ตำนานพระธาตุหริภุญชัย
จากหนังสือตำนานต่างๆ เช่น มูลศาสนาชินกาลมาลินีจามเทวีวงศ์ และพงศาวดารโยนก ปรากฏว่า พระธาตุหริภุญชัยบรรจุพระเกศาบรมธาตุของพระพุทธเจ้า ชั้นเดิมบรรจุไว้ในกระบอกไม้รวก ฝังไว้ใต้พื้นซึ่งเป็นที่ตั้งพระบรมธาตุเจดีย์หริภุญชัย ปัจจุบันนี้เอง
ในตำนานกล่าวไว้ว่า ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่นั้นได้เคยเสด็จมาสู่สถานที่นี้ ได้ประทับนั่งบนหินก้อนหนึ่ง ทรงทำนายว่า สถานที่นี้จะเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนาในอนาคต และกล่าวว่าพญานาคราชได้ออกมาทูลขอพระเกศาธาตุ พระองค์จึงทรงลูบพระเศียรได้พระเกศามาเส้นหนึ่ง พญานาคราชจึงน้อมรับมาบรรจุไว้ในกระบอกไม้รวกฝังไว้ในดิน นำหินทับไว้อีกชั้นหนึ่ง โดยพระเทพบุตรซึ่งได้จำแลงเป็นกาเผือกได้คอยเฝ้ารักษาพระบรมสารีริกธาตุไว้มิให้ใครมาดูหมิ่นเหยียบย่ำ
จนกระทั่งรัชสมัยของพระเจ้าอาทิตยราชได้ทรงค้นพบ โดยได้เห็นพระบรมธาตุเสด็จปรากฏเป็นฉัพพรรณรังสีสว่างเจิดจ้าอยู่เป็นเวลานาน และฉัพพรรณรังสีทั้งหมดหายไปในกระบอกไม้รวก พระองค์จึงทรงอัญเชิญพราหมณ์ผู้รู้ทั้งหลาย ทุกท่านต่างก็มีความเห็นอย่างเดียวกันว่า ควรอัญเชิญพระบรมธาตุไปบรรจุไว้ในสถานที่เดิมจะเป็นการดีที่สุด เพราะเป็นพระประสงค์ของพระพุทธองค์ โดยทรงบรรจุพระบรมธาตุไว้ในโกษ ๓ ชั้น ตั้งประดิษฐานบนสำเภาทองคำ บรรจุไว้ในหลุมลึก ๙ วา และทรงสร้างพระเจดีย์ครอบองค์พระบรมธาตุไว้ และได้ทำบุญสมโภชพระเจดีย์เป็นการใหญ่
ในคืนหนึ่งยามใกล้รุ่ง พระเจ้าอาทิตยราชได้ทรงสุบินนิมิตว่า ได้ทรงเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่งฉันลูกสมออยู่ ณ ที่องค์เจดีย์ประดิษฐานอยู่ แวดล้อมด้วยพระอรหันตสาวกหลายองค์ พระพุทธองค์ทรงวางเม็ดสมอไว้ในที่ที่พระองค์ทรงประทับอยู่ หลังจากตื่นบรรทมแล้วพระองค์จึงทรงปรึกษากับปุโรหิตาจารย์ทั้งหลายว่าเป็นนิมิตหมายประการใดเหล่า ปุโรหิตาจารย์ได้พิจารณาแล้วได้ถวายความเห็นว่า นับว่าเป็นนิมิตหมายอันเป็นมงคลยิ่งจะนำความเป็นสิริมงคลมาสู่ปวงชนประชาทั้งหลาย บ้านเมืองจะอุดมสมบูรณ์ พระพุทธศาสนาก็จะเจริญรุ่งเรือง เป็นต้น
และทรงพิจารณาเห็นว่าวัดที่ทรงสร้างขึ้นนี้ยังไม่มีชื่อเรียกขาน สมควรที่จะนำเอานิมิตที่เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังฉันลูกสมอมาเป็นมงคลนามของวัดก็จะเป็นการดียิ่งนัก จึงได้ชื่ออันเป็นที่พอพระทัยว่า “วัดพระธาตุเจ้าจอมสะหรีหริภุญไชยาวาส” หรือวัดพระธาตุหริภุญชัยปัจจุบัน ซึ่งมาจากคำว่า หริตะ แปลว่า สมอ ภุญชยะ แปลว่า ขบฉัน ตามนิมิตทุกประการ
---------------------
(แหล่งที่มา : ศุภสิทธิ์ มหาคุณ. (๒๕๓๗, ๒๓ มกราคม). หนังสือพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุประจำปีเกิด.)
ประวัติวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร
(แหล่งที่มา : วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร. ประวัติวัด. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก : http://www.hariphunchaitemple.org/modules.php?name=Content&pa=list_pages_categories&cid=11. (วันที่ค้นข้อมูล : ๑ มกราคม ๒๕๕๗))
๑. ชื่อของวัดพระธาตุหริภุญชัยฯ
ชื่อของวัดพระธาตุหริภุญชัย มาจากชื่อของเมืองหริภุญชัย ตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงพยากรณ์ไว้เมื่อครั้งเสด็จมาบิณฑบาตในสมัยพระพุทธกาลและได้แวะรับและฉันลูกสมอที่ชาวลั๊วะนำมาถวาย โดยได้ทรงพยากรณ์ไว้ตอนนั้นว่า สถานที่แห่งนี้จะมีผู้มาสร้างเมืองและตั้งชื่อว่า “หริภุญชัยนคร” และในกาลต่อมาก็มีฤาษี ๒ องค์ ชื่อว่า วาสุเทพและสุกกทันตะได้ร่วมกันสร้างเมือง ณ สถานที่แห่งนี้ และให้ชื่อเมืองว่า หริภุญชัยนคร ในปี พ.ศ.๑๒๐๔ สมจริงตามคำพยากรณ์ของพระพุทธองค์ทุกประการ
หริภุญชัยนคร แปลว่า เมืองที่พระพุทธเจ้าเคยเสวยลูกสมอ (หริ แปลว่า สมอ, ภุญชัย แปลว่า เสวย, นคร แปลว่า เมือง) ส่วนพระบรมธาตุนั้น แต่เดิมเก็บรักษาไว้ในกระบอกไม้รวกและใส่ไว้ในโกศแก้วอีกชั้นหนึ่ง ต่อมากษัตริย์ผู้ครองนครลำพูนทุกพระองค์ก็ได้บูรณะและพัฒนาขึ้นตามลำดับ โดยเปลี่ยนจากโกศแก้วเป็นโกศทองและเปลี่ยนเป็นมณฑป ในที่สุดเป็นเจดีย์ และมีการขยายขนาดเจดีย์ให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสูงถึง ๒๕ วาครึ่ง กว้าง ๑๒ วาครึ่ง ดังปรากฏให้เห็นอยู่ทุกวันนี้และเรียกชื่อว่า “วัดพระธาตุหริภุญชัย”
๒. สมัยพระพุทธกาล
พระดำรัสพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาล สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เคยเสด็จมาบิณฑบาตยังชัยภูมิแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่อยู่ของชาวเม็งหรือมอญ เมื่อรับบิณฑบาตแล้ว ก็ได้เสด็จเลียบฝั่งแม่น้ำระมิงค์ขึ้นมาทางทิศเหนือจนถึงสถานที่แห่งหนึ่ง พระพุทธเจ้าจึงทรงหยุดพักประทับอยู่บนหินก้อนหนึ่ง และทรงวางบาตรไว้ด้านข้าง ขณะนั้นมีพญาชมพูนาคราชและพญากาเผือกได้มาปรนนิบัติและอุปฐากพระพุทธองค์อย่างใกล้ชิด และได้มีชาวลั๊วะผู้หนึ่งได้นำเอาลูกสมอมาถวายพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธองค์ได้เสวยลูกสมอนั้นแล้ว จึงทรงทิ้งขว้างเมล็ดลูกสมอเหล่านั้นลงบนพื้นดินพร้อมกับตรัสพยากรณ์ไว้ว่า “สถานที่แห่งนี้ต่อไปภาคหน้า หลังจากเราตถาคตได้นิพพานไปแล้ว จะเป็นที่ตั้งของหริภุญชัยนคร และยังจะเป็นที่ประดิษฐานของพระสุวรรณเจดีย์อีกด้วย”
หลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว จะมีพระบรมสารีริกธาตุเป็นต้นว่า ธาตุกระหม่อม ธาตุดูกอก ธาตุดูกนิ้วมือ และธาตุย่อยอีกเต็มบาตรหนึ่ง มาประดิษฐานอยู่ ณ ที่นี้ด้วย หลังจากทรงมีพุทธพยากรณ์แล้ว พระอรหันต์ พระยาอโศก ชมพูนาคราช และพระยากาเผือก จึงพร้อมกันกราบบังคมทูลขอพระเกศธาตุจากพระพุทธองค์ๆ ทรงใช้พระหัตถ์เบื้องขวาลูบพระเศียรประทานให้เส้นหนึ่ง พระอรหันต์และพระยาทั้งสามได้นำเอาพระเกศธาตุบรรจุไว้ในกระบอกไม้รวก แล้วนำไปบรรจุในโกศแก้วใหญ่ ๓ กำ นำไปประดิษฐานไว้ในถ้ำใต้ที่ประทับนั้น พระพุทธองค์พร้อมด้วยพระอรหันต์ทั้งหลายจึงเสด็จกลับพาราณสี ส่วนหินที่พระพุทธองค์ประทับนั้นก็จมลงไปในแผ่นดินดังเดิม โดยชมพูนาคราชและพระยากาเผือกได้ทำหน้าที่เฝ้าพระเกศธาตุนั้น
พระบรมธาตุของพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธ์นิพพานไปได้ ๒๑๘ ปี พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชได้พบพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าที่เมืองราชคฤห์ จึงเกิดศรัทธาเลื่อมใสอยากจะสร้างพระเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุเหล่านั้นให้ได้ ๘๔,๐๐๐ แห่ง จึงมอบให้พระเถระทั้งหลายอัญเชิญพระบรมธาตุไปบรรจุในเจดีย์ยังเมืองต่างๆ ทั่วแคว้นชมพูทวีป สันนิษฐานว่าประเทศไทยเราก็คงได้รับส่วนแบ่งพระบรมธาตุในครั้งนั้นด้วย และตำนานท้องถิ่นบางแห่งยังบอกว่า พระกุมารกัสสปเถระ และพระเมฆิยเถระ เป็นผู้อัญเชิญพระบรมธาตุจากพระยาศรีธรรมาโศกราชมาไว้ที่ลัมภะกัปปะนครและหริภุญชัยนคร ซึ่งในกาลต่อมาพระเจ้าอาทิตยราชได้มาบูรณะพระธาตุหริภุญชัย และพระเจ้าจันทะเทวราชมาบูรณะพระธาตุลัมภะกัปปะนคร ปัจจุบันคือ วัดพระธาตุลำปางหลวง