ศาลาพระเจ้ากาวิละ บนยอดดอย วัดพระพุทธบาทตากผ้า
ประวัติศาลาพระเจ้ากาวิละ วัดพระพุทธบาทตากผ้า
ศาลาพระเจ้ากาวิละ วัดพระพุทธบาทตากผ้า สร้าง พ.ศ.๒๕๔๐ พระครูเวฬุวันพิทักษ์ (ท่านมหาเขื่อนคำ) เป็นประธานริเริ่ม และออกแบบศาลาที่ประทับอนุสาวรีย์พระเจ้ากาวิละและพระอนุชาเจ้าบุญมา เพื่อเป็นที่ระลึกและประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นหลังได้รับทราบ และเป็นที่สักการบูชารดน้ำดำหัวตามประเพณีสงกรานต์
ผู้มีจิตศรัทธาในการก่อสร้างครั้งนี้ มีเจ้าวงศ์ศักดิ์ ณ เชียงใหม่ คุณเจ้าดารารัตน์ ณ ลำพูน และญาติพี่น้องที่สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้ากาวิละ นางโสภา เมืองกระจ่าง (นันทขว้าง) พร้อมญาติพี่น้องเพื่อนฝูง
ตระกูลนันทขว้าง ซึ่งต้นตระกูล คือ ท้าวขว้าง และ ท้าวนัน มาจากสิบสองปันนา เป็นทหารของพระเจ้ากาวิละ ได้ร่วมรบกับพม่า ประมาณปี พ.ศ.๒๓๒๕-๒๓๓๙ ตามคำบอกเล่าสืบกันมา
----------------------
(แหล่งที่มา : ป้ายประวัติศาลาพระเจ้ากาวิละ วัดพระพุทธบาทตากผ้า)
ประวัติชาวยองในลำพูน
ชนชาติยอง มีภาษาพูดเป็นของตนเอง มีสำเนียงคล้ายชาวลื้อ สิบสองปันนา และชาวเขิน เชียงตุง ที่เรียกว่า ชาวยอง เพราะอยู่ลุ่มน้ำยอง เรียกว่า เขิน หรือ ขืน เพราะอาศัยอยู่ลุ่มน้ำขืน ที่เรียกเต็มศัพท์ว่า ชาวไทยยอง หรือ ไตยอง เพราะเป็นชนชาติดั้งเดิมของชนชาติไทย ตามพงศาวดารโยนก อาจารย์ไกรศรี นิมมานเหมินทร์ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์เมืองเหนือ ได้เล่าว่า
เมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๔๘ ปลายรัชกาลที่ ๑ ลำพูนหรือเมืองหริภุญชัย เป็นบ้านร้างเมืองร้างเป็นส่วนมาก มีผู้คนอยู่อาศัยน้อยเต็มที เนื่องจากถูกคุมคามด้วยไข้ทรพิษ ผู้คนได้อพยพไปอยู่ที่อื่นเสียเป็นส่วนมาก วัดวาอารามก็รกร้างว่างเปล่า พระเจ้ากาวิละ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ได้ลงไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ และได้กราบทูลว่า ปัจจุบันลำพูนเป็นบ้านร้างเมืองร้างมีผู้คนน้อยเต็มทีจะควรทำอย่างไรดี รัชกาลที่ ๑ ได้ตรัสถามว่า ผู้คนที่มีภาษาพูดพอฟังกันรู้เรื่องได้มีอยู่ไหม พระเจ้ากาวิละได้กราบทูลว่า มี รัชกาลที่ ๑ ทรงตรัสตอบว่า ถ้าอย่างนั้นก็ไปกวาดต้อนมา
พอพระเจ้ากาวิละกลับถึงเมืองเชียงใหม่ ก็ได้มีพระบัญชาให้ พระมหาอุปราชบุณทวงค์ (บุญมา) พระอนุชาให้ยกทัพไป สิ้นระยะทางเป็นเวลา ๑ เดือน กับ ๒ วัน พอใกล้จะถึงเมืองยอง ก็ได้ตั้งทัพอยู่นอกเมือง แล้วก็ได้ส่งพระราชสาส์นถึงเจ้าหลวงเมืองยองว่า บัดนี้เราพระมหาอุปราชแห่งนครเมืองเชียงใหม่ ได้รับบัญชาจากพระเจ้ากาวิละได้ยกทัพมาถึงนอกเมืองนี้แล้ว จะทำการรบหรือจะยอมสวามิภักดิ์โดยดี
ส่วนเจ้าหลวงเมืองยอง คิดว่าเรามีน้อย ยอมเขาเสียเถิด จึงได้ตอบพระราชสาส์นไปว่า เมืองยองไม่ประสงค์จะทำการรบ ขอให้พระมหาอุปราชยกทัพเข้ามาในเมืองได้เลย เจ้าหลวงเมืองยองได้ถวายน้องสาวร่วมบิดาแต่ต่างมารดาให้เป็นหญิงบาทบริจาค ๑ คน ช้างแก้ว ๑ เชือก และม้าแก้ว ๑ ตัว พระมหาอุปราชพักอยู่ในเมืองยองนาน ๑ เดือน จึงได้เคลื่อนทัพไปตีเมืองยู้ เมืองหลวย เมืองลวง เมืองวะ เชียงขาง ได้กวาดต้อนเอาผู้คนมา พอกลับมาถึงเมืองยอง ได้ประกาศว่า
บัดนี้เราจะนำเอาพวกท่านทั้งหลายไปอยู่เมืองลำพูน ถ้าใครไม่ไปให้โกนหัวเสีย ผู้คนเมืองยองกลัวจะได้มาเมืองลำพูนกัน ต่างพากันโกนหัวเสียเป็นส่วนมาก คงเหลือแต่เพียงเล็กน้อยที่สมัครใจมา ฝ่ายพระมหาอุปราชคิดว่า ถ้าเราเอาพวกไม่โกนหัวไป ก็จะได้พลเมืองน้อย จึงให้ประกาศใหม่ว่า “พวกไม่โกนหัวไม่เอา พวกนี้หัวแข็ง เราจะเอาคนหัวอ่อน ขี้กลัวนั้นแหละไป พวกนี้ว่าง่ายสอนง่าย” จึงได้พากลับมา ประมาณเดือนหนึ่งมาถึงเมืองลำพูน สมัยนั้นเรียกว่าสมัยเก็บผ้าใส่ซ้า เก็บข้าเข้าเมือง
พระเจ้ากาวิละได้นำผู้คนที่กวาดต้อนมาจากเมืองลวงไปอยู่ที่ดอยสะเก็ด เรียกว่า ลวงเหนือ ลวงใต้ จนถึงปัจจุบัน ส่วนคนเมืองยู้ก็ให้ไปอยู่ที่บ้านยู้ บ้านหลวย ในปัจจุบัน ส่วนคนเมืองยองให้อยู่กระจัดกระจายไปทั่วเมืองลำพูน พระเจ้ากาวิละคิดว่าเจ้าหลวงเมืองยองนี้ดี ยอมสวามิภักดิ์โดยดี จึงได้สร้างเวียงยองขึ้นที่ฝั่งแม่กวงด้านตะวันออกของเมืองลำพูนให้เจ้ายองอยู่ เจ้าก็ให้เป็นเจ้าเหมือนเดิม ปัจจุบันนี้ลำพูนมีประชากรประมาณสี่แสนห้าหมื่นคน เป็นชาวยองประมาณ ๙๐ เปอร์เซ็นต์
----------------------
(แหล่งที่มา : ป้ายประวัติชาวยองในลำพูน วัดพระพุทธบาทตากผ้า)
อนุสาวรีย์พระเจ้ากาวิละ และ พระมหาอุปราชบุณทวงค์ (บุญมา) (เรียงจากซ้าย-ขวา) ประดิษฐานภายใน ศาลาพระเจ้ากาวิละ บนยอดดอย วัดพระพุทธบาทตากผ้า 
อนุสาวรีย์พระเจ้ากาวิละ ประดิษฐานภายใน ศาลาพระเจ้ากาวิละ บนยอดดอย วัดพระพุทธบาทตากผ้า 
อนุสาวรีย์พระมหาอุปราชบุณทวงค์ (บุญมา) ประดิษฐานภายใน ศาลาพระเจ้ากาวิละ บนยอดดอย วัดพระพุทธบาทตากผ้า 