แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 4797|ตอบ: 5
go

ตายไม่สูญ…แล้วไปไหน ...ประสบการณ์ตายของหลวงพ่อปาน [คัดลอกลิงค์]

Rank: 9Rank: 9Rank: 9

ตายไม่สูญ…แล้วไปไหน เรื่อง...ประสบการณ์ตายของหลวงพ่อปาน
วันที่: วันจันทร์ 28 พฤษภาคม 2007 @ 13:28:50
หัวข้อ: บทความคำสอนปกิณกะ




ตายไม่สูญ…แล้วไปไหน เรื่อง --- ประสบการณ์ตายของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

“..สมัยหลวงพ่อปานอายุ 38 ปี ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นผู้มีความดีประกอบไปด้วยความเมตตาปรานี ท่านเป็นพระที่ช่วยป้องกันคนอื่นมามากก็ตาม แต่ขึ้นชื่อว่ากฎของกรรมไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ วันหนึ่งหลวงพ่อปานไปที่วัดประตูสาน จังหวัดสุพรรณบุรี วัดนี้อยู่ทางฝั่งตะวันตกของจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นต้นทางที่จะไปวัดป่าเลไลย์ในสมัยนั้น ตอนเย็นท่านเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ ก็ถอดอังสะ อังสะของท่านมีพระเครื่องอยู่ด้วย แล้วท่านก็ล้มลุกไม่ได้ ท่านถูกบังฟัน เขาใช้คาถา ตั้งใจจะฟันคนไหน เขาก็ฟันผักฟันฟักแฟงก็ตามเขาก็ว่าคาถาจะฟันให้ถูกตรงนั้น เขาฟันวัตถุแต่แผลมันปรากฏในร่างกาย ผิวหนังภายนอกไม่ปรากฏรอยแผล ท่านถูกบังฟันเป็นแผลยาวในอกข้างในและยังเป็นรอยนูน ผลที่สุดก็ต้องหามกันลงเรือแจว หลวงพ่อปานเวลาท่านไปไหนท่านใช้เรือสัมปันนีมีเก๋ง ทาสีขาวทั้งลำ มีคนแจวหัวแจวท้าย ในขณะนั้นท่านมีอาการใกล้ปางตาย ท่านขอร้องให้พาท่านกลับวัด พอมาถึงวัดบางซ้ายในปรากฏว่าอาการของท่านหนักมาก ท่านบอกให้แวะเข้าไปที่วัดบางซ้ายในก่อน ให้หามท่านขึ้นไปบนศาลา ก็อาศัยศาลาท่าน้ำนอนอยู่ แล้วให้ไปตามอาจารย์จาบ เป็นหมอและเป็นเพื่อนท่าน ต้องใช้ม้าไปรับกันในสมัยนั้น ที่บางบาลมันไกลมาก

อาจารย์จาบมาถึงจับชีพจรแล้วบอกว่า “ท่านปานยังไม่ตาย ไปธุระประเดี๋ยวก็กลับ” อาจารย์จาบบอกว่า “ยาฉันเป็นยาสูง พระต้องใช้ยาสูง ใช้ยาต่ำไม่ได้” สมัยนั้นเป็นป่า เป็นดง เป็นทุ่ง ตลาดไม่มี ท่านก็เดินไปเด็ดยอดไม้ ยอดมันสูง ท่านก็บอก “นี่เขาเรียกยาสูง” วันนั้นยังไม่ฟื้น ผ่านไปสัก 6-7 ชั่วโมงใกล้รุ่ง หลวงพ่อปานจึงรู้สึกตัวและก็ฉันยาของอาจารย์จาบ เป็นอันว่าท่านก็หายและก็เล่าความเป็นมาให้ฟังว่า

ขณะที่ท่านเจ็บ เขาก็หามลงเรือ ท่านก็ภาวนาบ้าง พิจารณาบ้างให้จิตเป็นสุข ท่านไม่ได้ปล่อยกรรมฐานเลย ต่อมาอาการมันเครียดหนักท่านจึงสั่งให้ขึ้นวัดบางซ้ายใน คิดว่าไม่ถึงวัดบางนมโค เพราะจากวัดบางซ้ายในถึงวัดบางนมโคต้องแจวเรือ 2-3 ชั่วโมง หลวงพ่อปานท่านบอกเห็นท่าไม่ไหว ก็ขึ้นไปนอนจับพระกรรมฐานเป็นปกติ ทุกคนในที่นั้นบอกว่าท่านสลบไป แต่ท่านบอกว่าท่านไม่ได้สลบ อทิสสมานกายมันออก คือตัวในออกจากตัวนอกมีสภาพเป็นกายเดินออกไปเรื่อยๆตามสบาย พอไปถึงจุดสุดเข้าเขตชั้นดาวดึงส์ใกล้จะเข้าชั้นดุสิต เห็นอาคารลิบๆอยู่ข้างหน้าแพรวพราวระยิบระยับ เป็นสง่าสวยสดงดงามมาก ท่านตั้งใจจะไปสู่อาคารหลังนั้น ปรากฏว่าขณะนั้นก็ได้ยินเสียงเรียกขึ้นว่า “ท่านปาน ท่านปาน หยุดก่อน” ท่านจึงเหลียวหลังมาดูเห็นพระพุทธเจ้ายืนงามสง่าสวยอร่าม มีฉัพพรรณรังสีรัศมี 6 ประการ ท่านก้มลงกราบพระองค์ พระองค์ตรัสว่า “จะไปไหน” หลวงพ่อปานตอบว่า “จะไปชั้นดุสิต” พระองค์บอกว่า “คุณปาน คุณยังไปไม่ได้ ภาระใหญ่ของคุณยังมีมาก วัดวาอารามคุณยังสร้างไม่เสร็จและกิจอื่นที่คุณต้องทำยังมีอยู่ จงกลับไปปฏิบัติงานให้เสร็จสิ้นเสียก่อนจึงจะไปได้ สถานที่นี่เธอมีโอกาสจะได้อยู่แน่นอน” หลวงพ่อปานก็บอกว่า “ร่างกายมันไม่ดี ทนไม่ไหว ทุกขเวทนามันหนักทนไม่ไหวจึงออกมา” พระองค์บอกว่า “หมอจาบเขามาแล้วรักษาแผลได้และพิษต่างๆสลายตัวแล้ว กลับลงไปเถอะ” พอสิ้นเสียงของพระพุทธเจ้าก็ปรากฏว่าจิตเข้าร่างพอดี ท่านก็ลืมตาขึ้นใกล้สว่างแล้วของวันใหม่

หลวงพ่อปานท่านบอกว่ามันเป็นกฎของกรรม มาจากโทษปาณาติบาตทำให้ร่างกายไม่ดี ในชาตินี้โทษปาณาติบาตของท่านเห็นจะไม่มี และท่านก็บอกอีกว่า “ต่อไปฉันก็ต้องตายด้วยแผลอันนี้ แต่เวลานั้นแผลหายไปหมดแล้ว” นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ท่านก็ไม่มีความประมาทในชีวิต คิดว่าความตายอยู่แค่ปลายจมูก ถ้าสิ้นลมปราณเมื่อไรก็ตายเมื่อนั้น เมื่อหายจากอาการไข้แล้ว ท่านก็เร่งรัดทำความดีหนักขึ้น คือสงเคราะห์บรรดาประชาชนทั้งหลายด้วยการรักษาโรคบ้าง มีใครอดอยากที่ไหนท่านก็นำอาหารการบริโภคไปแจก พระวัดไหนไม่มีกฐินจะรับ ท่านก็ไปทอดกฐินถึง 17 วัด การก่อสร้างก็สร้างคราวเดียว 3-4 วัดพร้อมๆกัน และสำหรับจริยาวัตรนั้นก็สั่งสอนอบรมพระทุกๆ 15 วัน คือวันโกนของกลางเดือนกับวันโกนของวันสิ้นเดือน ท่านจะต้องประชุมพระแนะนำข้อวัตรปฏิบัติตามพระวินัย วิธีที่จะปฏิบัติให้เข้าถึงจุดอย่างง่ายๆและอุปสรรคในการปฏิบัติพระกรรมฐาน

การที่ท่านทำทุกอย่างอย่างนั้นจัดเป็นมหากุศล เพราะการทำบุญที่เป็นส่วนสาธารณชนนั้น เช่น เอาข้าวสารเอาอาหารไปแจกคนยากจน เอาเสื้อผ้าไปแจก ถ้าจะเปรียบการให้ประเภทนี้ก็มีความดีคล้ายกับถวายสังฆทานแต่เสมอสังฆทานไม่ได้ เพราะสังฆทานเป็นทานที่หมายเอาพระพุทธเจ้าเป็นประธานมีพระอริยสงฆ์เป็นผู้รับ การที่เราให้กับคน บางทีคนที่รับก็เป็นคนมีศีลไม่บริสุทธิ์ อานิสงส์ก็น้อยไปหน่อย แต่ถึงจะน้อยประการใดก็ตามที บุญบารมีประเภทนี้ก็สามารถจะส่งผลให้เราเข้าถึงพระนิพพานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าตายในชาติปัจจุบัน ทางที่เราจะไปได้ก็คือสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ตัวอย่าง ท่านอังกุรเทพบุตร ให้ทานแก่คนภายนอกพระพุทธศาสนา ปรากฏว่าตายจากมนุษย์แล้สไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก แต่ว่าสภาพร่างกายไม่ผ่องใสพอ มีศักดาไม่เสมอด้วยเทวดาทั้งหลาย แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นเทวดาแล้ว ถึงแม้จะเป็นเทวดาท้ายแถวก็ยังดีกว่ามนุษย์หัวแถวเพราะไม่มีแก่ ไม่มีหิว ไม่มีกระหาย ไม่มีความหนาว ไม่มีความร้อน ไม่มีการป่วยไข้ไม่สบาย จะมีก็เพียงเกิดเป็นเทวดาแล้วก็ตายจากการเป็นเทวดานั้นเอง

ฉะนั้น การบำเพ็ญกุศลทานแก่คนภายนอกพระพุทธศาสนา หรือแก่คนในเขตพระพุทธศาสนาแต่ว่าไม่มีความเคารพในพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง การบำเพ็ญกุศลด้วยจะมีผลน้อยก็ตาม แต่ถ้าทำบ่อยๆก็มากเหมือนกัน เพราะการเกื้อกูลซึ่งกันและกันเป็นปัจจัยให้เกิดความสุขทั้งในชาติปัจจุบันและชาติต่อไป ในชาตินี้ก็มีคนรักเรามากเพราะผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของบุคคลผู้รับ ไปทางไหนก็มีแต่คนไหว้คนเคารพ อันตรายก็ไม่มี การเดินทางไปไหนจะตกรถ ตกเรือ จะหิวตายไปในระหว่างทางจะไม่มีสำหรับคนประเภทนี้..”

จากหนังสือตายไม่สูญ…แล้วไปไหน โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ส่งบทความโดย คุณ sisi_gilly ขออนุโมทนาด้วยอย่างสูง

ไฟล์แนบ: คุณจำเป็นต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถดูและดาวน์โหลดไฟล์แนบได้ หากยังไม่มีแอคเคานต์หรือยังไม่ได้เป็นสมาชิก กรุณาสมัครสมาชิก

Rank: 1

ขออนุโมทนา สาธุๆๆ

Rank: 1

อนุโมทนาค่ะ

Rank: 1

อนุโมทนาด้วยครับ

Rank: 1

อนุโมทนาด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ

Rank: 1

กราบ นมัสการบูชาพระเดชพระคุณหลวงปู่ปาน ด้วยความเคารพ
ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ..สาธุ

‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-5-4 13:51 , Processed in 0.044737 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.