แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 15956|ตอบ: 3
go

พระธรรมเทศนา --- เรื่อง... อดีตของพระพุทธเจ้า [คัดลอกลิงค์]

Rank: 9Rank: 9Rank: 9



พระธรรมเทศนา --- เรื่อง... อดีตของพระพุทธเจ้า
วันที่: วันศุกร์ 25 พฤษภาคม 2007 @ 15:06:00
หัวข้อ: บทความคำสอนปกิณกะ







พระธรรมเทศนา

เรื่อง... อดีตของพระพุทธเจ้า

วันจันทร์ที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๒๓ โดย... หลวงพ่อพระราชพรหมยาน


นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)
สัพเพ สัตตา มริสสันติ มรณันตัง หิ ชีวิตังติ




ณ โอกาสบัดนี้ อาตมภาพจะแสดงพระธรรมเทศนา ในความเป็มาในอดีตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นเครื่องโสรจสรงองคศรัทธาบารมี ที่บรรดาท่านนริศราทานบดีทั้งหลาย ได้พร้อมในกันมาบำเพ็ญกุศลประจำปักษ์ คือ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนอ้าย วันนี้ตรงกับ วันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๒๓ เป็นวันจันทร์

การที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตั้งในมาบำเพ็ญกุศลบุญราศี เนื่องในวันขึ้น ๑๕ ค่ำนี้ ก็เพราะว่า อาศัยที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย มีความเคารพในองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหตุ จึงได้พากันปฏิบัติภามแนวคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ เช่น ในอันดับแรกที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เข้ามาในเขตวัด

บรรดาท่านพุทธบริษัทก็มีความเคารพในไตรสรณคมน์ทั้ง ๓ ประการ คือ เอา ดอกไม้ ธูป เทียน เครื่องสักการวรามิสมาบูชาองค์สมเด็จพระธรรมสามิสรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นต้น และประการที่ ๒ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ตั้งใจสมาทานศีล ถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์ ขั้นสุดท้ายตั้งใจตรง เพื่อประสงค์จะรับพุทธพจน์เทศนา อันเป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหตุ

การบำเพ็ญกุศลอย่างนี้ องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ตรัสว่า เป็นมหากุศลคือบุญใหญ่
ถ้าบุญบารมีของบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายยังอ่อนอยู่ องค์สมเด็จพระบรมครูก็ตรัสว่า จะได้เกิดอย่างน้อยที่สุด ก็เป็นเทวดา ถ้ากำลังใจแก่กล้า ก็สามารถเป็นพรหม ถ้าจิตไม่นิยมในมนุษยโลก เทวโลก และ พรหมโลก ปรารถนาในนิพพานก็หวังได้ การที่บรรดาท่านพุทธบริษัทั้งหลายบำเพ็ญกุศลนี้ จึงจัดว่าเป็นมหากุศลเป็นที่พึ่งใหญ่ของบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนต่อไป



พระเจ้าปเสนทิโกศล

ต่อไปนี้ อาตมาภาพจะนำความเป็นมาขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีต ในสมัยที่พระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีเพื่อพระโพธิญาณ แต่ทว่าในวันพระก่อนนี้นั้น ก็ได้กล่าวถึงเรื่องในสมัยองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่างถึงเรื่องราวของ พระเจ้าปเสนทิโกศล บรมกษัตริย์ พระบาทท้าวเธอถูก พระกาฬ ยั่วเย้าให้บำเพ็ญกุศล ว่านับตั้งแต่บัดนี้ไป ท่านจะตายจากความเป็นคนภายใน ๗ วัน

ต่อจากนั้นมา ก็ปรากฏว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล บรมกษัตริย์ ได้ปรึกษากับอำมาตย์ข้าราชบริพารทั้งหลาย มีปุโรหติเป็นต้น ในที่สุดพระองค์ก็ตัดสินในตามแนวทางของค์สมเด็จพระทศพล คือว่า
สร้างศาลาเป็นสาธารณะ เป็นที่พักของคนเดินทาง ๑
สร้างสะพานให้ความสะดวกกับบรรดาประชาชน ๑
ขุดบ่อน้ำเป็นที่อาศัยของประชาชนเป็นสาธารณะ ๑
และมีการปล่อยสัตว์ให้ปลอดภัยจากชีวิต ๑
เมื่อ พระเจ้าปเสนทิโกศล ปฏิบัติตามนี้แล้ว ก็นอนคอยเวลาตา ปรากฏว่า
๗ วันที่หนึ่ง ก็ไม่ตาย
๗ วันที่สอง ก็ไม่ตาย
๗ วันที่สาม ก็ไม่ตาย
ก็ทนอยู่ไม่ไหว จึงได้ส่งคนไปถาม พระกาฬ ว่า ทำไมจึงทำตนเป็นคนโกหก บังคับบอกว่า เราจะตายภายใน ๗ วัน ต่อมาเมื่อคนไปพบ พระกาฬ แล้ว ปรากฏว่า พระกาฬ ตอบมาว่า

ที่ไม่ตายเพราะสร้างความดีเป็นสาธารณะประโยชน์ เช่น สร้างสถามที่พักสำหรับคนเดินทางไป คนเดินทางมา เขาร้อนมีความเหนื่อยยาก ได้พักเป็นที่อาศัย เป็นเหตุให้สบายกาย สบายใน ที่เป็นอานิสงศ์อันหนึ่ง และประการที่ ๒ การทำทางให้คนเดินสะดวก เพื่อความสะดวกของบรรดาประชาชนด้วยเหตุให้เกิดความสุข อันนี้เป็นความสบายใน เป็นอานิสงส์ใหญ่ เป็นเหตุที่สอง

การขุดบ่อน้ำ หรือสร้างสะพานเป็นสาธารณะ นี่ก็เป็นปัจจัยให้บรรดาประชาชนทั้งหลาย มีความสุขในการเดินทาง และการหิวโหยน้ำ อ่อนเปลี้ยเพลียมา ได้น้ำเป็นที่อาศัย
และการปล่อยสัตว์ที่จะพึงตายให้รอดชีวิต นี่ก็เป็นอานิสงส์ใหญ่

พระกาฬ บอกว่า การทำอย่างนี้ จึงไม่ตายภายใน ๗ วัน และยังไม่ตายต่อไปอีกหลายวัน เกินหลาย ๗ หลาย ๑๐ หลายร้อยเจ็ด มันก็ไม่ตาย จนกว่าจะถึงอายุขัย
เป็นอันว่า เทศน์วันพระก่อน คือ วัน ขึ้น ๘ ค่ำ เดือนอ้าย ก็หมายความว่า เป็นการเทศน์ต่ออายุขัย ต่ออายุคนที่จะพึงตายในระหว่างท่ามกลางของอายุ ที่เรียกกันว่า "กาลมรณะ"

สำหรับวันนี้ ก็จะขอเทศน์เป็นการตัดอายุ เนื้อความก็มีอยู่ว่า เมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงพระชมน์อยู่ ในวันนั้นองค์สมเด็จพระบรมครู ไปทรงกล่าวกับบรรดาท่านพุทธบริษัทว่า

"ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัพเพ สัตตา มริสสันติ มรณันตัง หิ ชีวิตัง คนเราเกินมาเท่าไรตายหมดเท่านั้น" หมายความว่า คนทุกคน และสัตว์ทุกประเภทที่เกิดมาแล้วมันก็ต้อยตาย

และต่อมาภายหลังจากนั้นไซร์ เมื่ออายุ ๘๐ ปี องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน ดับขันธ์ คือ ตาย ในตอนนี้ไซร้ ก็ปรากฏว่า มี อรรถกถาจารย์ทั้งหลาย พยายามรวบรวมคำสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เทศน์ไว้ อยากจะทราบว่า เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาเคยเทศน์ไว้ว่า

การที่มีความคล่องใน อิทธิบาท ๔ คือ
ฉันทะ ความพอใน
วิริยะ ความเพียร
จิตตะ การจดจ่อ การเพียรในกิจการ
วิมังสา การใคร่ครวญการงานที่ทำเสมอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การคล่องใน อิทธิบาท ๔ ในด้านของการปฏิบัติธรรม ผู้ที่คล่องจริงๆในอันดับต้น ได้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าท่านที่คล่องรองลงมา ก็คือบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย ก็ท่านทั้ง ๒ ประเภทนี้ คือพระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี ถ้ามี อิทธิบาท ๔ ไม่ครบถ้วนบริบูรณ์จะบรรลุคือตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานไม่ได้



เหตุผลที่พระพุทธเจ้าต้องมีอายุ ๘๐ ปี

แต่ว่าทำไมองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงเคยกล่าวไว้ว่า ผู้ที่เคยคล่องใน อิทธิบาท ๔ ประเภทนี้สามารถจะอธิฐานตนให้อยู่ถึงกัปหนึ่งก็ได้ และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับมานิพพานเมื่อระหว่างอายุของพระองค์อายุได้ ๘๐ ปี ตอนนี้พระอรหันต์ทั้งหลายก็มีความสงสัยแต่ทว่าบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย ตั้งแต่ปฏิสัมภิทาญาณก็ดี ได้อภิญญาหกก็ดี วิชชาสามก็ดี ท่านทั้งหลายเหล่านี้ไม่สงสัยรู้ด้วยอำนาจของ อดีตังสญาณ แต่ทว่าสำหรับอรหันต์ขั้นสุกขวิปัสสโกนี้ต้องสงสัย เพราะว่าไม่ได้ญาณวิเศษ จึงได้ค้นคว้าคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ในที่สุดก็พบว่า สมเด็จพระนราสภ คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แทนที่จะมีอายุ ๑ กัป อย่างที่เขากล่าวกัน แต่ทว่าการที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาต้องมีอายุ ๘๐ ปี เหตุผลก็เป็นมาอย่างนี้ ตามที่องค์สมเด็จพระชินศรีทรงกล่าวว่า

อตีเต กาเล ดูก่อนภิกษุทั้งหลายในอดีตกาลตถาคตเสวยพระชาติเป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมีเพื่อจะได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถอยหลังจากชาตินี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากลับไปหลายพันชาติ เวลานั้นสมเด็จพระบรมโลกนาถทรงบำเพ็ญบารมีใกล้จะถึง ปรมัตถบารมี พระวรกายของพระองค์นี้ มีส่วนพิเศษอยู่จุดหนึ่ง คือ เท้าทั้งสอง ในอุ้งระหว่างกลางเท้าทั้นสองนี่ มีรูปกงจักรอยู่ด้วยเป็นสีแดง

ในเวลานั้นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า คือเกิดเป็นลูกคนจน ทำมาหากินอยู่ในป่า ต่อมาท่านบิดาก็ตาย เหลือมารดาแต่ผู้เดียว ท่านก็ปฏิบัติตนเป็นคนประกอบไปด้วยความกตัญญูรู้คุณ หาเช้ากินค่ำ หรือหาค่ำกินเช้า นำเอาอาหารมาเลี้ยงมารดาเป็นที่รัก คือว่าท่านเป็นคนป่าก็ตัดฟืนขาย เข้าป่าก็แต่เช้ากลับมาจนบ่าย จนเย็น อาบน้ำ อาบท่า กินน้ำบริโภคอาหารเสร็จ แล้วก็นำฟืนไปขาย ได้เงินเท่าไรก็มามอบแก่มารดา มารดาก็จัดเงินทั้งหลายเหล่านี้ จัดหาอาหารมาเลี้ยงดูกัน

เจ้ารากษสขึ้นมาอาละวาด

เป็นอันว่ารายได้ขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา เวลานั้นก็เต็มไปด้วยการฝืดเคืองมาก ท่านกล่าวว่าในคราวนั้น พระราชามีความลำบากด้วยักษ์ตนหนึ่ง ที่เขาเรียกว่า "รากษส" นี่ก็มีสภาพเหมือนยักษ์ แต่ว่าเป็นยักษ์ที่อยู่ในโพรงและอุโมงค์ใต้ดิน น่ากลัวจะเป็นยักษ์ปลาไหล เพราะอยู่ในโพรงและใต้ดินมันมีบ่ออยู่ แต่ว่าทางขึ้นก็ทำเป็นปล่องขึ้น การขุดอุโมงค์อยู่ใต้ดิน

เจ้า รากษส ตัวนี้ปรากฏว่า ถึงเวลาฤดูหนึ่ง ถ้าเวลานี้เปรียบกับเวลา ตรุษสงกรานต์ เป็นงานเกี่ยวกับนักขัตฤกษ์ประจำปี

เจ้า รากษส ตัวนี้ก็ขึ้นมาจับคนเอาไปกินเป็นอาหาร ทำอย่างนี้เป็นเวลา ๒-๓ ปีในแดนไกล
ต่อมา พระราชาทรงทราบจากบรรดาประชาชนทั้งหลายว่า เจ้า รากษส ขึ้นมาอาละวาดเจ้า รากษส ตัวนี้ขึ้นมาเป็นเวลากาล ถ้าถึงฤดูนั้นถึงเดือนนั้นวันนั้นมันก็ขึ้นมาจับคนกินเป็นอาหาร จับไปเป็นอาหาร เพื่อเป็นเสบียงกรัง ทำอย่างนี้ เป็นเวลา ๒-๓ ปี จนเป็นที่แน่ใจของบรรดาประชาชนทั้งหลาย ว่าวันนี้แหละเจ้า รากษส จะขึ้นมาจับคนไปกินจึงได้ไปกราบพระราชาให้ทรงทราบ

พระราชาก็ป่าวประกาศคนที่มีฝีมือ ให้ไปสู้กับ รากษส ไปดักอยู่ที่ปากปล่องของ รากษสที่จะขึ้น ถ้ารากษส ขึ้นมาก็จะฆ่า รากษส ให้ตาย

แต่ว่าบรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลาย รากษส มีสภาพเป็นยักษ์ มีความดุร้าย มีกำลังมากแทนที่คนทั้งหลายที่รับอาสาพระราชา จะไปฆ่า รากษส ก็กลายเป็นอาหารของ รากษส อย่างดี คือ รากษส ไม่ต้องกินไกล จับคนทั้งหลายที่จะไปฆ่าเขา นำกลับไปกินเป็นอาหาร

ต่อมาพระราชาเห็นว่า คนทั้งหลายไม่สามารถสู้ รากษส ได้ การประกาศให้บรรดาคนที่มีฝีมือทั้งหลาย ภายในขอบเขตของพระราชฐาน หรือใกล้พระราชฐาน ก็ไม่มีใครรับอาสาไปปราบ รากษส

ต่อมาพระราชาได้ ประชุมอำมาตย์ ข้าราชบริพารว่า "เราไม่สามารถปราบ รากษส นี้ได้เพียงใด ความเป็นพระราชาของเราก็ไม่สามารถจะคงอยู่ เพราะเราไม่สามารถจะให้ความปลอดภัยกับบรรดาประชาชนได้"

แล้วอาศับที่พระราชาองค์นี้ใช้ ทศพิธราชธรรม อันดี เป็นที่รักของปวงชนทั้งหลายบรรดาอำมาตย์ ข้าราชบริพารจึงประชุมกัน ว่าถ้าหากพวกเราไม่สามารถจะฆ่า รากษส ได้ พระราชาก็จะสละราชสมบัติ แล้วคนที่มาใหม่จะดีเท่าองค์นี้ หรือไม่ดี ก็ยังไม่แน่นัก จึงปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรดี จะให้พระราชาทรงครองราชย์ต่อไป

ในที่ประชุมก็กล่างกันว่า ทางที่ดีควรประกาศให้บรรดาประชาชนทั้งหลายทั่วประเทศที่มีความสามารถเข้าใจกันว่า พระราชามีบุญญาธิการอย่างนี้ และก็มีความดีอย่างนี้

ราษฎรจนที่ไหน พระองค์ก็ทรงจนด้วย
ราษฎรลำบากที่ไหน พระองค์ก็ทรงลำบากด้วย
หาทางช่วยราษฎรให้เป็นสุข พระราชาอย่างนี้เราหาได้ยาก ถ้ากระไร ก็ดี ก็ควรกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบว่า คนในประเทศของเราไม่มีเท่าที่เห็นอยู่ เพราะอยู่แดนไกลในขอบเขตต่างๆมีมากมาย ว่าควรจะประกาศให้บรรดาประชาชนทั้งหลาย ที่มีความสามารถแต่ไม่มีโอกาสเข้าเฝ้าพระราชา ที่จะรับอาสาฆ่า รากษส ในที่สุดเขากราบทูลให้พระราชาทรงทราบ แล้วก็ทำตามนั้น

มอบทองคำเท่าลูกฟักสำหรับผู้อาสา

ต่อมาพระราชาก็ส่งคนไปประกาศว่า ถ้าบุคคลใดสามารถจะฆ่า รากษส ให้ตายได้ในช่วงแห่งการรับอาสา จะมอบทองคำเท่าลูกฟักหนักเท่าตัวบุคคลผู้รับอาสา ให้เป็นทุนสำรองไว้ก่อน ทั้งนี้ก็เผื่อว่าไปพลาดพลั้งถูก รากษส ฆ่าตาย ทางบ้านจะได้ใช้ทองคำนี้จับจ่ายใช้สอยเป็นการประทังชีวิตให้มีความสุขแทนผู้ตาย ถ้าหากว่าบุคคลใดฆ่า รากษส ตาย แล้วตัวเองก็ไม่ตาย ทองคำก็ได้เป็นสิทธิอยู่แล้ว

แต่เมื่อเวลาที่กลับมาประเทศเขตพระนครพระราชาจะให้เป็นมหาอุปราช คือไปมีตำแหน่งรองจากพระราชา

วันนั้นก็ปรากฏว่า หน่อพระบรมโพธิสัตว์เข้าป่าหาฟืน เข้าป่าไป จะเข้าหาฟืน แต่ไม่ทันจะเข้าเดินออกจากบ้าน ก็ได้ยินเสียงประกาศจากอำมาตย์ ข้าราชบริพาร ว่าถ้าบุคคลผู้ใดรับอาสาฆ่า รากษส ได้ พระราชาจะประทานทองคำหนักเท่าลูกฟัก หนักเท่าตัวคนผู้อาสาเป็นเดิมพัน แต่ถ้าฆ่า รากษส ไม่ได้ต้องตายไป ทองคำนี้นั้นก็จะเลี้ยงครอบครัว ถ้าฆ่าได้ก็จะแถมรางวัลพิเศษ คือให้เป็นมหาอุปราช

หน่อพระบรมโพธิสัตว์จึงคิดว่า เราเป็นลูกของแม่คนเดียว หาเช้ากินค่ำ ทรัพย์สมบัติที่หามาได้ ก็พอกินบ้าง ไม่พอกินบ้าง มีความลำบาก ถ้าหากว่าเราจะยอมเสี่ยงชีวิตของเราตายแต่เพียงผู้เดียว ให้แม่ได้มีโอกาสได้รับทองคำเท่าลูกฟัก หนักเท่าตัวเรา แม่ก็จะกินอยู่แบบสบายๆ แม้กระทั่งตาย ทองคำก็ยังไม่หมด

เมื่อหน่อพระบรมโพธิสัตว์กำหนดอย่างนี้แล้ว จึงได้ขันรับอาสา แล้วก็รับทองคำมามอบให้แก่แม่ ตอนนี้แม่คัดค้านอย่างหนัก ไม่อยากจะให้ลูกตาย

ในที่สุดก็ต้องจำยอม เพราะตกลงกับเขาแล้ว จึงได้มอบทองคำให้แม่ ตัวเองก็ไปเฝ้าพระราชากับอำมาตย์ ที่มาประกาศหาคน เข้าไปเฝ้าแล้ว พระราชาถามถึงผลของความต้องการ เธอสามารถแน่ใจที่จะฆ่า รากษส ได้หรือ เขาก็บอกว่า เขามั่นใจ

ต่อไปพระราชาถามว่า
“เจ้าต้องการทหารเท่าไร? ต้องการอาวุธอะไรบ้าง? จะไปฆ่า รากษส”
หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ก็ตอบว่า
“ไม่ต้องการอะไรทั้งหมด ต้องการฆ่าด้วยมือเปล่า”
พระราชาก็หนักใจ แต่ว่าเขาขันรับอาสาตามนั้น ก็ต้องปล่อยไป เขาก็นำไปที่ปล่องของ รากษส แกขึ้นไปคอยอยู่ประมาณ ๒ วัน พระราชาทรงให้ทหารไปเป็นเพื่อน นำอาหารไปบริโภค เขาก็ไปคอยอยู่ปากปล่องที่ รากษส จะขึ้น

ต่อมาเมื่อถึงเวลาวันนั้น คือวันกำหนดที่มันจะขึ้น มีเวลาเป็นประจำ ก็ขึ้นมาพอดี

พอ รากษส ขึ้นมาไม่ทันจะพ้นปล่อง หัวขึ้นมาปากปล่อง หน่อพระบรมโพธิสัตว์ยกเท้าขึ้นหวังจะกระทืบ คือจะกระทืบให้ รากษส ให้คอหักตาย รากษส แหงนหน้าขึ้นมาเห็นอุ้งเท้าหน่อพระจอมไตรบรมโพธิสัตว์มีกงจักรในระหว่างท่ามกลางเท้า ก็คิดว่าคราวนี้เราตายแน่ เราสู้ไม่ได้ เพราะคนนี้ต้องเป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ เพราะกลางระหว่างเท้ามีกงจักรสีแดง จึงได้พูดว่า

“ช้าก่อน! ท่านอย่าพึ่งฆ่าเรา ท่านนี่เป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าอีกไม่นานนัก เพราะว่ากลางเท้าของท่านมีกงจักร หากว่าท่านจะฆ่าเรา เราก็ตาย ถ้าท่านฆ่าเราแล้วไซร้ ท่านจะมีอายุสั้น ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ตามธรรมดาพระพุทธเจ้าจะต้องมีอายุถึงหมื่นปีบ้าง สองหมื่นปีบ้าง ถึงสี่หมื่นปีบ้างก็มี อีกประการหนึ่ง พระพุทธเจ้าสามารถจะอธิษฐานตนให้มีอายุถึงกัปหนึ่งก็ได้

หากว่าท่านฆ่าเราตายในเวลานี้ เวลานี้เรามีอายุ ๘๐ ปี ถ้าหากว่าท่านฆ่าเราตายในเวลานี้ เมื่อท่านเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็ต้องมีอายุ ๘๐ ปีเท่านั้น การประกาศพระศาสนาของท่านจะไม่มีผลตามความประสงค์”

หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ก็กล่าวว่า

“เจ้าเป็นสัตว์ที่มีความดุร้ายมาก ไล่พิฆาตเข่นฆ่าคนมาเป็นอาหาร ถึงแม้นว่าเราจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า มีอายุแค่ ๘๐ ปี เราพร้อมยอมตามนั้น”

ในที่สุดหน่อพระบรมโพธิสัตว์ ก็กระทืบศีรษะยักษ์ รากษส ยักษ์ก็คอหักตาย

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว สามารถจะอธิฐานอายุของตนให้อยู่ได้ถึงกัปหนึ่ง ก็ย่อมเป็นได้เพราะคล่องใน อิทธิบาท ๔ แต่ว่าที่องค์สมเด็จพระมหามุนีบรมศาสดาจะต้องนิพพานภายใน อายุ ๘๐ ปี ตามภาษาบาลีท่านกล่าวว่า เพราะเหตุของการฆ่า รากษส ตนนั้น จึงเป็นเหตุให้สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องนิพพานในอายุยังสั้น

ถ้าจะกล่าวกันไปถึงเหตุผล ว่าในสมัยที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่ ปาวาลเจดีย์ ตอนนั้นองค์สมเด็จพระชินศรีทรงแสดงนิมิตต่างๆ ให้ พระอานนท์ ทราบ เพื่อจะทูลอาราธนา แต่ มารก็ดลใจให้ พระอานนท์ คิดไม่ถึง

ในวันนั้นเป็นวันกลางเดือน ๓ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ปลงอายุสังขารว่า
“นับตั้งแต่บัดนี้ไป ๓ เดือนข้างหน้า เราจะนิพพานในระหว่างนางรังทั้งคู่ ณ เมือง กุสินารามหานคร”
หลังจากนั้น หมอชีวกโกมารภัจ ซึ่งเป็นหมอประจำองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทราบข่าวจะจัดการรักษา พระองค์ก็ไม่ยอมให้ทำการรักษา แล้วร่างกายของพระองค์ก็ทรุดโทรมลงตามลำดับ จนกระทั่งเห็นได้ชัด ทั้งผอมลง ผิวคล้ำลง ซูบซีดลง

การทำอย่างนี้ แสดงว่าองค์สมเด็จพระชินศรีบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบกฎของกรรม ว่าการกระทำกับ รากษส ในคราวนั้น รากษส มีอายุ ๘๐ ปี เวลานี้สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีอายุตามนั้น ก็จำต้องนิพพานตามกฎของกรรม

เหตุที่คนจะมีอายุสั้นหรือยาว

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน การเทศน์วันนี้เป็นการเทศน์ตัดอายุ เป็นอันว่าคนที่จะมีอายุสันพลันตาย หรือว่าคนที่มีอายุยาวนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า เหตุของ ปาณาติบาต เป็นปัจจัย ถ้าหากบุคคลใดสร้างอกุศลกรรมด้าน ปาณาติบาต เป็นต้น เป็นอาจิณกรรม คนประเภทนี้เกิดมาไม่ทันพ้นจากท้องแม่ก็ต้องตาย ถ้าหาทำ ปาณาติบาติ หย่อนกว่าน้อยหนึ่งไซร้ ออกมาจากท้องแม่ไม่กี่วันก็ตาย ถ้าน้อยลงไปอีก ก็เป็นหนุ่มเป็นสาวตาย ถ้าน้อยไปอีก ก็เป็นคนวัยกลางคนตาย ถ้าน้อยที่สุดเกือบจะไม่ทำเลย หรือทำบ้างเป็นการทรมานบ้าง ไม่มากมายนัก คนประเภทนี้มีอายุครบอายุขัย เช่นนี้อายุขัยของคนมีอายุ ๗๕ ปี ถ้าบุคคลทำบาปประเภทนี้น้อย ก็จะมีอายุครบ ๗๕ ปีบริบูรณ์ หรือ อาจจะมากกว่านั้นก็ได้

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จะเป็นเหตุทำลายชีวิตของตนในวันข้างหน้า คือทำมากก็อายุสั้นพลันตาย ทำน้อยร่างกายไม่ถึงอายุขัยก็ตาย ถ้าทำไม่มากนักจนเกินไปนิดๆ หน่อย อย่างนี้ก็จะมีอายุยืนนาน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้แนะนำบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ว่าทุกคนจงมีเมตตากรุณาทั้ง ๒ ประการ เพราะเมตตา กรุณา ทั้ง ๒ ประการนี้ คำจุนชีวิตให้บุคคลทั้งหลายให้มีความสุข และก็จะมีอายุยืนนาน ถ้าบุคคลผู้ใดไม่ทำบาป ปาณาติบาต เลย บุคคลประเภทนั้นเกิดมาตลอดชีวิต จะไม่มีโรคภัยไข้เจ็ฐเบียดเบียน ถ้าทำ ปาณาติบาต ไม่น้อยไม่มากนั้น ชีวิตก็ไม่สั้นพลันตาย

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้คอรู้สึกจะแย่เต็มที อาตมารับประทานวิสัชนามา ในความเป็นมาขององค์สมเด็จพระชินศรีบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พอสมควรแก่เวลา ก็ขอยุติพระสัทธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้

ในที่สุดแห่งพระธรรมเทศนานี้ อาตมาภาพในฐานะพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ของตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะ ทั้ง ๓ ประการ ขอจงดลบันดาลให้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน มีความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูลผล ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุแล้ว ขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว จงเห็นธรรมนั้นในชาติปัจจุบันนี้เทอญ

เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้

จากนิตยสารธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๒๗ ฉบับที่ ๒๙๗ ธันวาคม ๒๕๔๙ หน้า ๔๑ – ๔๘

ไม่ได้ระบุชื่อสมาชิกผู้ส่งบทความ ขออนุโมทนาด้วยอย่างสูง

ไฟล์แนบ: คุณจำเป็นต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถดูและดาวน์โหลดไฟล์แนบได้ หากยังไม่มีแอคเคานต์หรือยังไม่ได้เป็นสมาชิก กรุณาสมัครสมาชิก

Rank: 1

ขออนุโมทนา สาธุๆๆ

Rank: 1

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ

Rank: 1

โมธนา จ้า

‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-5-4 14:08 , Processed in 0.050593 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.