แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 10689|ตอบ: 31
go

วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร ม.๑ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ลำพูน [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

IMG_6259.JPG



วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร

ม.๑ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ลำพูน


[พระเกศาธาตุ , พระธาตุส่วนกระหม่อมข้างขวา , ส่วนกระดูกอก ,

ส่วนกระดูกนิ้วมือ , พระธาตุย่อยเต็มบาตรหนึ่ง]

----------------------


(แก้ไขข้อมูลล่าสุด : 3 ต.ค. 2564)


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

IMG_6600.JPG



IMG_7189.JPG



วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิดวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน ห่างจากศาลากลางจังหวัดประมาณ ๑๕๐ เมตร มีถนนล้อมรอบสี่ด้าน คือ ทิศเหนือ ถนนอัฏฐารส ทิศใต้ ถนนชัยมงคล ทิศตะวันออก ถนนรอบเมือง และทิศตะวันตก ถนนอินทยงยศ มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ ๒๗ ไร่ ๓ งาน ๘๘ ตารางวา



IMG_5978.JPG



แผนผังวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร


วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร เดิมทีเป็นพระราชวังของพระเจ้าอาทิตยราช กษัตริย์ผู้ครองนครหริภุญชัยองค์ที่ ๓๓ ต่อจากพระนางจามเทวี ปฐมบรมกษัตริย์ของเมืองหริภุญชัย บริเวณกำแพงพระราชวังของพระเจ้าอาทิตยราช ได้แบ่งออกเป็น ๒ ชั้น คือชั้นนอกและชั้นใน ในกาลต่อมาภายหลังพระเจ้าอาทิตยราชได้ถวายพระราชวังของพระองค์ให้เป็นสังฆารามไว้กับทางพระพุทธศาสนา เมื่อถวายเป็นสังฆารามแล้วได้รื้อกำแพงชั้นนอกออกแล้วปั้นสิงห์คู่หนึ่งไว้ที่ซุ้มประตูด้านทิศตะวันออก เป็นสิงห์ขนาดใหญ่ประดับเครื่องทรงยืนอ้าปากประดิษฐานไว้แทน ตามคติโบราณทางเหนือซึ่งนิยมสร้างสิงห์เฝ้าวัด


วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร จึงมีกำแพง ๒ ชั้น ตามรูปลักษณะของพระราชวังเดิมของพระเจ้าอาทิตยราช คือ รอบบริเวณวัดชั้นนอกชั้นหนึ่ง และก่อกำแพงเป็นศาลาบาตรรอบองค์พระธาตุหริภุญชัยเป็นกำแพงชั้นในอีกชั้นหนึ่ง


บริเวณกำแพงชั้นใน (เขตพุทธาวาส) ประกอบด้วย องค์พระธาตุหริภุญชัย เป็นพระเจดีย์ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นส่วนพระอัฏฐิเบื้องธารพระโมลี พระอัฏฐิเบื้องพระทรวง พระอัฏฐิพระองคุลี และพระธาตุย่อยเต็มบาตรหนึ่ง


บริเวณกำแพงชั้นนอก (เขตสังฆาวาส) นอกกำแพงวัดชั้นในมีคณะสงฆ์ประจำทั้ง ๔ มุม มุมอาคเนย์ เรียกว่า คณะหลวง มุมอีสาน เรียกว่า คณะเชียงยัน มุมหรดี เรียกว่า คณะสะดือเมือง มุมพายัพ เรียกว่า คณะอัฏฐารส เป็นคณะสงฆ์ประจำบำรุงพระอารามที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ



บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

IMG_7201.JPG



ซุ้มประตูโขงท่าสิงห์ วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร
บูรณะเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๙


IMG_5611.JPG



ประวัติซุ้มประตูโขงท่าสิงห์ วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร



ซุ้มประตูโขงท่าสิงห์ เป็นซุ้มประตูทางเข้าสู่เขตพุทธาวาสของวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก สร้างขึ้นเมื่อครั้งที่พระเจ้าติโลกราชทรงทำการบูรณะวัด โดยโปรดให้ก่อกำแพงโดยรอบเขตพุทธาวาส เพื่อเป็นการป้องกันรักษาองค์พระธาตุอีกชั้นหนึ่ง ทั้งยังทรงให้ก่อสร้างซุ้มประตูโขงประดับด้วยลวดลายปูนปั้นอย่างงดงามทางประตูด้านทิศตะวันออกหน้าวิหารหลวง ทางทิศเหนือ ทางทิศใต้ และทิศตะวันตก แต่ปัจจุบันคงเหลือแต่ซุ้มประตูโขงทางทิศตะวันออกเท่านั้น

มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบฐานปัทม์ลูกแก้วอกไก่ มีหลังคาเป็นแบบ “ซุ้มโขง” คือก่อผนังเสาทั้ง ๒ ด้านโค้งเข้าหากัน ยอดหลังคาสร้างเป็นทรงปราสาทซ้อนกันหลายชั้น ซุ้มประตูนี้เชื่อว่าสร้างขึ้นพร้อมการปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุหริภุญชัย ในพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ด้านหน้าซุ้มประตูมีประติมากรรมสิงห์ปูนปั้นซึ่งสร้างขึ้น ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๔ ประดับอยู่ทั้ง ๒ ข้าง เดิมถัดจากซุ้มประตูนี้ไปทางตะวันออก มีสะพานไม้ทอดข้ามแม่น้ำกวงไปยังวัดพระยืน จึงเรียกซุ้มประตูนี้ว่า ซุ้มประตูโขงท่าสิงห์

----------------------


(แหล่งที่มา : ป้ายประวัติซุ้มประตูโขงท่าสิงห์)



IMG_7215.JPG



IMG_5620.JPG



รูปปั้นสิงห์แดงคู่ปูนปั้น
ประดับด้านหน้าทั้ง ๒ ข้าง ซุ้มประตูโขง วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร


IMG_5641.JPG



IMG_5640.JPG



ประตูทางเข้าทิศตะวันออก ด้านหน้าวิหารหลวง วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร



บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

IMG_7555.JPG



IMG_5651.JPG



IMG_7548.JPG



วิหารหลวง วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร


IMG_5666.JPG



ประวัติวิหารหลวง วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร



วิหารหลวง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระธาตุหริภุญชัย สร้างขึ้นในสมัยพระเมืองแก้ว กษัตริย์ผู้ครองนครเชียงใหม่ ในปี พ.ศ.๒๐๕๗ สถาปัตยกรรมเป็นทรงล้านนามีความงดงามมาก ต่อมามีการสร้างปรับปรุงขึ้นใหม่ในสมัยเจ้าดาราดิเรกรัตนไพโรจน์ เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ ๗ นับเป็นวิหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาวิหารทั้งหมดในวัด และมีความวิจิตรงดงามมาก เนื่องจากว่ามีลายรดน้ำประดับในส่วนที่เป็นไม้ทุกชิ้น วิหารดังกล่าวประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ ซึ่งมีกล่าวไว้ใน "นิราศหริภุญชัย" ซึ่งแต่งในราว พ.ศ.๒๐๖๐ สมัยพระเมืองแก้ว ใจความกล่าวไว้ดังนี้

" นบพระไสยาสน์เยื้อน              ปฎิมา
วงแวดฝูงขีณา                        ใฝ่เฝ้า
พระพุทธเปลี่ยนอิริยา                กรูโณ
เทียนคู่เคนพระเจ้า                   จุ่งได้ปัจจุบัน
มณฑกพระเจ้าบอก                  เกลือคอย กว่าเอย
สูงใหญ่หย้องเองพอย               เพื่อนบ้าน
เทียนทุงคู่คบสอย                    วอยแว่น เวนเอย
ผลเผื่อเร็วอย่าช้า                     ชาตินี้เนอมุนี "

ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๕๘ เกิดลมพายุขนาดใหญ่ ที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกกันว่า "ลมหลวง" พัดจนเกิดความเสียหาย วิหารหลวงพังทลายลงอย่างยับเยินสร้างความเศร้าโศกเสียใจแก่ชาวเมืองลำพูนเป็นอย่างมาก คงเหลือเพียงพระพุทธรูปที่ประดิษฐานบนแท่นแก้วองค์ที่อยู่ด้านเหนือเพียงองค์เดียวเท่านั้นที่มีสภาพสมบูรณ์ ท่านเจ้าอาวาสพร้อมด้วยศรัทธาประชาชนชาวเมืองลำพูนได้ช่วยกันก่อสร้างพระวิหารหลังใหม่ขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๖๐ แล้วเสร็จในปี พ.ศ.๒๔๗๒ และเป็นวิหารหลังที่เห็นในปัจจุบันนี้


IMG_6562.JPG



IMG_6520.JPG



IMG_6534.JPG



IMG_6541.JPG



IMG_6576.JPG



พระประธานวิหารหลวง ประดิษฐานภายใน วิหารหลวง วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร


IMG_6530.JPG



IMG_6531.JPG



พระแก้วขาว “พระเสตังคมณีศรีเมืองหริภุญชัย” ประทับนั่งอยู่เหนือบุษบกที่แกะสลักลงรักปิดทองอย่างสวยงาม ประดิษฐานภายใน วิหารหลวง วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร



บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

IMG_7315.JPG



IMG_6257.JPG



IMG_6324.JPG



IMG_6267.JPG



IMG_6364.JPG



พระธาตุหริภุญชัย วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร ประดิษฐานพระเกศาธาตุ พระบรมธาตุส่วนกระหม่อมข้างขวา พระบรมธาตุส่วนกระดูกอก พระบรมธาตุส่วนกระดูกนิ้วมือ และพระบรมธาตุย่อยเต็มบาตรหนึ่งขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีระกา (ไก่)


IMG_6310.JPG



IMG_6292.JPG



IMG_6200.JPG



องค์พระธาตุหริภุญชัย วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร มีส่วนสูง ๒๕ วา ๒ ศอก มีฐานกว้างด้านละ ๑๒ วา ๒ ศอก ๑ คืบ มีรั้วทองเหลืองล้อมรอบ ๒ ชั้นทั้งสี่ด้าน และมีซุ้มกุมภัณฑ์และฉัตรประจำสี่มุม มีหอยอประจำทุกด้าน รวม ๔ หอ บรรจุพระพุทธรูปนั่งข้างในทุกหอ


IMG_6430.JPG


IMG_7511.JPG



พระธาตุหริภุญชัย วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร ตำนานระบุว่าสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๑๗ โดยพระเจ้าอาทิตยราชเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่อุบัติขึ้นในเขตพระราชวัง แรกสร้างเป็นเจดีย์ทรงปราสาท ต่อมาในสมัยพระเจ้าสววาธิสิทธิแห่งอาณาจักรหริภุญไชยได้ทรงก่อพอกองค์พระธาตุให้มีขนาดใหญ่ขึ้น แต่ยังคงรูปแบบสถาปัตยกรรมเดิมไว้ ครั้งพระยามังรายตีเมืองหริภุญไชยในพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ได้ทรงก่อเจดีย์ทรงกลมครอบทับองค์เจดีย์เดิมไว้

ต่อมาได้รับการปฏิสังขรณ์โดยบูรพกษัตริย์ล้านนาสืบเนื่องมาอีกหลายพระองค์ ส่วนรูปแบบที่ปรากฏในปัจจุบันเป็นผลจากการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยพระเจ้าติโลกราช ในปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ โดยผสมผสานเจดีย์ทรงระฆังแบบพุกามและเจดีย์ทรงระฆังแบบลังกาจนกลายเป็นรูปแบบเฉพาะของเจดีย์ทรงระฆังแบบล้านนาที่ได้รับการยอมรับว่ามีรูปแบบที่สง่างามและส่งอิทธิพลให้แก่การสร้างเจดีย์ประธานในวัดต่างๆ จำนวนมาก

พระธาตุหริภุญชัย เป็นปฐมเจดีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในอาณาจักรหริภุญไชยและได้รับการเคารพสักการะจากพุทธศาสนิกชนและบูรพกษัตริย์ สืบมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาร่วม ๙๐๐ ปี ถือเป็น ๑ ใน ๘ จอมเจดีย์ของไทย และยังเป็น ๑ ใน สัตตมหาสถานที่พระมหากษัตริย์เมื่อแรกเสวยราชย์จะต้องแต่งเครื่องสักการบูชาถวายตามโบราณราชประเพณี

----------------------


(แหล่งที่มา : ป้ายประวัติ
พระธาตุหริภุญชัย)

บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

IMG_6214.JPG



IMG_7399.JPG



IMG_6134.JPG



IMG_6216.JPG



หอยอ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปประจำทิศทั้งสี่ด้าน พระธาตุหริภุญชัย วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

IMG_6222.JPG



IMG_6240.JPG



IMG_6249.JPG



IMG_6277.JPG



IMG_6293.JPG



ซุ้มกุมภัณฑ์ ประจำทั้งสี่มุม พระธาตุหริภุญชัย วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร


IMG_6158.JPG



IMG_6311.JPG



IMG_6238.JPG



IMG_6275.JPG



IMG_7412.JPG



ฉัตร ประจำทั้งสี่มุม พระธาตุหริภุญชัย วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร



บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

IMG_6286.JPG



ตำนานพระธาตุหริภุญชัย



จากหนังสือตำนานต่างๆ เช่น มูลศาสนาชินกาลมาลินีจามเทวีวงศ์ และพงศาวดารโยนก ปรากฏว่า พระธาตุหริภุญชัยบรรจุพระเกศาบรมธาตุของพระพุทธเจ้า ชั้นเดิมบรรจุไว้ในกระบอกไม้รวก ฝังไว้ใต้พื้นซึ่งเป็นที่ตั้งพระบรมธาตุเจดีย์หริภุญชัย ปัจจุบันนี้เอง


ในตำนานกล่าวไว้ว่า ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่นั้นได้เคยเสด็จมาสู่สถานที่นี้ ได้ประทับนั่งบนหินก้อนหนึ่ง ทรงทำนายว่า สถานที่นี้จะเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนาในอนาคต และกล่าวว่าพญานาคราชได้ออกมาทูลขอพระเกศาธาตุ พระองค์จึงทรงลูบพระเศียรได้พระเกศามาเส้นหนึ่ง พญานาคราชจึงน้อมรับมาบรรจุไว้ในกระบอกไม้รวกฝังไว้ในดิน นำหินทับไว้อีกชั้นหนึ่ง โดยพระเทพบุตรซึ่งได้จำแลงเป็นกาเผือกได้คอยเฝ้ารักษาพระบรมสารีริกธาตุไว้มิให้ใครมาดูหมิ่นเหยียบย่ำ


จนกระทั่งรัชสมัยของพระเจ้าอาทิตยราชได้ทรงค้นพบ โดยได้เห็นพระบรมธาตุเสด็จปรากฏเป็นฉัพพรรณรังสีสว่างเจิดจ้าอยู่เป็นเวลานาน และฉัพพรรณรังสีทั้งหมดหายไปในกระบอกไม้รวก พระองค์จึงทรงอัญเชิญพราหมณ์ผู้รู้ทั้งหลาย ทุกท่านต่างก็มีความเห็นอย่างเดียวกันว่า ควรอัญเชิญพระบรมธาตุไปบรรจุไว้ในสถานที่เดิมจะเป็นการดีที่สุด เพราะเป็นพระประสงค์ของพระพุทธองค์ โดยทรงบรรจุพระบรมธาตุไว้ในโกษ ๓ ชั้น ตั้งประดิษฐานบนสำเภาทองคำ บรรจุไว้ในหลุมลึก ๙ วา และทรงสร้างพระเจดีย์ครอบองค์พระบรมธาตุไว้ และได้ทำบุญสมโภชพระเจดีย์เป็นการใหญ่


ในคืนหนึ่งยามใกล้รุ่ง พระเจ้าอาทิตยราชได้ทรงสุบินนิมิตว่า ได้ทรงเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่งฉันลูกสมออยู่ ณ ที่องค์เจดีย์ประดิษฐานอยู่ แวดล้อมด้วยพระอรหันตสาวกหลายองค์ พระพุทธองค์ทรงวางเม็ดสมอไว้ในที่ที่พระองค์ทรงประทับอยู่ หลังจากตื่นบรรทมแล้วพระองค์จึงทรงปรึกษากับปุโรหิตาจารย์ทั้งหลายว่าเป็นนิมิตหมายประการใดเหล่า ปุโรหิตาจารย์ได้พิจารณาแล้วได้ถวายความเห็นว่า นับว่าเป็นนิมิตหมายอันเป็นมงคลยิ่งจะนำความเป็นสิริมงคลมาสู่ปวงชนประชาทั้งหลาย บ้านเมืองจะอุดมสมบูรณ์ พระพุทธศาสนาก็จะเจริญรุ่งเรือง เป็นต้น


และทรงพิจารณาเห็นว่าวัดที่ทรงสร้างขึ้นนี้ยังไม่มีชื่อเรียกขาน สมควรที่จะนำเอานิมิตที่เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังฉันลูกสมอมาเป็นมงคลนามของวัดก็จะเป็นการดียิ่งนัก จึงได้ชื่ออันเป็นที่พอพระทัยว่า “วัดพระธาตุเจ้าจอมสะหรีหริภุญไชยาวาส” หรือวัดพระธาตุหริภุญชัยปัจจุบัน ซึ่งมาจากคำว่า หริตะ แปลว่า สมอ ภุญชยะ แปลว่า ขบฉัน ตามนิมิตทุกประการ


---------------------


(แหล่งที่มา : ศุภสิทธิ์ มหาคุณ. (๒๕๓๗, ๒๓ มกราคม). หนังสือพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุประจำปีเกิด.)



IMG_5782.JPG


ประวัติวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร



(แหล่งที่มา : วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร. ประวัติวัด. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก : http://www.hariphunchaitemple.org/modules.php?name=Content&pa=list_pages_categories&cid=11. (วันที่ค้นข้อมูล : ๑ มกราคม ๒๕๕๗))  


๑. ชื่อของวัดพระธาตุหริภุญชัยฯ


IMG_7231.JPG



ชื่อของวัดพระธาตุหริภุญชัย มาจากชื่อของเมืองหริภุญชัย ตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงพยากรณ์ไว้เมื่อครั้งเสด็จมาบิณฑบาตในสมัยพระพุทธกาลและได้แวะรับและฉันลูกสมอที่ชาวลั๊วะนำมาถวาย โดยได้ทรงพยากรณ์ไว้ตอนนั้นว่า สถานที่แห่งนี้จะมีผู้มาสร้างเมืองและตั้งชื่อว่า “หริภุญชัยนคร” และในกาลต่อมาก็มีฤาษี ๒ องค์ ชื่อว่า วาสุเทพและสุกกทันตะได้ร่วมกันสร้างเมือง ณ สถานที่แห่งนี้ และให้ชื่อเมืองว่า หริภุญชัยนคร ในปี พ.ศ.๑๒๐๔ สมจริงตามคำพยากรณ์ของพระพุทธองค์ทุกประการ  

หริภุญชัยนคร แปลว่า เมืองที่พระพุทธเจ้าเคยเสวยลูกสมอ (หริ แปลว่า สมอ, ภุญชัย แปลว่า เสวย, นคร แปลว่า เมือง) ส่วนพระบรมธาตุนั้น แต่เดิมเก็บรักษาไว้ในกระบอกไม้รวกและใส่ไว้ในโกศแก้วอีกชั้นหนึ่ง ต่อมากษัตริย์ผู้ครองนครลำพูนทุกพระองค์ก็ได้บูรณะและพัฒนาขึ้นตามลำดับ โดยเปลี่ยนจากโกศแก้วเป็นโกศทองและเปลี่ยนเป็นมณฑป ในที่สุดเป็นเจดีย์ และมีการขยายขนาดเจดีย์ให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสูงถึง ๒๕ วาครึ่ง กว้าง ๑๒ วาครึ่ง ดังปรากฏให้เห็นอยู่ทุกวันนี้และเรียกชื่อว่า “วัดพระธาตุหริภุญชัย”


๒. สมัยพระพุทธกาล


IMG_5679.JPG



พระดำรัสพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาล สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เคยเสด็จมาบิณฑบาตยังชัยภูมิแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่อยู่ของชาวเม็งหรือมอญ เมื่อรับบิณฑบาตแล้ว ก็ได้เสด็จเลียบฝั่งแม่น้ำระมิงค์ขึ้นมาทางทิศเหนือจนถึงสถานที่แห่งหนึ่ง พระพุทธเจ้าจึงทรงหยุดพักประทับอยู่บนหินก้อนหนึ่ง และทรงวางบาตรไว้ด้านข้าง ขณะนั้นมีพญาชมพูนาคราชและพญากาเผือกได้มาปรนนิบัติและอุปฐากพระพุทธองค์อย่างใกล้ชิด และได้มีชาวลั๊วะผู้หนึ่งได้นำเอาลูกสมอมาถวายพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธองค์ได้เสวยลูกสมอนั้นแล้ว จึงทรงทิ้งขว้างเมล็ดลูกสมอเหล่านั้นลงบนพื้นดินพร้อมกับตรัสพยากรณ์ไว้ว่า “สถานที่แห่งนี้ต่อไปภาคหน้า หลังจากเราตถาคตได้นิพพานไปแล้ว จะเป็นที่ตั้งของหริภุญชัยนคร และยังจะเป็นที่ประดิษฐานของพระสุวรรณเจดีย์อีกด้วย”

หลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว จะมีพระบรมสารีริกธาตุเป็นต้นว่า ธาตุกระหม่อม ธาตุดูกอก ธาตุดูกนิ้วมือ และธาตุย่อยอีกเต็มบาตรหนึ่ง มาประดิษฐานอยู่ ณ ที่นี้ด้วย หลังจากทรงมีพุทธพยากรณ์แล้ว พระอรหันต์ พระยาอโศก ชมพูนาคราช และพระยากาเผือก จึงพร้อมกันกราบบังคมทูลขอพระเกศธาตุจากพระพุทธองค์ๆ ทรงใช้พระหัตถ์เบื้องขวาลูบพระเศียรประทานให้เส้นหนึ่ง พระอรหันต์และพระยาทั้งสามได้นำเอาพระเกศธาตุบรรจุไว้ในกระบอกไม้รวก แล้วนำไปบรรจุในโกศแก้วใหญ่ ๓ กำ นำไปประดิษฐานไว้ในถ้ำใต้ที่ประทับนั้น พระพุทธองค์พร้อมด้วยพระอรหันต์ทั้งหลายจึงเสด็จกลับพาราณสี ส่วนหินที่พระพุทธองค์ประทับนั้นก็จมลงไปในแผ่นดินดังเดิม โดยชมพูนาคราชและพระยากาเผือกได้ทำหน้าที่เฝ้าพระเกศธาตุนั้น  

พระบรมธาตุของพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธ์นิพพานไปได้ ๒๑๘ ปี พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชได้พบพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าที่เมืองราชคฤห์ จึงเกิดศรัทธาเลื่อมใสอยากจะสร้างพระเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุเหล่านั้นให้ได้ ๘๔,๐๐๐ แห่ง จึงมอบให้พระเถระทั้งหลายอัญเชิญพระบรมธาตุไปบรรจุในเจดีย์ยังเมืองต่างๆ ทั่วแคว้นชมพูทวีป สันนิษฐานว่าประเทศไทยเราก็คงได้รับส่วนแบ่งพระบรมธาตุในครั้งนั้นด้วย และตำนานท้องถิ่นบางแห่งยังบอกว่า พระกุมารกัสสปเถระ และพระเมฆิยเถระ เป็นผู้อัญเชิญพระบรมธาตุจากพระยาศรีธรรมาโศกราชมาไว้ที่ลัมภะกัปปะนครและหริภุญชัยนคร ซึ่งในกาลต่อมาพระเจ้าอาทิตยราชได้มาบูรณะพระธาตุหริภุญชัย และพระเจ้าจันทะเทวราชมาบูรณะพระธาตุลัมภะกัปปะนคร ปัจจุบันคือ วัดพระธาตุลำปางหลวง


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ประวัติวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร


๓. สมัยนครหริภุญชัย


IMG_5672.JPG



จากเขตพระราชฐานเป็นเขตพุทธาวาส กาลเวลาล่วงมาจนถึงปีจุลศักราช ๒๓๘ พระพุทธศาสนาล่วงไปได้ ๑,๔๒๐ ปี ณ อาณาบริเวณที่เป็นวัดพระธาตุหริภุญชัยฯ ในปัจจุบันนี้ เมื่อครั้งนั้นเป็นเขตพระราชฐานแห่งพระเจ้าอาทิตยราช องค์ที่ ๓๐ กษัตริย์ผู้ครองเมืองหริภุญชัยในสมัยนั้น พระองค์โปรดให้สร้างปราสาทราชมณเฑียรเป็นที่ประทับ ครั้นเสร็จแล้วพระองค์ก็เข้าประทับอยู่ภายในปราสาทราชมณเฑียรแห่งนั้น



IMG_5685.JPG



วันหนึ่งพระองค์จะเสด็จไปสู่วสัญชนฐาน (ห้องน้ำ) ปรากฏมีกาตัวหนึ่งได้บินโฉบลงมาเป็นทำนองกันไม่ให้พระองค์เข้าไปถึงฐานนั้นได้ ด้วยความกริ้วพระองค์จึงต้องย้ายไปใช้ฐานอื่น และทรงมีกระแสรับสั่งให้จับกาตัวการนั้นมาฆ่าเสีย แต่เทวดาได้ดลใจให้อำมาตย์ผู้หนึ่งทัดทานไว้ เพราะสงสัยในพฤติการณ์ของกานั่นเอง


IMG_5691.JPG



คืนนั้นยามใกล้รุ่ง เทวดาผู้รักษาพระเกศธาตุได้สำแดงฤทธิ์มาในพระสุบินถวายคำแนะนำให้พระองค์นำทารกมาอยู่กับกา ๗ วัน และอยู่กับคน ๗ วัน เป็นเวลา ๗ ปี



IMG_5707.JPG



เมื่อถึงเวลานั้นเด็กก็จะสามารถแปลภาษากาให้คนได้รับทราบเหตุการณ์อันเป็นปริศนานั้นได้โดยชัดแจ้ง พระเจ้าอาทิตยราชจึงทรงทราบเรื่องราวเกี่ยวกับพระเกศธาตุโดยละเอียด พระเจ้าอาทิตยราชจึงโปรดให้เชิญพระยากาเผือกมาสู่ปราสาทแห่งพระองค์ โดยพระองค์โปรดให้จัดสถานที่สำหรับต้อนรับพระยากาเผือกอย่างสมฐานะพระยาแห่งกาทั้งปวง พระยากาเผือกจึงเล่าความเป็นมาถวายทุกประการ


IMG_5716.JPG



พระเจ้าอาทิตยราชทรงมีพระราชหฤทัยอภิรมย์ยินดีเป็นอย่างยิ่ง จึงตรัสสั่งให้รื้อราชมณเฑียรทั้งปวงออกไปจากสถานที่แห่งนั้นจนหมดสิ้น แล้วโปรดให้ปรับพื้นที่อันเป็นมงคลนั้นให้เรียบงามตา พระองค์โปรดให้พระสงฆ์สวดพระปริตตมงคล เพื่ออาราธนาพระบรมธาตุให้ออกมาปรากฏ พระธาตุเจ้าจึงสำแดงฤทธาภินิหารโผล่ขึ้นมาพ้นแผ่นดิน ทั้งโกศแก้วลอยขึ้นไปในอากาศสูงเท่าต้นตาล พระบรมธาตุได้เปล่งฉัพพรรณรังสีเจิดจ้าไปทั่วนครหริภุญชัยเป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน แล้วจึงลอยลงมาประดิษฐานบนแผ่นดินดังเดิม


IMG_5727.JPG



พระเจ้าอาทิตยราชโปรดให้ขุดเอาโกศบรรจุพระธาตุขึ้นมา แต่ทว่ายิ่งขุดโกศนั้นก็ยิ่งจมลงไป พระองค์จึงต้องบูชาอาราธนาพระธาตุ จึงได้ยอมลอยขึ้นมาสูงจากพื้นดินถึง ๓ ศอก พระองค์จึงให้สั่งรื้อถอนปราสาทราชมณเฑียรทั้งหมดออกไปตั้งราชสำนัก ณ ที่อื่น ดังนั้นพระบรมธาตุหริภุญชัย จึงได้ถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ.๑๔๔๐ โดยพระเจ้าอาทิตยราชโปรดให้สร้างโกศทองคำหนัก ๓,๐๐๐ คำ สูง ๓ ศอก ประดับประดาไปด้วยแก้วทั้ง ๗ ประการ ครอบโกศพระธาตุของพระพุทธเจ้านั้น แล้วโปรดให้สร้างมณฑปปราสาทสำหรับประดิษฐานพระบรมธาตุเจ้า ดังข้อความที่กล่าวไว้ในตำนานมูลศาสนา ดังนี้

“...
พระยาอาทิตตราชก็ให้เอาหินมาเพื่อจักก่อให้เป็นเจดีย์ ครั้นได้หินมาบริบูรณ์แล้วจึงให้หานักปราชญ์มาพิจารณาดูวันยาม ฉายาฤกษ์อันเป็นมงคล ครั้นได้ฤกษ์แล้วพระยาก็แบกหินอันเป็นมงคลนั้นมาก่อในท่ามกลาง เพื่อจักให้ก่อก่อนสำหรับเป็นที่รอง โกศธาตุพระพุทธเจ้า ทั้งหลายนั้นแลครั้นพระยาหยิบหินก้อนนั้นยอขึ้น ก็ให้ประโคมดุริยดนตรีเป็นมงคลเสียงอึงมี่นัก เป็นดังเมฆอันพัดกันในท้องฟ้าฉะนั้น ก็เป็นอันดังกึกก้องทั่วเมืองหริภุญไชยทั้งมวลนั้น พระยาก็ให้ก่อในที่หนึ่งแล้วก็ให้ก่อเป็น ๔ เสาดังปราสาทสูงได้ ๑๒ ศอก ให้เป็นประตู โค้งทั้ง ๔ ด้าน อยู่ภายนอกโกศธาตุเจดีย์นั้นแล ในเมื่อธาตุเจดีย์เสร็จพร้อมทุกอันแล้ว พระยาก็ให้ฉลองเจดีย์มีเครื่องพร้อมทุกอัน กระทำบูชาอยู่ถ้วย ๗ วัน ๗ คืน...”

ในปี พ.ศ.๑๖๕๑ สมัยพระเจ้าอาทิตยราช องค์ที่ ๓๓ จึงได้สร้างวัดพระธาตุหริภุญชัยขึ้นเป็นศูนย์สถานอันยิ่งใหญ่แห่งล้านนาไทยอีกครั้งหนึ่ง


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ประวัติวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร


๔. ยุคบูรณะต่อยอดพระธาตุหริภุญชัยให้สูงเสียดฟ้า         


IMG_6366.JPG



เมื่อปีพุทธศักราช ๑๗๒๒ ในสมัยของพระเจ้าสรรพสิทธิ์ ได้เป็นผู้ครองนครลำพูน ทรงมีศรัทธาเลื่อมใสองค์พระธาตุหริภุญชัย พระองค์ทรงสร้างโกศทองเสริมต่อขึ้นอีก ๑ ศอก รวมเป็น ๔ ศอก แล้วสร้างมณฑปองค์หนึ่งสูงได้ ๒๔ ศอก ครอบมณฑปองค์เดิมที่พระยาอาทิตยราชสร้างไว้ ซึ่งเสริมต่อขึ้นอีก ๒ วา รวมเป็น ๕ วา

ครั้งปีพุทธศักราช ๑๘๑๙ พระยามังราย ผู้ครองนครเชียงราย ได้ชัยชนะครองนครลำพูน ก็ทรงมีพระราชศรัทธาในพระธาตุหริภุญชัยเช่นเดียวกัน พระองค์โปรดให้ก่อเจดีย์ครอบมณฑปที่พระยาสรรพสิทธิ์สร้าง เจดีย์องค์นี้เป็นเจดีย์ทรงกลมมีความสูงถึง ๗๐ ศอก (ครอบมณฑปเดิมอีก ๑๐ วา รวมเป็น ๑๕ วา) ตลอดทั้งองค์เจดีย์ได้มีการหุ้มด้วยแผ่นทองจังโกฎก์หุ้มตั้งแต่ฐานจนถึงยอด

เมื่อพระยากือนาขึ้นปกครองเมืองเชียงใหม่ พระองค์ได้ปฏิบัติตามราชประเพณีที่จะต้องทำนุบำรุงพระบรมธาตุเช่นที่พระบูรพกษัตริย์ทุกพระองค์ทรงปฏิบัติสืบต่อกันมา พระองค์ทรงตั้งสัตยอธิษฐานปล่อยช้างพลายมงคลเชือกหนึ่งชื่อ “ผู้ไชยหนองแขม” ให้ออกไปหาดินแดนถวายพระธาตุ โดยกำหนดเอาตามเส้นทางที่ช้างเชือกนี้ออกหากินได้ดินแดนถวายแก่องค์พระธาตุมากมายดังนี้

“...ช้างเชือกนั้นก็กระหวัดแปรไปทิศใต้ฟากน้ำแม่ระมิงค์ด้านตะวันตกไปถึงสบล้องงัวเฒ่า เกี้ยวไปข้ามสบแม่ทาน้อยแผวแสน ข้าวน้อย (ฉางข้าวน้อย) ฟากน้ำแม่ทาฝายตะวันตกถึงหนองสร้อยและสบห้วยปลายปืน แล้วไปกิ่วปลีดอยละคะแล้วถึงบ้านยางเพียง ไปดอยถ้าโหยด ดอยเก็ดสอง ขุนแม ขุนกอง ลงไปถึงแม่ขุนยอด ไปม่อนมหากัจจายน์ฝายเวียงทะมอฝายตะวันตก เกี้ยวขึ้นมาทาง แปหลวงมาผีปันน้ำ ถึงกิ่วขามป้อมหินฝั่งถึงขุนแม่อี่เราะแล้วไปถึงขุนแม่ลาน ลงมาแม่ออนล่องแม่ออนมาถึงสบแม่ออน แล้วกินผ่าเวียงกุมกาม กลับมาถึงป่า จรดกับปล่อยตอนแรก”  

ลุถึงในสมัยของพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์ผู้เรืองนามในล้านนาไทย พระองค์ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุหริภุญชัย เพราะทรงเคารพนับถือว่าเป็นสถูปเจดีย์อันสำคัญในล้านนาไทย กล่าวคือ เมื่อปีพุทธศักราช ๑๙๘๖ พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์การก่อสร้าง และอาราธนาพระมหาเมธังกรให้เป็นนวกัมมาธิษฐายีควบคุมการก่อสร้าง ได้เสริมต่อพระบรมธาตุสูงขึ้น ๘ วา จากเดิมซึ่งสูงอยู่แล้ว ๑๕ วา รวมเป็น ๓๒ วา ฐาน ๑๒ วา ๒ ศอก ฉัตร ๗ ชั้น แก้วบุษน้ำหนัก ๒๓๐ เฟื้อง ทั้งได้นำทองจังโกฏก์ (ทองแดงปนนาคทำเป็นแผ่น) หุ้มองค์พระบรมธาตุตั้งแต่ฐานถึงยอด สิ้นทองจังโกฏก์ ๑๕,๐๐๐ แผ่น การก่อสร้างเริ่มขึ้นในในปีดับเปล้า (ปีฉลู) เดือน ๘ (เหนือ) ออกค่ำ (แรมหนึ่งค่ำ) วันพุธ พระจันทร์เสวยฤกษ์ที่ ๒๒ ชื่อ อุตราสาฒ

จนถึงปีรวายยี (ปีขาล) จุลศักราช ๘๐๘ พระพุทธศาสนาล่วงแล้วได้ ๑๙๙๐ ปี เดือนวิสาขะออก ๓ ค่ำ วันอังคาร ไทยยกสง้านับได้ ๖ เดือน จึงสำเร็จบริบูรณ์ พระเจดีย์องค์นี้ตีนฐานมนกว้าง ๑๒ วาครึ่ง สูงแต่ใจกลางขึ้นไป ๓๒ วา มีฉัตร ๗ ใบ เมื่อเสร็จแล้วก็โปรดให้มีการสวดปริตตมงคลและพุทธาภิเษกฉลองอบรมพระมหาเจดีย์องค์นี้ และจัดให้มีการมหรสพฉลอง ๗ วัน ๗ คืน  


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-4-19 12:04 , Processed in 0.091885 second(s), 16 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.