แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 10487|ตอบ: 0
go

นางอุมาฑันตี

Rank: 1

visutti โพสต์เมื่อ 2012-3-5 17:23 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
อุมาฑันตี
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
วันนี้จะนำจุดหนึ่งในทานมัย  ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสไว้ในพระธรรมบทขุททกนิกาย  ความมีอยู่ว่า
เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  เสด็จประทับอยู่ในเมืองพาราณสี  เวลานั้นสมเด็จพระมหามนีทรงปรารภ  “อุมาฑันตี”  เป็นเหตุ  องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์จึงนำเรื่องนี้มาแสดงแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท  สำหรับอุมาฑันตีนี่ อุมา อุมะ  ฑันตะ  นี่เขาแปลว่า บ้า  แต่เธอไม่ได้บ้า  เธอทำให้คนอื่นเขาบ้า
ในสมัยชาติก่อนโน้นนางเกิดเป็นลูกคนจน   แต่ถึงเวลางานประจำปี งานเทศกาล เช่น งานสงกรานต์  เขาก็มีการเล่นมหรสพกัน  อย่างพวกเราเล่นมอญซ่อนผ้าบ้าง  เล่นอะไรต่ออะไรบ้าง  เป็นต้น  เป็นอันว่าทุกคนเขาก็แต่งตัวสวยสดงดงาม  โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกของมหาเศรษฐี  เขาก็แต่งตัวด้วยผ้ากัมพล  ไอ้ผ้ากัมพลนี่เป็นสีแดง  แต่ว่าเขาทาบไปด้วยดอกสีทองคำ  อย่างกับที่เราเรียกว่าผ้ายกในเวลาปัจจุบัน  มันสวยสดงดงามมาก  มีราคาสูงมาก  พอถึงเวลางานประจำปีเทศกาลอย่างงานสงกรานต์แบบนี้  อุมาฑันตีเวลานั้นเกิดเป็นลูกของคนจน  และก็จนมากเสียด้วย  ไม่ใช่จนน้อย  จึงเข้าไปหาแม่   บอกงานสงกรานต์คราวนี้  ขอผ้าสีดอกคำเอามานุ่งอย่างชาวบ้านเขาบ้าง  อยากจะได้ผ้าสีดอกคำสักผืนหนึ่งสำหรับนุ่ง  อีกผืนหนึ่งสำหรับห่ม  เพราะว่าประเพณีของพราหมณ์เขาใช้ผ้าห่มผ้าสไบเฉียง
แม่ก็บอกว่า  ตระกูลของเราทั้งตระกูล สมบัติเท่าที่มีอยู่นี้  ที่ดินก็ดีมีเล็กน้อย บ้านช่องมีหลังหนึ่งก็ดี  ขายทั้งหมดแล้วยังไม่สามารถซื้อผ้ากัมพลได้ 1 ผืน  เพราะผ้ากัมพลสีดอกคำน่ะราคาแพงมาก  เขาแต่งเฉพาะลูกมหาเศรษฐีและลูกของกษัตริย์  นางจึงกล่าวว่า ถ้าแม่ไม่สามารถจะให้ได้  ฉันก็จะไปรับจ้างมหาเศรษฐีขอผ้าดอกคำ 2 ผืน เป็นเครื่องประดับกาย  แม่เห็นว่าลูกมีความตั้งใจจริง ๆ ก็เลยไม่ขัดข้อง  ถ้าอย่างนั้นขอลูกหญิงปฏิบัติตามอัธยาศัย

ทำงาน 3 ปี แลกกับผ้า 2 ผืน
เธอก็เดินไปตำบลอื่น  เพราะตำบลที่นางอยู่นั้นไม่มีมหาเศรษฐี  พอไปถึงบ้านท่านมหาเศรษฐีก็แสดงความจำนงว่า  ต้องการจะมาทำงานรับจ้างเอาผ้าสีดอกคำ 2 ผืน คือนุ่งผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง  เป็นเครื่องประดับกาย  ท่านมหาเศรษฐีจะให้ทำงานสักกี่วัน  กี่เดือน  กี่ปีก็ไม่เป็นไร  ขอให้ได้ผ้าอย่างนี้ก็แล้วกัน  ท่านมหาเศรษฐีเห็นว่าเธอตั้งใจจริง  จึงบอกว่า
ภคินิ  ดูก่อนน้องหญิง  ผ้าสีดอกคำนี่ราคาแพงมาก  เธอจะต้องทำงานใช้แรงงานถึง 3 ปี  จึงจะมีค่าตัวเท่ากับผ้าดอกคำ 2 ผืน  เธอก็ไม่ว่าอย่างไร  เต็มใจ  บอก 3 ปีก็ 3 ปี 5 ปี ก็ 5 ปี   ขอให้มันได้ก็แล้วกัน  ผลที่สุดท่านมหาเศรษฐีผู้นั้นก็รับนางไว้เป็นคนรับใช้  ให้ทำงานประจำตามฐานะที่จะพึงทำได้อยู่ 3 ปี  ครั้นครบ 3 ปี แล้ว  ท่านมหาเศรษฐีก็ได้มอบผ้าดอกคำ 2 ผืน  ผ้ากัมพลสีดอกคำนะ  สำหรับนุ่งผืนหนึ่ง  สำหรับห่มผืนหนึ่ง  เธอรับมาแล้วด้วยความรักถนอมอย่างยิ่ง  จึงได้พยายามห่อให้ดี  แล้วก็ลาท่านมหาเศรษฐีกลับบ้าน

ขโมยลักผ้าของพระปัจเจกพุทธเจ้า
ขณะที่เดินทางกลับบ้าน  ทางมันห่างกันหลายโยชน์  ต้องผ่านป่าผ่านดงมา ก็เป็นการบังเอิญอย่างยิ่ง  วันนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้า เวลานั้นไม่มีพระพุทธเจ้า  แต่ก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้า  ความจริงพระปัจเจกพุทธเจ้านี่จริยาทั้งหมดคล้ายคลึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เว้นไว้แต่ว่าจะไม่สอนด้านนิพพานให้ใครเท่านั้น  อย่างอื่นสอนหมด วันนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านหนึ่งเดินไปที่ชายน้ำ  ท่านมีความร้อน  เห็นจะเป็นฤดูร้อน เกิดความร้อนขึ้นมา
เวลานั้นความจริงผ้าผ่อนท่อนสไบมันหายาก  พระนี่มีผ้าจำกัด  มีสบงอยู่ 1 ผืน มีรัดประคด 1 เส้น อังสะ 1 ตัว แล้วก็มีผ้าจีวร 1 ผืน สังฆาฏิ 1 ผืน เท่านั้น  มีความจำกัด ท่านจึงเรียกว่าผ้าไตรจีวร  ฉะนั้น เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านร้อน  จึงได้เปลื้องผ้าทั้งหมดพาดกิ่งไม้ไว้บนฝั่ง  และตัวท่านเองก็เดินลงไปในน้ำ อาบน้ำ  เวลาอาบน้ำมันมีครบเครื่องเฉพาะ ก็ต้องอาบน้ำชุดวันเกิด  ตอนนั้นเป็นเวลากลางวันไปอยู่ในป่า
เป็นการบังเอิญพอดีเวลานั้นเจ้าคนอื่นมันเดินมา  จะเป็นโจรยากจนประเภทไหนก็ไม่ทราบ  เพราะเป็นโจรยากจน  เห็นผ้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านวางไว้  แกก็มาหยิบเอาไปทั้งหมด  พระคุณเจ้าเมื่อขึ้นมาแล้วก็ปรากฎว่าไม่มีผ้าจะนุ่งจะห่ม  จึงเข้าไปในพุ่มไม้  เอาใบไม้ใบใหญ่ ๆ เอาเถาวัลย์เล็ก ๆ มากลัดให้เป็นผืนผ้าผืนเดียวกัน  แล้วก็ห่อกายเดินไปเพื่อเป็นการกำจัดความอาย  พอออกจากพุ่มไม้ก็เป็นการบังเอิญอย่างยิ่งพบยอดหญิง คืออุมาฑันตี  เธอเดินสวนทางมาพอดี  พระปัจเจกพุทธเจ้าได้มองเห็นเข้าก็เกิดมีความละอายหลบเข้าพุ่มไม้  พอหลบเข้าพุ่มไม้นางก็เลยคิดว่า

ตัดใจถวายผ้า 1 ผืนก่อน
เวลานี้พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านเดินห่างมาจากเรา  พระท่านเห็นเราเข้าคงจะมีความอาย  เพราะท่านไม่มีผ้านุ่ง  กลับมาคิดถึงตัวเองว่า  ไอ้การที่เกิดมาชาตินี้ ผ้าไม่มีจะนุ่ง เครื่องประดับกายไม่มีจะแต่ง ก็เพราะอาศัยชาติก่อนขาดถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนา   จึงเป็นคนจนอย่างนี้  ผ้าดี ๆ ก็ไม่มีจะนุ่งกับเขา  ก็ตัดสินใจว่า  ถ้าเราถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าสัก 1 ผืน  อีก 1 ผืน มันยังเป็นของเรา  ฉะนั้น  หากว่าเราถวายแก่ท่าน บุญของเรายังมี  เบื้องหน้าจะมีผ้าสวย ๆ  อย่างนี้ใช้  เธอจึงย่องเข้าไปใกล้พุ่มไม้ที่พระปัจเจกพุทธเจ้าหลบอยู่  แล้วโฉมตรูก็วางไว้ข้างพุ่มไม้  และก็กล่าวว่า  ขอพระผู้เป็นเจ้าได้โปรดรับผ้านี่ไปนุ่งเถิดเจ้าค่ะ  แล้วนางก็หลบไปห่างจากนั้น ไปแอบดู
พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านเห็นว่าเวลานี้นางแอบไปแล้ว  เขาถวายแล้ว  ก็ย่อง ๆ ออกมา จับผ้ากัมพลเข้าไปนุ่ง  อาศัยที่สีของพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้อุดมสมบูรณ์ด้วยศีล  สมาธิ ปัญญา  ก็มีความผ่องใส  ครั้นทาบกับผ้าสีแดงสีดอกคำเข้าแล้วไซร้  ก็แลสวยงามมาก เข้ากัน  ท่านก็ออกมาจากพุ่มไม้  มีความหวังว่าจะกล่าวคำโมทนา  แต่กัลยาอุมาฑันตีเมื่อเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อกี้นี้นุ่งใบไม้ไม่สวย  แต่เวลานี้นุ่งผ้าสีดอกคำมีพื้นสีแดงเข้ากับผิวกายสวยดีมาก  จึงได้คิดในใจว่า  ถ้าเราถวายทั้งสองผืน  ท่านจะสวยกว่านี้  อุมาฑันตีในชาตินั้นจึงคลานเข้าไปถวายผืนที่สอง  พระปัจเจกพุทธเจ้าก็รับ  ตอนนี้ไม่ต้องหลบ  เพราะมีผ้านุ่งแล้ว

อธิษฐานบารมี
ก็รวมความว่า  เมื่อถวายแล้วทั้งสองผืน  พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ห่ม  ห่มก็เกิดความสวยงามเกิดขึ้น  นางก็เกิดปิติความเลื่อมใส  จึงเข้าไปใกล้พระปัจเจกพุทธเจ้า  กราบ 3 วาระ  แล้วเปล่งอุทานตามปรารถนาว่า
“ธรรมใดที่พระผู้เป็นเจ้าเห็นแล้ว  ขอฉันโปรดเห็นธรรมนั้นด้วยเถิดพระเจ้าข้า”
การเกิดมาชาตินี้หม่อมฉันต้องเกิดเป็นคน  เป็นลูกคนจนขาดทรัพย์สิน  แม้แต่ผ้าดอกคำสองผืนเท่านี้  กว่าจะได้มาก็ด้วยความลำบาก  เพราะต้องรับจ้างเขามาถึง 3 ปี ครั้นได้ผ้าดอกคำนี้มาแล้วด้วยความยากลำบาก  เพราะอาศัยบุญเก่าไม่มีมาก่อน  ฉะนั้น  การที่ข้าพระพุทธเจ้าได้ถวายแก่สาวกขององค์สมเด็จพระชินวร คือพระปัจเจกพุทธเจ้า หน่อเนื้อพระพุทธเจ้า   ขอบุญกุศลนี้จงบันดาล  ถ้าเกิดไปชาติใดฉันใดก็ตามที  ขึ้นชื่อว่าเครื่องแต่งกายเครื่องประดับกายของหม่อมฉันนี้ต้องมีบริบูรณ์ทุกอย่าง และขอจงปราศจากความยากจนเข็ญใจเหมือนชาตินี้จงอย่าได้มีอีก
และนางก็อธิษฐานต่อไปว่า
“ถ้าเกิดไปในชาติใด  ถ้าเป็นผู้หญิงมีรูปงาม  (ถวายผ้านี่รูปงามแน่) และชายอื่นใดที่ไม่ใช่คู่ครอง คือไม่ใช่เนื้อคู่  เห็นแล้วให้คลั่งทุกคน”
อุมาฑันตี เขาแปลว่า คลั่ง  แต่ไม่คลั่งทุกคน  นอกจากคนที่เป็นคู่ครองของนางเท่านั้น  เมื่อนางตั้งสัตยาอธิษฐานเสร็จ  พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ให้พร  สมัยก่อนให้พรไม่ยาว  แม้แต่ในเขตพระพุทธศาสนาก็เหมือนกัน  ให้พรว่า  เอวัง  โหตุ  ซึ่งแปลใจความว่า  “เจ้าปรารถนาสิ่งใด ขอให้ได้สิ่งนั้นสมปรารถนา”  เท่านี้  พระปัจเจกพุทธเจ้าก็หลีกไป
นางอุมาฑันตีเวลานั้นไม่ใช่อุมาฑันตี  นางก็หลีกไปแล้วกลับบ้าน  ตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา  นางก็มีธรรมปิติ  คิดว่าผ้าสีดอกคำผืนสีแดงจากแคว้นกาสี ที่มันมีราคาสูงอย่างนี้  ที่ลูกมหาเศรษฐีนุ่งก็ดี  ลูกกษัตริย์นุ่งก็ดี   ของเราก็มีแล้ว  เธอมีความชื่นใจว่าเธอก็มีแล้ว  แต่ได้ถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าไป  ถือว่านั่นของเรามีแล้วเราถวายไป  ในกาลต่อมา  เธอจะมีผ้าแบบไหนแต่งก็ไม่สำคัญ  จิตของเธอนึกถึงผ้าสองผืนนั้นก็ชุ่มชื่นใจ  เป็นธรรมปิติ  หลังจากนั้นเธอก็ตายจากความเป็นมนุษย์
นี่เขาเป็นลูกของคนจนจริง ๆ นะ  โอกาสที่จะได้บำเพ็ญกุศลเป็นของหายาก  เวลานั้นมีเฉพาะพระปัจเจกพุทธเจ้า  พระปัจเจกพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกในเวลาที่ว่างจากพระพุทธเจ้าเป็นหมื่น ๆ องค์นะ  คนจะพบก็นาน ๆ พบครั้งหนึ่ง  เพราะว่าโลกมันกว้างมากจะได้พบทุกวันอย่างนี้ไม่ได้  นอกจากนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าตามปกติก็อยู่ยอดภูเขาคันธมาทน์  เวลาออกพรรษาอาจจะเข้าไปในเขตเมืองใดเมืองหนึ่งโดยเฉพาะเวลา  เวลาที่จะเข้าพรรษาก็กลับไปจำพรรษาที่ยอดภูเขาคันธมาทน์ในป่าหิมวันต์  หาพระยาก  แต่ว่านางนั้นได้มีโอกาสทำบุญครั้งแรกในชีวิต  แล้วก็เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต  แต่ว่าจิตของนางมีความผูกพันอยู่กับผ้าสองผืนนั้น  และเป็นผ้าผืนที่พระปัจเจกพุทธเจ้านุ่ง
การนึกถึงภาพรูปร่างของพระปัจเจกพุทธเจ้า  เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน  การนึกถึงผ้าที่ถวายพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นจัดว่าเป็นจาคานุสสติกรรมฐาน  เธอมีกรรมฐานสองประการประจำใจ  ถือว่าเป็นทาน  อารมณ์แนบแน่น  ความจริงกรรมฐานนี่ไม่ต้องไปนั่งหลับตาขัดสมาธิเข้าสมาธิก็ได้  นั่นเป็นการฝึก  ถ้าจิตนึกอยู่เสมอนั่นแหละ  ตัวนั้นเป็นตัวสมาธิสมบูรณ์แบบ  การที่จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิสมบูรณ์แบบ  ถ้าตายแล้วจะไปเลือกสวรรค์อยู่ชั้นไหนก็ได้  เขาอนุญาต  เหมือนกับที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษํททำบุญอยู่เสมอ ๆ  นี่  ถ้าจิตคิดถึงบุญขึ้นมาเมื่อใดจิตก็ปลื้มใจเมื่อนั้น  ไอ้ตัวนี้แหละเขาเรียกว่า ฌานในอนุสสติ
นางตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกนี่เห็นไหม  ไอ้งานประเพณีทางโลกนี้ใช้ให้มันถูกน่ะ มันไปสวรรค์ได้  เอาแค่เล่นกันอย่างเดียวนี่ไปนรก  แถมเมาอีกหน่อยลงนรกอีกขุมหนึ่ง  โลหะกุมภี  แต่ว่าถ้าจะทำให้ดี  น้อมจิตเป็นกุศลเนื่องจากวันตรุษสงกรานต์เป็นเหตุ  องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์กล่าวว่า  อุมาฑันตีนั้นจะไปสวรรค์ได้เพราะงานสงกรานต์เป็นปัจจัย

อธิษฐานอย่างไรได้อย่างนั้น
หลังจากนั้นเมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก  เธอก็จุติจากความเป็นนางฟ้า  คำว่า จุติ  แปลว่า  เคลื่อน  เขาไม่ได้แปลว่าตาย  เคลื่อนลงมาจากเป็นนางฟ้า  ลงมาเกิดเป็นคน  เป็นลูกของคหบดีหรือมหาเศรษฐีท่านหนึ่งใกล้เมืองพาราณสี  ปรากฎว่าเธอเป็นหญิงที่มีความสวยสดงดงามเป็นกรณีพิเศษ  ไม่ว่าชายใดเห็นหน้าเธอนิดเดียวกลับไปคลั่งทุกคน  เห็นแล้วก็นอนไม่สบายใจทุกคน นึกถึงนาง
รวมความว่า  มาสมัยครั้งหนึ่ง  มีลูกชายของท่านมหาเศรษฐีคนหนึ่งเดินทางผ่านมาในงานเทศกาล  เห็นนางนั่งยานน้อย ๆ คือรถม้าลาก  เห็นหน้าของนางแว่บเดียวเท่านั้น  กลับไปไม่กินข้าวกินปลา  ก็คิดว่าถ้าเราไม่ได้นางคนนี้มาครอบครอง  เราก็ยอมตาย  นี่ชื่ออุมาฑันตีก็แบบนี้  ชื่อจริงของเธอไม่รู้ชื่ออะไร  เขาให้ฉายาตามจริยา  อุมาฑันตีก็แปลว่าคลั่ง  ใครเห็นที่ไม่ใช่คู่ครองต่างคนต่างคลั่งหมด  คลั่งไม่ถึงกับบ้า เพ้อ นอนไม่สบาย กินไม่สบาย หลับไม่ได้  อยากจะได้นางมาเป็นภรรยา
ต่อมาเมื่อพ่อเม่ทราบแล้วก็ส่งพราหมณ์ 8 คน มาเป็นเถ้าแก่สู่ขอนาง  ขณะที่พราหมณ์ทั้ง 8 คนมา  นางอยู่ในห้องยังไม่ได้ออกมา  ต่อมาเมื่อเขากระทำการสู่ขอ  เวลานั้น ไอ้การที่จะแต่งงานกับใครมันเป็นสิทธิของลูกสาว  ถ้าลูกสาวยอมรับหมั้นคนไหน พ่อแม่ก็ต้องยอมรับด้วย  ไม่ใช่พ่อแม่มีหน้าที่ตัดสินใจแต่ผู้เดียว  เมื่อเจรจากับบิดามารดา ๆ  ก็บอกว่าไอ้เรื่องนั้นเป็นเรื่องของลูกสาวเขา  เขาจะอยู่ด้วยกันตลอดชาติตลอดสมัย  จะไปตัดสินใจแทนเขาไม่ได้  จะเป็นลูกมหาเศรษฐีลูกกษัตริย์ก็ตาม  ต้องเรื่องของลูกสาวเขาตัดสินใจ

พบคู่ครองตัวจริง
เมื่อนางยังไม่ออกจากห้อง  ถึงเวลาอาหารเขาก็นำอาหารมาเลี้ยงพราหมณ์ทั้ง 8 คน  ขณะที่บรรดาพราหมณ์ทั้ง 8 คน กินข้าวอยู่นะ  บรรดาท่านพุทธบริษัท อุมาฑันตีโผล่มาจากห้องพอดี  อีตาพราหมณ์ 8 คน แกเห็นเข้า  ไอ้จิตก็ไม่ได้ตั้งอยู่ในสภาพเดิม  เห็นความสวยคลั่งซะอีกแล้ว  ตาพราหมณ์คนหนึ่งหยิบกับข้าวมา  แทนที่จะใส่ปากกลับวางไว้บนหัว อีกคนหนึ่งแหงนหน้าขึ้นมาเอาข้าวใส่ลูกตา   อีกคนหนึ่งหยอดอยู่ในจมูก  อีกคนหนึ่งใส่หู  8 คน มีท่าทางไม่สม่ำเสมอกัน  นางเห็นเข้าอย่างนั้นจึงบอกกับพ่อแม่ว่า  คน 8 คนนี้ สติไม่ดี  พ่อแม่เชิญเอาออกไปจากบ้านเถอะ  ผลที่สุดเป็นอันว่าเขาก็ต้องเชิญออกมาจากบ้าน
ต่อมาเมื่อพบคู่ครองของนาง  คนนี้ซิเขาไม่คลั่ง  แต่งงานกันได้  เป็นอำมาตย์ของพระเจ้าปเสนทิโกศล  เอาละ ท่านบรรดาพุทธบริษัท  ก็เป็นอันว่าเรื่องอุมาฑันตีก็จบแค่นี้ดีกว่า  รู้จุดสุดท้ายว่าชาติก่อนเธอมาจากสวรรค์   แล้วมาในสมัยนั้นก็มาพบองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ก็มีความเลื่อมใส  เพราะกำลังใจเดิมเธอเป็นมหากุศล  เมื่อสดับพระธรรมเทศนาจากองค์สมเด็จพระทศพลจบเดียว  ตามหนังสือท่านว่าอย่างไรก็ไม่ทราบ  แต่ตามสียงบอกว่า  จบเดียวเธอได้บรรลุอนาคามีผล  เป็นอริยบุคคลเบื้องสูงในพระพุทธศาสนา  แต่ว่าการที่ฟังเทศน์จบดียวเป็นอนาคามี  ไม่มีใครเขานั่งโง่เป็นอนาคามีต่อไปไม่ช้าไม่นานเท่าไรอย่างน้อยเวลาตายก็เป็นอรหันต์

อานิสงส์ถวายผ้า
นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน  ปัจจัยแห่งตรุษสงกรานต์เป็นปัจจัยให้ถึงสวรรค์ได้  นิพพานได้  อย่างอุมาฑันตีเธอถวายผ้าผ่อนท่อนสไบไว้ในพระพุทธศาสนา  อันดับแรกเธอตายจากความเป็นคน  จากลูกคนจนเรียกว่าลูกมหาทุคคตะ ไปเป็นนางฟ้าบนสวรรค์  มีวิมานเป็นที่อยู่  มีเครื่องประดับอันเป็นทิพย์  เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงอุบัติขึ้น  เธอลงมาเป็นลูกของมหาเศรษฐี  กลับสภาพจากจนที่สุดมาเป็นรวยที่สุดเพราะผ้าสองผืน  หลังจากนั้นได้สดับพระธรรมเทศนาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็เป็นพระอนาคามี  ก็รวมความว่าอย่างเบา ๆ เวลานี้ก็ต้องอยู่ที่นิพพาน
หากว่าท่านพุทธบริษัททุกท่านมาทำบุญอย่างนี้  ท่านทำมากกว่าอุมาฑันตี  มีเวลาทำในยามปกติเกือบทุกวันพระ  อยู่ที่บ้านก็มีโอกาสได้ใส่บาตร  ในวันตรุษสงกรานต์ก็มาบำเพ็ญกุศลด้วยผ้าสบงที่จะสรงน้ำพระ  ก็มีผลเช่นเดียวกับผ้าดอกสีแดงสีทองของนาง
อุมาฑันตี  มีอานิสงส์เหมือนกัน  แต่ว่าขอทุกท่านจงอย่าอธิษฐานแบบอุมาฑันตีนะ  คนทั้งโลกมันจะบ้าหมด  อธิษฐานแต่เพียงว่า  ถ้าบุคคลผู้ใดไม่ใช่คู่ครองของข้าพเจ้า  ให้เห็นไว้แค่สวย  อย่าเข้ามายุ่งกับเราก็พอแล้ว  ไม่ต้องถึงกับบ้านะ  ถ้าถึงกับบ้านี่พระจะยิ้มนะ บ้าไม่กินข้าวกินปลา  ตายไปพระบังสุกุลกันแย่

เป็นอันว่า ถ้าบรรดาพุทธบริษัททุกท่านต้องการนิพพาน  ก็มีความสมประสงค์ทุกประการ  ทั้งนี้เพราะอะไร  โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง มีทั้งทานมีทั้งศีล  มีทั้งสดับรับรสพุทธพจน์เทศนา  การฟังเทศน์นี่ถ้าใช้ปัญญาไปด้วย  ท่านถือว่าเป็นวิปัสสนาญาณ  ถ้าตั้งใจฟังเทศน์จิตไม่ย้ายไปไหน  แม้ว่าจะย้ายไปบ้าง  ตั้งใจฟังบ้าง  เผลอบ้างเป็นธรรมดา  ถือเป็นสมถภาวนา  ถ้าใคร่ครวญตามกระแสพระสัทธรรมเทศนา  ถือว่าเป็นวิปัสสนาญาณ  อันนี้ทุกส่วนก็เป็นปัจจัยของนิพพานบรรดาพุทธบริษัททุกท่าน
เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ต้องขอยุติเรื่องของ  “นางอุมาฑันตี” ลงไว้แต่เพียงเท่านี้  สวัสดี

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-3-19 17:29 , Processed in 0.169050 second(s), 14 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.