้ว พระทั้งวัดก็เฮโรไปที่ลาว ที่ไหนได้เจ้าลาวคนนั้นนอนร้องครวญครงฮือฮา บวมทั้งตัว พวกเราก็รีบหามมาหาท่าน ท่านก็ปล่อยให้ยังบวมอยู่อย่างนั้น ยังปวดอยู่อย่างนั้น แล้วท่านก็สอบสวนว่า ตะขาบเธอทำมาใช่ไหม ทีแรกเขาไม่รับ ท่านบอก ถ้าไม่รับก็ตายเสียเถอะ เป็นของของเธอ ไม่ใช่ของของฉัน ไอ้เจ้าลาวคนนั้นทนไม่ไหวก็บอกรับ รับว่าทำ

ถามว่า ทำทำไม
บอก จะฆ่าท่าน
ถามว่า จะฆ่าฉันทำไม
บอก จะฆ่าให้ตาย เพราะว่าทำมาทีไรก็แก้ได้ทุกที

ผลที่สุดท่านก็บอกว่า ถ้าหากเธอไม่ฆ่าฉัน ฉันจะไม่ตายเหรอ ฉันก็ต้องตายเหมือนกัน เธอจะฆ่าฉันให้มันบาปทำไม ในที่สุดลาวก็ขอให้ท่านแก้ ให้ท่านรักษาให้หาย ท่านก็บอกรักษาให้หายได้ แต่เธอต้องสัญญาก่อนว่า

๑. หายแล้วเธอจะบวช
๒. เมื่อบวชแล้วเธอจะละวิชาความรู้นี้ทั้งหมดไม่ทำต่อไป

ุถ้าเธอให้สัญญากับฉัน ฉันจะรักษา ถ้าเธอไม่ให้สัญญากับฉัน ฉันจะไม่รักษา เจ้าลาวคนนั้นดื้อแพ่งอยู่พักหนึ่ง แต่ในที่สุดก็ทนความเจ็บปวดไม่ไหว ก็ยอมรับ เมื่อยอมรับท่านก็นำน้ำมนต์มาขันหนึ่งมาทำเป็นน้ำมนต์เอามาพรมๆ แล้วให้ลาวคนนั้นดื่ม พอดื่มเข้าไปประเดี๋ยวเขาก็หาย ชักจะหายปวด บรรเทาปวดลงไปแล้วก็บอกว่า ชักจะปวดอุจจาระ ท่านก็บอกว่า ให้ไปถ่ายอุจจาระที่กลางนอกชาน ให้ถ่ายร่องให้มันค้างดินอยู่ เราก็ไม่เข้าใจถามว่า หลวงพ่อทำไมทำอย่างนั้นละครับ มันสกปรก ท่านบอกไม่เป็นไร ประเดี๋ยวเธอจะเห็นของดี ไอ้ของที่ออกมาไม่ใช่อุจจาระ เป็นไอ้ตะขาบตัวเมื่อกี้

ผลที่สุดก็เป็นความจริง เมื่อเขาถ่ายอุจจาระมาแล้ว ท่านก็บอกให้เอาไฟไปส่องดู ก็ปรากฏว่าเป็นโซ่เส้นเล็กๆ ผูกลวดหนามไว้เต็ม เอาลวดหนามมาพันเข้าไว้ นี่ตะขาบเขาทำด้วยโซ่พันไปด้วยลวดหนาม ในเมื่อเข้าไปในตัวแล้วมันก็บาดลำไส้ พุง อวัยวะต่างๆ ท่านบอกว่า ของอย่างนี้เมื่อเข้าไปอยู่ในตัวแล้วมันจะทำอันตรายเต็มที่ เพราะเขาทำเต็มที่ ถ้ามันขยายตัวเต็มที่เมื่อไหรอวัยวะภายในก็จะขาด เพราะมันทนต่อความถ่วงของเหล็ก หรือว่าทนต่อลวดหนามไม่ไหว

ก็เป็นอันว่าลาวคนนั้นก็ยอมรับ ก็บวชเมื่อหายดีเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ไปนิมนต์ พระครูรัตนาภิรมณ์ มาเป็นอุปัชฌาย์ บวชให้และลาวคนนั้นก็เลิกจากการปฏิบัติย่างนั้น เพราะอาศัยที่เขาฝึกอย่างนั้นมีสมาธิสูงอยู่แล้ว เมื่อเวลาเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาหลวงพ่อปานก็สอนให้เจริญพระกรรมฐาน รู้สึกว่าเขาทำได้ดีมาก ทำได้รวดเร็วมาก จนกระทั่งได้อภิญญา พรรษาเดียวนะเขาได้อภิญญา ๕ แต่ยังเป็นฌานโลกีย์ ทำอะไรต่ออะไรได้หมดทุกอย่าง

เมื่อเขาทำได้แล้ว ฉันเองก็เข้าไปถามเขาว่า เสียดายความรู้เดิมไหม เขาบอก ไม่เสียดาย แต่ว่าเสียดายเวลาเวลาที่ไปฝึกฝนความรู้เดิมที่มันเป็นทางของบาปและอกุศล ทำตนให้ไปในอบายภูมิ ถ้ารู้ว่าวิชาอย่างนี้มีเขาศึกษาเสียนานแล้ว แล้วเขาก็ได้อภิญญานานแล้ว

เมื่อออกพรรษาเขาก็ขอลากลับ เพราะบ้านเขาอยู่จังหวัดอุบลราชธานี เขาบอกว่าเขาจะไปสอนลูกศิษย์ลูกหาเขาปฏิบัติตามนี้บ้าง และก็เพื่อนของเขาอีกหลายคนที่ยังใช้วิชาความรู้เดิม รับจ้างทำคนให้ตาย รับจ้างทำคนให้ป่วยไข้ไม่สบาย เขาจะโปรดพวกนั้นให้เลิกละจากกรรมประเภทนั้นให้กลับมาประพฤติปฏิบัติในสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ก่อนที่เขาจะไป หลวงพ่อปานได้เรียกมาฝึกวิปัสสนาญาณ ๓ เดือน เมื่อท่านพอใจแล้วท่านก็ส่งไป ก็ปรากฏว่าพระองค์นั้นเป็นพระอภิญญาและก็มีวิปัสสนาญาณพอสมควร

เมื่อไปจังหวัดอุบลราชธานี ก็ได้ไปสอนลูกศิษย์ลูกหาให้ได้อภิญญาสมาบัติกันมากมาย เมื่อถึงเวลาที่ หลวงพ่อปานไหว้ครู วันเสาร์ ๕ เดือนไหนก็ตามถ้าข้างขึ้น ๕ ค่ำ ตรงกับวันเสาร์ หรือวันเสาร์ ๕ หลวงพ่อปานท่านต้องไหว้ครูท่าน เขาก็พาลูกศิษย์ลูกหาของเขา สมัยนั้นไอ้รถเรือมันก็ไม่ค่อยจะมี ต้องเดินกันมาระยะทางไกล จนกว่าจะถึงทางรถไฟรถยนต์ รถยนต์ก็หายาก ก็มีรถไฟเป็นส่วนมาก ต้องใช้เวลาตั้งเดือนถึงจะมาถึงสำนักของอาจารย์ได้ เขาก็อุตส่าห์มากัน มากันในวันไหว้ครู รู้สึกมากันคราวละมากๆ

ลูกศิษย์ของเขามีกี่คนเขาต้องพามาจนหมด เรียกว่าทุกคนต้องเก็บหอมรอมริบไว้เพื่อวันเสาร์ ๕ เมื่อถึงวันเสาร์ ๕ ก็ต้องไหว้ครูตามที่ครูบาอาจารย์กำหนดไว้ นี่รู้สึกว่าเคร่งครัดมาก

เป็นอันว่าวิชาหมอของท่าน ที่ท่านเรียนมานี่เป็นประโยชน์มาก นอกจากจะรักษาคนไข้ให้หายแล้ว ยังได้ลูกศิษย์ลูกหาที่ดี สำเร็จอภิญญาสมาบัติก็มาก และเป็นนายช่าง เป็นอะไรต่ออะไรก็มี..

(โปรดติดตามตอนต่อไป)
จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๓๑๖ กรกฏาคม ๒๕๕๐

ไฟล์แนบ: คุณจำเป็นต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถดูและดาวน์โหลดไฟล์แนบได้ หากยังไม่มีแอคเคานต์หรือยังไม่ได้เป็นสมาชิก กรุณาสมัครสมาชิก
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-5-5 02:42 , Processed in 0.040205 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.