แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 2922|ตอบ: 0
go

เรื่อง...มงคล ๓๘ มงคลที่ ๑ [คัดลอกลิงค์]

Rank: 9Rank: 9Rank: 9

เรื่อง...มงคล ๓๘ มงคลที่ ๑
วันที่: วันอาทิตย์ 10 มิถุนายน 2007 @ 1:28:46
หัวข้อ: บทความคำสอนปกิณกะ




เรื่อง...มงคล ๓๘ มงคลที่ ๑
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมญาน

“อเสวนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะเสวนา” ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ๐๔ ตาคลี

วันนี้ตรงกับวันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ ตรงกับวันขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๙ เป็นวันเริ่มพูดเรื่อง “มงคล” เพราะว่า มงคล ๓๘ ประการ นี้ มีบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนมากท่าน ที่มีความสนใจใคร่จะอ่าน ก็เพราะว่าที่อาตมานำมงคลทั้ง ๓๘ ประการ ออกอากาศทาง สถานีวิทยุ ๐๔ ตาคลี จังหวัดนครสวรรค์มีบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย มีความต้องการให้ มงคลทั้ง ๓๘ ประการนี้ เป็นหนังสือออกมาสำหรับอ่านรายนามผู้ให้ทุนพิมพ์หนังสือมงคล ๓๘ คนที่มีเจตนาเป็นรายแรกคือ จ่าสิบตำรวจพัว ชระเอม แห่งจังหวัดสิงห์บุรี แจ้งมาว่าขอให้จัดทำ หนังสือมงคล เล่มนี้ขึ้น แล้วก็มอบเงินจำนวน ๔,๐๐๐ บาท เป็นเงินเริ่มต้น

สำหรับท่านผู้นี้ หนังสือประวัติของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ที่ออกมาสู่สายตาของบรรดาพุทธบริษัท ก็มีท่านจ่าสิบตำรวจพัว ชระเอม คนหนึ่ง แล้วก็ คุณสุวัฒน์ อีคนหนึ่ง เป็นผู้เริ่มต้นให้ทุนรายละ ๔,๐๐๐ บาท รวมเป็น ๘,๐๐๐ บาท แล้วต่อมาจากนั้นมาก็ คุณอรอนงค์ คุณะเกษม ได้เป็นนายทุนใหญ่นำหนังสือนั้นไปพิมพ์แจกในงานศพของบิดา

ต่อมาก็มีบรรดาท่านพุทศาสนิกชนหลายท่านมี ดร.ปริญญา นุตาลัย คนหนึ่ง แล้วก็ท่าน พล.อ.ต. ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์ อีกท่านหนึ่ง แล้วมีหลายท่านด้วยกันได้รวบรวมทุนกันพิมพ์ขึ้นมาเป็นลำดับ เป็นอันว่า หนังสือประวัติของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ได้พิมพ์มาแล้วหลายรุ่นจนกระทั่ง หนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานหนังสือมหาสติปัฏฐานสูตร แล้วก็ หนังสือไตรภูมิ แต่ว่าหนังสือทุกฉบับที่จะปรากฏเป็นอักษรขึ้นมาได้ ก็อาศัยท่าน พลอากาศตรี หม่อมราชวงศ์เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมสื่อสารทหารอากาศและบรรดาบุตรหลานช่วยกันคัดลอกเป็นตัวอักษรขึ้นมา

ทั้งนี้ก็เพราะว่าสำหรับอาตมาเอง ไม่มีปัญญาที่จะเขียนเป็นตัวอักษรขึ้นมาได้ด้วยกำลังกายไม่มี อาศัยความแก่เฒ่าชรา เป็นสำคัญ แล้วประกอบไปด้วยร่างกายมีโรคภัยไข้เจ็บเป็นประจำส่วนมากต้องการจะอ่านเป็นหนังสือ

ในเมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัทหลายท่านที่ฟัง สถานีวิทยุ ๐๔ ในการที่อาตมานำเอามงคล ๓๘ ประการขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามาออกอากาศมีบรรดาท่านพุทธบริษัทส่วนมากต้องการจะอ่านเป็นหนังสือ ฉะนั้น จึงได้พยายามเรียบเรียงใหม่โดยการบันทึกเสียงใหม่ไม่ใช่เอาเป็นตอนเป็นวรรค เฉพาะวันพุธ เพราะว่าการอ่านแบบนั้นรู้สึกว่าจะไม่ปะติดปะต่อกัน แต่หนังสือเล่มนี้จะปรากฏขึ้นมาได้ ก็ต้องอาศัยเรี่ยวแรงของท่าน พลอากาศตรี หม่อมราชวงศ์เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมสื่อสารทหารอากาศเป็นหัวหน้าในการคัดลอกตามเดิม

สำหรับอาตมาเองก็ใช้แต่เพียงสียงแต่ว่าเสียงที่จะพึงใช้ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยจะสะดวกนัก ร่างกายไม่สมบูรณ์ตามแบบฉบับธรรมดาของคนที่เกิดมาในโลก มันก็เป็นอย่างนั้น เป็นอันว่า อาตมาขอขอบคุณบรรดาพุทธบริษัททุกท่านที่พยายามให้ทุนในการที่จะพิมพ์หนังสือมงคล ๓๘ ประการ สู่สายตาของบรรดาท่านพุธบริษัท มีท่านจ่าสิบตำรวจพัว ชระเอม คนหนึ่งแล้วก็อีกท่านหนึ่งที่ปรารถนาจะให้ทุน ก็คือ คุณวารุณี สุนทรเวช บุตรสาว ท่านพระยาแพทยพงศาสุภาธิบดี แล้วที่จะมีใครอีกบ้าง อันนี้อาตมาก็ยังไม่ได้ทราบ

เป็นอันว่า ขอทุกท่านที่ร่วมทุนก็ดี ร่วมกำลังแรงก็ดี ช่วยคัดลอกเสียงออกมาเป็นหนังสือนี้ ขอผลความดีนี้จงมีแก่พุทธบริษัททุกท่าน ความดีใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุแล้วของบรรดาท่านพุทธบริษัทที่มีความสนใจประกาศพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ด้วยการออกทุนก็ดี ออกแรงในการคัดลอกก็ดี ขอให้ทุกท่านทั้งหมดนี้ จงบรรลุธรรมตามที่พระพุทธเจ้าทรงบรรลุแล้วในชาตินี้เถิด

ต่อจากนี้ไป ก็จะขอพูดเรื่อง “มงคล” คำว่า “มงคล” นี้ ปรากฏมีแก่จิตใจของบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน และไม่ใช่พุทธศาสนิกชนมานาน โดยเพฉาะอย่างยิ่งในสมัยก่อนที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้ตรัส มงคล ๓๘ ประการกับเทวดา ความจริงเรื่อง “มงคล” นี้ พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสกับคน ทรงเทศน์ให้เทวดาฟัง เพราะว่าท่านผู้ไปถาม “มงคล” เป็นเทวดา ไม่ใช่คน แต่ทว่าเรื่องราวของ “มงคล” เกิดขึ้นกับคนก่อน ตามพระบาลีที่องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ปรากฏว่าในสมัยนั้น องค์สมเด็จพระผู้ทรงสวัสดิโสภาคย์ได้ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว
แต่ทว่าองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ยังไม่ได้ตรัส มงคล ๓๘ ประการ แล้วก็เป็นโอกาสเดียวกัน ในเวลานั้นคนที่ไม่ได้มีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระพิชิตมารก็มีมาก เขาพากันคิดเรื่อง “มงคล” เขาถามกันว่า “อะไรเรียกว่ามงคล?” แต่ละคนแต่ละฝ่ายก็พากันคิดว่า “อย่างนี้เป็นมงคล อย่างนั้นเป็นมงคล”ตาเป็นมงคล

ตัวอย่างตามฎีกา มงคล ท่านกล่าวไว้ว่า บางท่านบอกว่า “สายตาเป็นมงคล คือ ตาย่อมเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้” แต่ก็มีผู้ค้านว่า “ตาน่ะเป็นมงคล ก็จริงแหล่ แต่ทว่าไม่ใช่มงคลตลอดกาล เพราะว่าถ้าความมืดปรากฏ ตาก็มองไม่เห็นอะไรหรือว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏมาบังสายตา ตาก็ไม่สามารถจะเห็นได้” เป็นอันว่าบุคคลที่กล่าวว่าตาเป็นมงคลก็แพ้ไป หูเป็นมงคลบางท่านบอกว่า “หูเป็นมงคล” เพราะเราจะได้ยินเสียงอะไรได้ก็อาศัยหูเป็นปัจจัย” แต่ก็มีคนค้านอีกเหมือนกัน บอกว่า “ถ้าฟังเสียงจากที่ไกลหูไม่สามารถจะฟังได้” เป็นอันว่าท่านที่กล่าวว่าหูเป็นมงคลก็แพ้ไป อย่างนี้เป็นต้นพระสงฆ์นำไปสวดตามงานมงคล

นี่มาเล่าสูกันฟัง ว่าในสมัยนั้น ยังไม่มีใครทราบว่าอะไรเป็นมงคลกันแน่ แม้ว่าสมัยนี้ก็เหมือนกัน สมัยที่องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสมลคลแล้ว และพระบาลีที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วตรัสไว้ว่าเป็นมลคล ก็มีบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายนำไปสวดให้บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนฟังอยู่เสมอเวลาที่ชาวบ้านพากันนิมนต์พระไปทำบุญบ้านหากกล่าวกันว่าเป็น งานมงคล คือ งานบวชนาคก็ดี (บวชคนให้เป็นพระนะ) หรือว่างานแต่งงาน งานโกนจุก งานขึ้นบ้านใหม่ งานขึ้นบ้านเก่าอะไรก็ตาม พระท่านมักจะขึ้นศัพท์ว่า อเสวนา จะพาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวนา เป็นต้น นี้ก็หมายความว่า พระท่านไปสวดสิ่งที่เป็นมงคลที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่เทวดาให้ประชาชนทราบ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดาย ทั้ง ๆ ที่มงคลที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ และบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนพากันได้ยินอยู่เสมอ แต่ว่าก็หาคนที่นำมงคลของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติได้ยากเต็มที บรรดาประชาชนยังถือวัตถุเป็นมงคลอยู่

ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าบรรดาประชาชนทั้งหลายยังถือวัตถุเป็นมงคลอยู่ เวลาจะทำงานมงคลสักที ตัวอย่างเช่นงานแต่งงาน มักจะพากันหาด้วยมาทำเป็สายสิญจน์แล้วทำเป็นมงคล เวลาที่จะทำมงคลก็ต้องหาอาจารย์ที่มีความสำคัญ มีความศักดิ์สิทธิ์ เสกมงคล จับมงคล และนอกจากนั้นก็ยังมีวัตถุอย่างอื่นที่อาศัยว่าเป็นมงคลใช้กันอยู่ใบเงิน ใบทอง ใบนาค

ตัวอย่างคือสมัยหนึ่ง ที่อาตมาได้พบในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ความจริงน่ะพบกันมาเรื่อยแต่ว่าวันนั้นเป็นวันพิเศษ บังเอิญเขานิมนต์อาตมาไปในฐานะเป็นหัวหน้าพระ ไปในงานแต่งงานของท่านผู้มีศีกดิ์ศรีใหญ่ท่านหนึ่งในต่างจังหวัด วันนั้น ปรากฏว่าสิ่งที่เป็นมงคลที่ชาวบ้านจัดมันมีครบ เช่น ใบเงิน ใบทอง ใบนาค นี่เขาสมมติกันว่าถ้าจะนำมงคลสำหรับน้ำมนต์แล้วก็ต้องมี ใบเงิน ใบทอง ใบนาค

เพราะหากว่ามี ใบเงิน คู่บ่าวสาวจะได้มีเงินมาก ๆ
ถ้ามี ใบทอง ก็มีทองมาก
ถ้ามี ใบนาค ก็มีนาคมาก
จัดว่าเป็นของมีค่าสูง
มีใบส้มป่อย

แล้วต่อมามองลงไปดูในขันน้ำมนต์ ก็มีใบส้มป่อย ถามเขาว่า “นี่ใช้ใบส้มป่อยทำไม?” เจ้าพิธีก็บอกว่า “เจ้าใบส้มป่อยนี้มีอานุภาพมาก มันสามารถจะกันปีศาจได้ คือว่าปีศาจร้ายก็ดี โชคร้ายก็ดี ไม่สามารถจะมีอำนาจมาทำร้ายแก่คู่บ่าวสาว” มีใบหนาด แล้วมองลงไปอีก ก็เห็นใบหนาด ถามว่า “มีใบหนาดไว้ทำไม?”เขาบอกว่า “กันผีร้าย” ก็เลยสงสัย ว่าปีศาจร้ายกับผีร้ายนี่มันต่างกันตรงไหน ถามว่า “ใบหนาดนี่น่ะ มันกันได้ยังไง ?”

เล่าเรื่อง “นางนาคพระโขนง”
เขาก็เล่าให้ฟังถึงเรื่อง “นางนาคพระโขนง” เรื่องนี้จะมีความจริงหรือไม่จริงเพียงใดก็ไม่ทราบ สมัยที่ นางนาคพระโขนง อาละวาด คนกลัวนางนาค เมื่อเห็นปีศาจนางนาคพระโขนงมาหลอก เขากระโดดเข้าไปในพุ่มส้มป่อย เป็นอันว่านางนาคไม่สามารถจะเข้าไปทำอันตรายแก่บุคคลทั้งหลายเหล่านั้นได้ อันนี้ก็น่าคิด มีใบมะตูม มองดูไปอีกนิด เห็น ใบมะตูม เข้า ก็ถามเขาว่า “ใบมะตูมนี้เอามาทำไม?” เขาก็บอกว่า “คู่บ่าวสาวจะได้มีเสียงตูมตาม ชื่อเสียงโด่งดัง” มองไปแล้วก็แปลกใจแล้วก็มานั่งคิดในใจว่า ถ้าใบเงินใบทอง หรือใบนาคทำให้คนร่ำรวยขึ้นมาได้ มีใบเงินมาก ๆ ทำให้คู่บ่าวสาวมีเงินมาก มีใบทองทำให้คู่บ่าวสารมีทอง มีใบนาคทำให้คู่บ่าวสาวมีนาค ซึ่งจัดว่าเป็นของมีค่า แล้วก็เป็นว่าถ้าสิ่งเหล่านี้สามารถจะบันดาลให้คนเป็นได้อย่างนั้น ก็เป็นอันว่าคู่บ่าวสาวทุกท่านที่แต่งงานกันไม่ต้องทำมาหากิน เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้บันดาลให้มีความสุข มีทรัพย์สมบัติมาก

แต่ว่าความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น เห็นคู่บ่าวสาวทุกท่านที่แต่งงานกัน ก็มีสิ่งที่เป็นมงคลที่เป็นวัตถุแบบนี้ แต่ในที่สุดก็ต้องหากินตัวเป็นเกลียว ดีไม่ดีก็หาไม่ค่อยจะพอกินเสียด้วยนี่ ต้องปฏิบัติความดีให้เข้าถึงความเป็นมงคล

เป็นอันว่า บรรดาวัตถุที่บรรดาบุคคลทั้งหลายเห็นว่าเป็นมงคลไม่ได้ช่วยให้คนร่ำรวยขึ้นมา ซึ่งตรงกันข้ามกับที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์พระองค์ตรัสว่า “การที่จะนำมงคลเข้ามาสู่ตัวนี้ ต้องปฏิบัติความดีให้เข้าถึงความเป็นมงคล” เป็นอันว่ามงคลของชาวบ้านเป็นมงคลนักคิด คือคิดว่าสิ่งนั้นเป็นมงคล ส่งนี้เป็นมงคล แต่ว่ามงคลขององค์สมเด็จพระทศพลนี้เป็นมงคลสำหรับปฏิบัติให้เกิดขึ้น นี่และบรรดาท่านผู้อ่าน ความเห็นเกิดไม่ตรงกันระหว่าง “ชาวบ้าน” กับ “ชาววัด” คำว่า “ชาววัด” ก็คือ พระพุทธเจ้า มีใบมะยม

คราวนี้ในงานนั้นเป็นงานเดียวกัน เวลาที่พระสวดชัยมงคลคาถา หมายความว่าจะสวดชยันโตกันแล้ว จะประพรมน้ำมนต์ให้แก่คู่บ่าวสาวให้มีมงคล ท่านเจ้าภาพใหญ่เป็นผู้หญิงเขาเรียกกันว่าคุณนาย ก็ไม่ทราบว่าท่านจะเป็นนายใครจะเป็นนายตัวเองหรือว่านายคนอื่นก็ไม่ทราบ แต่ที่ทราบจริง ๆ น่ะ ท่านไม่ได้เป็นนายใครที่ไหน คือท่านเป็นนายใจของท่านจะว่าท่านเป็นนายใจนี่มันก็ไม่แน่ มองดูให้ชัดท่านจะเป็นนายหรือว่าจะเป็นคนของนายเข้าใจว่าเป็นคนของนายมากกว่าคือว่าเจ้านายที่บังคับบัญชาท่านก็คือ อุปาทาน ความยึดมั่น เพราะว่าเวลานั้นเมื่อสวดพระปริตรจบความจริงก็สวดมงคลผ่านไปแล้ว

ตานี้มาถึงบทชยันโตจะเกิดขึ้น คุณนายท่านก็มองเห็นว่า ใบมะยม ไม่มี ท่านก็เลยใช้คนใให้ไปเด็ดใบมะยม บอกว่า “นี่นายไสว เธอจงไปเด็ดเอาก้านมะยมมา ๙ ก้านนะ ประเดี๋ยวพระท่านจะพรมน้ำมนต์แก่คู่บ่าวสาว ใบมะยมนี้มีความสำคัญมาก นี่ฉันส่งแล้วนะ ฉันบอกแล้วว่าให้หาใบมะยมมาตั้งแต่วันวาน ทำไปจึงไม่มีใครจัดการนำมาให้ ถ้าไม่มีใบมะยมละก็ ลูกสาว ลูกเขยของฉันจะไม่เป็นที่นิยมของบรรดาประชาชนทั่วไป”

ท่านผู้อ่านที่รัก ฟังคำนี้แล้วก็นึกสะดุดใจ จะว่าสลดใจมันก็ไม่ควรจะว่ามันเป็นเรื่องขบขันรึ ก็ไม่ควร เหมือนกัน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าท่านบอกว่า ใบมะยมนี่ ถ้าเอามาใช้เป็นเครื่องพรมน้ำมนต์ละก็ ลูกสาว ลูกเขย ของท่านจะเป็นที่นิยมชมชอบของบรรดาประชาชนทั่วไป ฟังแล้วก็หนักใจ เคยเห็นมาหลายรายแล้ว ทุกงานเขามีใบมะยมเหมือนกัน แต่ก็มีหลายรายที่ชาวบ้านไม่ชอบใจ เพราะว่าคู่บ่าวสาวคู่นั้นกลายเป็นคนปากร้าย มีจริยาเสีย แทนที่จะเป็นที่นิยมชมชอบของชาวบ้าน กลับเป็นที่เกลียดชังของชาวบ้าน แต่ทว่าคุณนายท่านบอกว่า ถ้าไม่มีใบมะยมจะไม่เป็นที่นิยมของประชาชน

นี่เป็นอันว่า บรรดาคนทั้งหลายชอบวัตถุหาวัตถุมาเป็นมงคล เมื่อ นายไสว ได้รับคำสั่งของคุณนาย ก็วิ่งไปหาต้นมะยม ไปเด็ดเอาก้านมะยมมา ๕ ก้านแทนที่จะเป็น ๙ ก้าน มาส่งให้ท่านคุณนาย ท่านคุณนายรับก้านมะยมมาแล้วก็มานั่งนับ ปรากฏว่าไม่ใช่ ๙ ก้าน มันเป็น ๕ ก้าน

อีตอนนี้แหล่ะท่านผู้อ่าน สิ่งที่เป็นมงคลมันเกือบกลายเป็นอัปมงคล เพราะอะไร เพราะว่าท่านคุณนายหน้าเขียว แล้วก็ตาแสดงความโกรธจัด หันไปดุ นายไสว บอก “นี่ฉันสั่งให้เธอเอามา ๙ ก้านนะ ลูกของฉันจะได้ก้าวหน้า แล้วก็มีความนิยมชมชอบของบรรดาประชาชนทั้งหลาย แล้วฉันสั่งเอามา ๙ ก้าน เธอทำไมจึงเอามา ๕ ก้าน

อาตมาในฐานะที่เป็นหัวหน้าพระในวันนั้นก็เลยเห็นไม่เป็นการ ว่างานมงคลนี้ มันจะกลายเป็นอัปมงคลไปเสียแล้ว ในฐานะที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ก็เลยหาทางตัดเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี ความจริงก็ไม่ได้คิดว่ามันจะดีขึ้นมาได้เหมือนกัน เดา ๆ เอายังงั้นเอง ก็เลยถามว่า “คุณนาย ก้านมะยมที่ นายไสวไปหยิบมาน่ะ กี่ก้าน” คุณนายแกบอกว่า “ ๕ ก้านเจ้าค่ะ ดิฉันสั่งให้ไปเอา ๙ ก้าน จะได้ก้าวหน้า” อาตมาก็เลยบอกว่า “แหม..นายไสว นี้แกเป็นคนมีมงคลจริง ๆ นี่ความจริงคุณนายเป็นคนมีโชคดีมากนะ แล้วก็คู่บ่าวสาวทั้งสองนี้เป็นคนที่มีโชคดีจัด” คุณนายแกมองหน้า ถามว่า “ทำไม” ก็เลยบอกกับแกว่า “ความจริงใบมะยม ๙ ก้านน่ะ ท่านเทียบกับนวหรคุณความดีของพระพุทธเจ้า ๙ อย่าง อันนี้จัดว่าเป็นความดีอย่างประเสริฐ แต่ทว่าก้านมะยม ๕ ก้าน นี่ก็หมายถึงว่าความดีของพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ มาร่วมกัน ถ้าเราเอา ๕ คุณ ๙ มันจะได้เท่าไหร่ ความดีจะสูงเป็นมหันต์ ความเป็นมงคลใหญ่จะปรากฏ”

พอพูดเท่านี้มันจะเป็นพูดปดหรือไม่ปดก็ไม่ทราบ ยังนึกไม่ออกเลยว่าตัวพูดไปเองนี่จะบาปหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ทว่าคุณนายยิ้มมาได้ ยิ้มแบบสดชื่น บอก “ยังงั้นหรือเจ้าคะ ดิฉันไม่ทราบ เห็นเขานิยมกันว่า ๙ ก้าน ๆ ก็นึกว่า ๙ ก้านเป็นของประเสริฐ นี่บังเอิญ ๕ ก้านนี่ ไปตรงกับพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ แล้วพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ก็มีคุณธรรมประเสริฐ ๙ อย่าง เมื่อเอา ๕ คูณ ๙ ก็ได้มากกว่า ๙ ธรรมดา” เป็นอันว่า นายไสว ไม่ถูดุต่อไป คุณนายยิ้มชอบใจ เป็นอันว่า วันนั้นงานมงคลก็เป็นมงคลต่อไปได้

นี้แหละบรรดาท่านผู้อ่านทั้งหลาย วัตถุที่เป็นมงคล และคนที่ชอบคิดว่าวัตถุเป็นมงคลยังมีอยู่มาก แม้แต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสสั่งสอนไว้แล้ว เขาก็ยังคิดว่าวัตถุเป็นมงคล แต่ความจริงองค์สมเด็จพระบรมครูไม่ได้เคยคิดอย่างนั้นคิดว่า การกระทำความดีเท่านั้น เป็นมงคล แล้วก็บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนที่เป็นผู้อ่าน ท่านมีความเห็นตรงกับพระพุทธเจ้าไหมท่านมีความเห็นตรงหรือไม่ตรง อาตมาไม่ตำหนิแล้วก็ไม่สรรเสริญ เพราะอะไร เพราะไม่รู้นี่ว่าอย่างไหนมันดีกันแน่ นี่ว่ากันถึง “มงคลนักคิด” “มงคลนักคิด” กับ “มงคลนักทำ”

ต่อมา มาว่ากันถึงมงคลของพระพุทธเจ้าคือเป็น “มงคลนักทำ”คือทำให้เป็นมงคลขึ้นมา ไอ้การคิดว่าวัตถุเป็นมงคลนี้ มันไม่มีผลกันแน่ เพราะว่า

การมีใบเงินใบทอง คนก็ไม่ได้รวย
มีใบมะตูม ชื่อเสียงก็ไม่ได้โด่งดัง
มีใบส้มป่อย ใบหนาด ก็ไม่ปรากฏว่า คนประเภทนั้นพ้นจากอำนาจของผี
มีใบมะยม ขึ้นมาเช่นนี้ ก็ไม่จริงว่าจะถูกนิยมชมชอบเสมอไป

เป็นอันว่า มงคลของบรรดาท่านนักคิดทั้งหลายยังแพร่หลายอยู่ในปัจจุบัน เวลาที่พระท่านสวดมงคล ๓๘ ประการ ทุกคนก็ฟังแต่ก็เป็นที่น่าสงสัยเหมือนกันว่าพระที่สวด มงคล ๓๘ ประการ ท่านรู้เรื่องราวที่ท่านสวดบ้างหรือเปล่า หรือว่าท่านรู้แล้ว แต่ตัวท่านเองปฏิบัติตามนั้นให้เป็นมงคลแต่ตัวเองบ้างหรือเปล่า แบบนี้สงสัย

แล้วอีกประการหนึ่ง ที่บรรดาพุทธศาสนิกชนทั้งหลายฟัง มงคล ๓๘ ประการ รู้หรือเปล่าว่าพระท่านว่ายังไง ถ้าหากว่าท่านรู้ นำมงคลขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไปปฏิบัติบ้างหรือเปล่าตรงนี้ก็สงสัยเหมือนกัน ที่สงสัยก็เพราะว่าเคยเห็นพระหลายท่าน ท่านสวดมงคลคล่องแต่ทว่าท่านไม่ได้นำเอาเรื่องราวของมงคลที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไปปฏิบัติ นี้ไม่ได้นินทาพระนะ บรรดาท่านพุทธบริษัท พูดให้ฟัง

แล้วก็บรรดาท่านพุทธศาสนิกชกก็เหมือนกัน ฟัง มงคลจักรวาลกันมาไม่รู้จักท่านไหร่แต่ก็ไม่เคยมีใครนำมงคลของพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไปปฏิบัติให้ครบถ้วน ทั้งนี้ จะมีเหตุผลด้วยประการใดอาตมาไม่วินิจฉัย.
(โปรดอ่านต่อฉบับหน้า)

ส่งบทความโดย sopa2511 ขออนุโมทนาด้วยอย่างสูง


‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-5-4 15:24 , Processed in 0.058541 second(s), 14 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.