แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

ธรรมะสำหรับผู้ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์และสานุศิษย์พระโพธิสัตว์ ; หลวงปู่ทวด

Rank: 8Rank: 8

pimnuttapa โพสต์เมื่อ 2009-1-27 23:04 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

ตอนที่ ๓๘

ขันติบารมี



เจริญพร

สานุศิษย์ทั้งหลาย วันนี้เป็นวันที่ท่านทั้งหลายได้มาร่วมกันปรึกษากันในคณะของท่านที่ได้รับในการแต่งตั้งเป็นกรรมการ หรือว่าเป็นผู้ที่จะเข้ามารับผิดชอบงานในสำนักนี้ ทีนี้ในภาวะนี้ ในการทำงานขณะนี้ มันก็เป็นเรื่องที่ยากที่เราก็จะต้องแลกันก็คือว่า อาตมาจะได้ให้คติของเรื่องคำว่า “การทำงานที่นี่ เราจะต้องมีขันติธรรม”

คือ ขันติเป็นผลในการที่จะนำไปสู่ในความสำเร็จของงาน เรียกว่าในการประชุมนี้ บางคนมีความหนักใจในปัญหาต่างๆ ซึ่งที่จริงแล้วปัญหาทั้งหลาย ถ้าท่านเชื่อว่า “กรรมมันต้องเป็นกรรม” ทุกอย่างมันก็ต้องมีสมุฏฐาน ในเรื่องเหตุก็ต้องมีผลในการแก้ไขปัญหาทั้งหลาย ขออย่างเดียวว่า


ขอให้ท่านมีความขันติในการทำงาน ขันติต่อคำสรรเสริญนินทา ขันติต่ออารมณ์ของเพื่อนร่วมงาน ขอให้ปลงตก เพราะว่ามนุษย์ทั้งหลายเกิดมานับเป็นกรรม เป็นภาระที่ต่างคนต่างสะสมมาไม่เหมือนกัน ภาษาพระเขาเรียกว่า “นานาจิตตัง”

ภาวะแห่งนานาจิตตังนี่ เราจะทำอย่างไรที่จะทำให้กระแสอารมณ์อันใดอันหนึ่งให้มันตรงกันที่จะทำงานใหญ่ได้ โดยวางในเรื่องส่วนตัว ซึ่งเป็นอารมณ์นานาจิตตังในอนุสัยแห่งความเห็นชอบของตนเองออก แล้วมุ่งเป้าหมายที่จะให้ได้ลุล่วงในผลงาน

ขณะนี้จุดสำคัญ อาตมาก็อยากจะให้ท่านทั้งหลายพิจารณาในการที่ท่านโตจะวางแผนในเรื่อง จัดงานลงพลังจิตสมเด็จฯ ๙ ประเทศ ที่จะไปจัดงานที่เมืองราชบุรีในเทือกเขาถ้ำพระนั้นเป็นเรื่องหลัก ซึ่งในผลงานที่วางไว้นั่นก็รู้สึกว่าใหญ่


ทีนี้งานใหญ่มันจะสำเร็จหรือไม่ มันก็อยู่ที่ผู้ร่วมงานรู้จักแบ่งหน้าที่ตามภาวะ ถ้อยถีถ้อยอาศัยในระหว่างการดำเนินงาน ต้องประสานงานกันให้ดี ผลงานนั้นก็จะสำเร็จได้ดี คือท่านต้องเข้าใจว่า คำว่าทำงานใหญ่ ทำให้ดีมันทำยาก ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาก็เรียกว่า สิ่งชั่วนั้นมันมีพลังเหนือสิ่งดี เพราะถ้าสิ่งชั่วไม่มีพลังเหนือสิ่งดีแล้ว ท่านจะเห็นว่า ผู้สำเร็จก็จะต้องมีมากมาย

ถ้าในการทำทุกอย่างในสิ่งที่เป็นเรื่องของคำว่า ดี ยุติธรรม สัจจะ บริสุทธิ์ เป็นสิ่งที่ทำง่าย ก็คิดว่าคงจะต้องมีบรมศาสดาจารย์เกิดขึ้นมากกว่าดอกเห็ด แต่เหตุไฉนสองพันกว่าปี พุทธศาสนามีทั้งดีทั้งยอดก็มีเพียงองค์เดียว คือ องค์สัมมาสัมพุทธสิทธัตถะ


เพราะฉะนั้นในขณะนี้ เราก็กำลังต้องทำงานที่เรียกว่า คนเขาไม่ทำ เขาก็มองเราเป็นพวกงมงายก็ดี พวกบ้าก็ดี เราก็ถือขันติในการที่จะประสานงานกับคน งานนั้นๆ ให้มันลุล่วงไป สิ่งเหล่านี้อาตมาก็จะใคร่อยากจะให้ท่านทั้งหลายเข้าใจ

การประสานงานทำให้ลุล่วงในเป้าหมายที่วางไว้ไม่มากก็น้อย คือว่า คำว่างาน งานที่เรียกว่า “ทุกข์” เราทำงานคือ เราไปสร้างงานหรือเข้าไปจัดทำอะไรนี่ เขาเรียกว่า “เริ่มก่อทุกข์” แต่ผลของ “ทุกข์” นั้น เราก็ต้องคิดว่า เมื่อ “ทุกข์” อันนั้นเราสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร ทุกข์อันนั้นเราสร้างขึ้นมาเพื่อเบียดเบียนตัวเราเอง หรือทุกข์อันนั้นสร้างขึ้นมาเพื่อเบียดเบียนคนอื่น


หรือถ้าพูดแบบภาษาอาตมาเขาเรียกว่า ทุกข์ที่เราสร้างขึ้นมาขณะนี้ เราเรียกว่า “บำเพ็ญทุกขบารมี” เพื่อให้หลุดพ้นในสังสารวัฏ และทุกข์ที่เราจะสร้างกันนี่ เรายอมทุกข์กายใจเรา เพื่อความสุขของมวลมนุษย์ของเพื่อนร่วมแผ่นดิน

ซึ่งอาตมาก็เคยพูดไว้ตั้งนานแล้วว่า เรื่องของแผ่นดิน เรื่องของบัลลังก์ มันเป็นเรื่องใหญ่ มันไม่ใช่เรื่องเล็ก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนี่ เหตุมีปัจจัย ปัจจัยมีเหตุ ถ้าเราจะไปพูดแบบว่า คนอื่นเขาไม่ทุกข์แล้วเรามาทุกข์ทำไม ก็จะไปเป็นปัญหาขึ้นมา


ปัญหานี่ก็หมายความว่า คนอื่นเขาทำไมไม่เป็นทุกข์ ก็เพราะเขาไม่รู้จะทำอย่างไร หรือไม่มีทางที่จะดับทุกข์อันที่เกิดขึ้นมา ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า บารมีอาจจะไม่ถึงบ้าง ตัวมีความรู้ไม่เพียงพอที่จะมาแก้ไข ก็เลยปล่อย ก็เลยวาง หรือว่าเห็นแก่ตัว

ทีนี้ภาวะแห่งสังคมสยามปัจจุบันเช่นนี้น่ะ ท่านคิดว่าเห็นแก่ตัวน่ะ นึกว่าท่านจะอยู่รอดหรือ เมื่อศาสนา เศรษฐกิจ การปกครอง บ้านเมือง ราชบัลลังก์ มันเป็นลูกโซ่ที่เกี่ยวข้อง ในสังคมมนุษย์แห่งประเทศสยามอยู่ในภาวะอันเลวร้ายเช่นนี้


ทีนี้ ในการทำงานในสังคมกลียุคเช่นนี้ เราจะต้องอาศัย “ขันติธรรม” เป็นหลัก จะต้องอดทนต่อทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะว่าท่านต้องเข้าใจว่า ไม่ว่ายุคใด การทำงานใหญ่นั้น ไม่ใช่ว่ามีคนจะสนับสนุนหมด เขาเรียกว่าโลกที่มันเกิดมาเป็นคู่ มีโลกียะ ต้องมีโลกุตระ มีทุกข์ต้องมีสุข

ทีนี้เราต้องขันติในการทำงานที่ฟังเสียงนินทาสรรเสริญ แล้วก็ไม่ยึดเสียงนั้น แต่เราต้องมุ่งพิจารณาในงานของหมู่คณะเป็นหลักว่า เรากำลังจะมาสร้างสังคมหมู่คณะให้เข้าซึ้งถึงสัจธรรม เข้าซึ้งถึงความจริง เข้าซึ้งถึงความตายอย่างแท้จริง เมื่อนั้นเราก็จะยิ่งมีขันติธรรมที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น คำว่าขันติ ในข้อนี้คือ ขันติบารมี

อาตมาเชื่อว่า สองพันกว่าปีนี่แล้ว จะหาผู้ที่มีขันติหนักแน่นขนาดเท่าองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มี เจ้าชายสิทธัตถะทิ้งราชบัลลังก์บำเพ็ญพรตจนสำเร็จสัมมาสัมโพธิญาณ ไม่ใช่ว่าสำเร็จนั้นแล้ว ศาสนาของพระองค์ก็จะอยู่ถึงปัจจุบันจนมีผู้สืบต่อ พระองค์ต้องทำงานหนักอย่างยิ่งในการที่จะจรรโลงเผยแพร่ความสำเร็จนั้น ในระหว่างที่พระองค์ประกาศผลสำเร็จอันนั้น ท่านต้องเข้าใจว่าลำบากขนาดไหน

พระองค์เดินด้วยเท้าจากราชคฤห์ไปพาราณสีก็ดี ไปสาวัตถีก็ดี  ไปเวสาลีก็ดี พุทธคยาก็ดีเป็นต้น สมัยนั้นพระองค์เดินเกือบทั่วชมพูทวีปด้วยเท้าของพระองค์ประกาศสัจธรรม ไม่ใช่ไปถึงไหนคนเขาต้องต้อนรับพระองค์หมด ไปถึงบางแห่งพระองค์ยังถูกเขาขว้างปา ถูกเขาเหยียดหยาม ถูกเขาไล่


ถ้าเป็นพวกเรานี่ก็จะบอกว่า เอ๊ะ เราเอาของดีมาให้แล้วยังไล่เรานี่ ไปทำมันทำไม แต่ด้วยขันติบารมีของพระองค์ในการเผยแพร่ความสำเร็จแห่งสัจธรรม จึงทำให้สิ่งที่พระองค์ทิ้งเอาไว้รอดเหลือจนมาถึงอนุชนรุ่นหลังที่จะต้องศึกษา จะต้องตามรอยองค์โคตมะ

เพราะฉะนั้น ในท่ามกลางยุคนี้ยิ่งกว่าสมัยสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศศาสนา เราจึงจะต้องมีขันติมากกว่านี้ ฉะนั้น อาตมาในคืนนี้ก็จะให้ท่านท่องว่า


“ขันติเพื่ออยู่รอด ขันติเพื่อทำงาน ขันติเพื่อแผ่นดิน ขันติเพื่อราชบัลลังก์ ขันติเพื่อศาสนาและถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ผลงานนั้นก็ลุล่วงเป้าหมายไม่มากก็น้อย

เจริญพร

(วันเสาร์ที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๖)

Rank: 8Rank: 8

pimnuttapa โพสต์เมื่อ 2009-1-27 23:07 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

ตอนที่ ๓๙

การเสวยกรรม



เลขาธิการ - กราบนมัสการหลวงปู่ด้วยความเคารพอย่างสูง หลวงปู่เคยรับสั่งว่า มนุษย์มีกรรมของเขา แล้วประเทศชาติก็มีกรรมของเขา ทำให้ผมไม่เข้าใจว่า ในเมื่อเรามีนรกสวรรค์แล้ว คนทำชั่วก็ไปใช้โทษในนรกแล้ว คนทำดีก็ไปได้รับผลดีในสวรรค์แล้ว เหตุใดเมื่อมาเกิดในมนุษย์ จึงมีผลกรรมตามมาอีกครับ มันน่าจะหมดกันไปแล้ว

หลวงปู่ทวด - วิบากกรรมอันนั้นมันยังไม่หมด ถึงได้มาเกิดเพื่อใช้กรรมเก่าอีก เข้าใจไหม

เลขาธิการ -
หมายความว่า ถึงใช้กรรมในนรกสวรรค์อย่างไรก็ไม่หมด ยังมีส่วนที่เหลือมา

หลวงปู่ทวด - มันมี เขาเรียกว่า กฎของสังสารวัฏ หมายความว่า เขาเรียกว่า นี่เพราะกรรมที่มันพัวพันยังไม่หมด ก็ต้องมาใช้กรรมอันนี้กับเจ้าหนี้ เจ้าหนี้ตาย ลูกหนี้อยู่ เจ้าหนี้มาเกิดเป็นลูกของลูกหนี้ เพื่อใช้หนี้อันนี้เสร็จก่อน ทีนี้ในการที่เกิดมาเป็นลูกหนี้ เป็นการที่เขามาสร้างกรรมอีกอันหนึ่ง


เพราะฉะนั้น เขาจึงมีหลักว่า เทพพรหมที่มีสติพร้อม เขาจะพยายามปฏิบัติตนให้เป็นปัจเจกโพธิเจ้าในสวรรค์ให้มากที่สุด เพื่อให้กระแสเหนือกรรมขึ้นมาแทน เขาว่าเมื่อจิตเป็นอรหันต์ จิตเป็นพระพุทธเจ้า จิตสู่นิพพาน จิตอันนี้ใช้กรรมเสร็จแล้ว สามารถหลุดออกจากคลื่นของสังสารวัฏ หลุดออกจากการดึงดูดของกระแสแม่เหล็กแห่งกรรมนี้ มันเป็นเรื่องลี้ลับของเรื่องนรกสวรรค์

เลขาธิการ – กระผมเข้าใจว่า เหมือนกับคนติดตาราง เมื่อติดตารางไปแล้วมันก็หมดกันไป เหมือนวิญญาณเมื่อลงนรกก็ใช้กรรมไปแล้ว ทำไมขึ้นมาเกิดเป็นมนุษย์ยังต้องรับเคราะห์กรรมอีก

หลวงปู่ทวดกรรมเก่ายังไม่หมด

เลขาธิการ – ไม่หมดหรือครับ

หลวงปู่ทวด – ในส่วนที่เขาสร้างบุญไว้มากนี่กับว่าเขาสร้างความชั่วน้อย แล้วช่วยเขาให้ไปอยู่ในนรกน้อย อยู่นรกแล้วขึ้นมาเสวยบุญกุศลที่สร้างไว้มาก อันนั้นแล้วไม่มีสติควบคุมอารมณ์สร้างความดีต่อ เขาเรียกว่า สติไม่คล้อยตามในบุญนั้นๆ เพื่อบำเพ็ญบารมีแห่งความดีขึ้นไป แล้วจึงหลุด เข้าใจหรือยัง

เลขาธิการ - ที่กระผมถามนี่ มีความคิดเบื้องหลังคำถามอันนี้คือ อย่างว่าประเทศไทยเราจะต้องเผชิญวิบากกรรม จะต้องมีกรรมหนักเรื่องอะไรก็ตาม นองเลือดอะไรก็ตามนะครับ ถ้าเราสามารถกลับคนที่จะทำความชั่วเหล่านั้นให้กลายเป็นคนดี ให้ความชั่วที่เขามีอยู่ที่ต้องใช้ในโลกมนุษย์นั้น ให้เขาไปใช้กรรมในนรกเสีย แล้วให้แผ่นดินไทยที่จะรับกรรมนั้นเป็นแผ่นดินที่สงบสันติอย่างนี้จะได้ไหมครับ

หลวงปู่ทวด - มันเป็นกรรมวิบากของเขา

เลขาธิการ - ไม่ได้หรือครับ คือย้ายไปเสีย แทนที่เขาก่อกรรมที่บนผืนแผ่นดินไทยในยุคนี้ครับ ให้เขาไปลงนรกเสียเลย มีทางให้เกิดแผ่นดินสันติสุขไหมอย่างนี้ครับ ทำนองย้ายครับ ย้ายไปย้ายมา

หลวงปู่ทวด - เรื่องช่วงต่อของกรรมอันนี้ คือหมายความว่า ถ้าสำนักปู่สวรรค์นี้ยังมีวิธีช่วยบางอย่างให้มันเบาบางลงได้ คาถาชินบัญชรนี่ออกได้มากๆ ยิ่งดี เพื่อคนจะได้ช่วยกันสวดมนต์อธิษฐานจิตให้ประเทศสงบ

เลขาธิการ -
ครับผม ผมคิดว่าต้องพิมพ์เพิ่มเติมอีก


(วันเสาร์ที่ ๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๖)

Rank: 8Rank: 8

pimnuttapa โพสต์เมื่อ 2009-1-27 23:22 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

ตอนที่ ๔๐

คนเสียสละอย่างแท้จริง



ประธานกรรมการ – กราบนมัสการหลวงปู่ เนื่องด้วยจะจัดการประชุมใหญ่สานุศิษย์ทั่วประเทศ เพื่อรวมพลังช่วยทำงานศาสนามากขึ้น อันเป็นการทำงานตามเป้าหมายอุดมการณ์ จึงขอพระเมตตาโปรดประทานโอวาทด้วย

หลวงปู่ทวด – เจริญพร คือในปัญหาในหลักของงานนั้นมันก็ต้องเข้าใจว่า การทำงานเป็นการเข้าไปหาความทุกข์ การทำงานเราจะต้องรู้หลักแห่งปัจจัยของงาน และงานที่ยากที่สุดในโลกมนุษย์ก็คือ งานของศาสนา เพราะการจะเป็นนักบวช การจะเป็นนักบุญ การจะเป็นนักพรต การจะเป็นผู้ที่ให้เขาศรัทธา การเป็นเจ้าลัทธิหรือเป็นอะไรนั้น ต้องเป็นบุคคลที่เข้าซึ้งถึงอุดมการณ์ที่ตนมุ่งนั้น

เป็นการปฏิบัติเพื่อความสุขของส่วนรวม โดยชีวิตนี้ไม่มีอนาคตเป็นของตน และจะต้องอุทิศทุกเสี้ยววินาทีแห่งการมีชีวิตอยู่ของตน เพื่อความสำเร็จตามเป้าหมายของอุดมการณ์ โดยตนจะไม่ทรยศสัจจะของตน ตนยอมถวายชีวิตนี้ปฏิบัติเพื่ออุดมการณ์โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่เรียกว่า เป็นการทำงานทวนกระแสน้ำ เป็นการทำงานทวนกระแสคลื่น

ทุกวันนี้ที่ท่านจะสังเกตว่า โลกฝ่ายอกุศลอบายมุขนี่วิ่งนำกว่าฝ่ายที่หวังสันโดษ ทีนี้ ปัญหาในเรื่องการปรับปรุงงานทางโลกที่วุ่นวาย เพราะคนทำงานนั้นเขาทำด้วยเพราะอยากใหญ่อยากรวย ไม่ใช่ทำด้วยการเข้าใจว่า ที่เราทำงานนั้นเพราะเรามีกรรมที่จะต้องมาใช้เขา


ถ้ามนุษย์ทำงานมีกระแสจิตว่า เราทำงานเพราะเรามีกรรม ซึ่งคนที่ดีที่สุดก็จะไม่ต้องมาเกิดเป็นคน ต้องไปเกิดเป็นเทพพรหมอยู่บนสวรรค์ ถึงจะเรียกว่าดี เมื่อเกิดเป็นคนแล้ว ไม่มีใครจะดีกว่าใคร ไม่มีใครจะชั่วกว่าใคร ล้วนแต่มีอกุศลกรรมและกุศลกรรมนำตนให้มาเกิด

ทีนี้ เมื่อสภาพของการเกิดเป็นคนแล้ว ก็ต้องเต้นไปตามจังหวะแห่งการเกิดตามปัจจัย เพราะฉะนั้นตามหลักของพระพุทธศาสนาแล้ว ถ้ามนุษย์ทุกรูปทุกนามรู้จักแลให้ดี ภาษาทางใต้นี่เขาเรียกว่า แล คือการดูนั่นเอง


คือ แลให้ดีถึงหลักแห่งอริยสัจ ๔ หลักแห่งปัจจัยของทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มาดำเนินการแห่งชีวิต ดำเนินการแห่งการทำงาน ดำเนินการแห่งการวินิจฉัย ดำเนินการแห่งการพิจารณาในการจดจ่อ สิ่งนั้นก็จะเป็นไปได้ดี เพราะไปด้วยการมีสติ ไม่ใช่ไปด้วยการมีโทสะ โมหะ โลภะ

ฉะนั้นการปรับปรุงงานขณะนี้ ประเทศสยามทุกๆ วงการตกอยู่ในภาวะคือ ขาดคนที่เสียสละอันแท้จริง มันเป็นปัญหาหลัก เพราะเราถูกอบายภูมิเขาครอบงำกันมาก เราไม่ได้ชำระจิตกันในทุกสังคม

เมื่อมันตกอยู่กลางกลียุค จริงอยู่มนุษย์ทั้งหลายล้วนแต่จำเป็นอยู่รอดด้วยหลักแห่งปัจจัย ๔ และไม่ใช่ว่าคนนั้นจะต้องได้เงินเดือนมากๆ แล้วก็ทำงานได้ดี เมื่อทำงานด้วยการได้รับผลตอบแทนมาก แต่ไม่ได้ทำงานด้วยการฉันทะ ก็ย่อมไม่เกิดวิริยะเป็นหลัก
คนเราถ้าทำงานด้วยความฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสาแล้ว งานทุกอย่างก็ทำได้ดี

คนก็ไม่ใช่ว่ามีเงินมากๆ แล้วจึงจะพ้นทุกข์ ผู้ที่ทำงานนั้น ถ้าเขามีจิตแห่งการคิดว่า ชีวิตเกิดมาใช้กรรม ที่เราเป็นคนเพราะมีกรรม เราอยู่ในโลกนี้ไม่ถึง ๑๐๐ ปี ต้องตายจากโลก วันหนึ่งกินข้าวกี่ชาม สิ่งที่สะสมนั้นเอาไปได้หรือไม่ ถ้าทุกๆ ชีวิตเข้าใจภาวะนี้แล้ว คิดอยู่อย่าง “พอกิน พอใช้ พออยู่ อยู่อย่างสงบ สันโดษ สันติ” สังคมนั้นๆ ก็ดีได้

เพราะฉะนั้น การที่จะปรับปรุงเอาทางโลกเข้ามาร่วมกับทางธรรมนั้น อาตมาก็เห็นด้วย แต่ว่าเราอย่าไปปรับปรุงเหมือนกับทางโลกกับเขาล่ะ เช่น การทำงานด้วยการมีตัวโลภ แต่ถ้าเราปรับปรุงให้ว่า ให้เขาทำงานด้วยความวิริยะ จดจ่อ ทำงานด้วยการอยู่แค่พอกินพอใช้พออยู่แล้ว งานนั้นมันจะดียิ่งกว่าคนที่ทำงานมีเงินเดือนมากๆ อันนี่เป็นปัญหาที่สำคัญในวงงาน นี่อาตมาฝากเป็นข้อคิด

(วันเสาร์ที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๙)

Rank: 8Rank: 8

pimnuttapa โพสต์เมื่อ 2009-1-27 23:43 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

ตอนที่ ๔๑

เตรียมตน



นฐานะอาตมาเป็นประธานใหญ่รับผิดชอบของสำนักปู่สวรรค์ งานของโลกมนุษย์ก็เป็นเรื่องของการทำงานต้องมีผู้ใหญ่รับผิดชอบ โดยต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่ของตน และในลักษณะธรรมะก็คือ ทุกคนเกิดมามีกรรม ทุกคนก็ต้องไปใช้กรรมตามวาระของตน


เราจะทำอย่างไรถึงจะให้ปฏิบัติจิตของเราไปสู่การหลุดพ้นจากสังสารวัฏ จากการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าภาษาชาวบ้านชอบใช้กันอยู่ก็คือว่า จะทำอย่างไรให้จิตไปถึงมรรคผลนิพพาน หนึ่งนั้นคือ เรื่องของศาสนาเรื่องของธรรมะ

เพราะฉะนั้น ถ้าเราพูดในลักษณะแล้วก็เรียกว่า พวกท่านก็มีกรรม คือมันเข้ามาใกล้ชิดสำนักปู่สวรรค์เกินไป ถ้าเข้าใกล้ชิดมากแล้วก็รู้มาก รู้มากมันก็ทุกข์มาก สู้พวกที่ไม่เข้ามาดีกว่า คือไม่รู้อะไรเลย เมามันทั้งวันทั้งคืน แล้วก็ถึงเวลาก็ตายอย่างสบาย ในลักษณะอยู่คู่กับกองสุข สุขจนเลยเถิด มันก็ทุกข์ ทุกข์จนถึงที่สุดมันก็สุข นี่เป็นกฎของธรรมชาติ


แต่ในลักษณะของการเป็นมนุษย์ เมื่อมนุษย์เกิดเป็นคนก็เรียกว่า คนกันไปคนกันมา คนจนไม่รู้จะเป็นอะไรกัน พัวพันกันไปก็มีกรรมพัวพันกันมา ก็ต้องไปใช้กรรมกันตามวาระ ตามวินาทีของแต่ละคน อันนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจของมนุษย์

วันนี้ท่านโตคงจะมาไม่ได้ เพราะถ้าพูดในลักษณะของการประชุมของโลกวิญญาณแล้ว มันไม่เหมือนพวกท่านประชุม คือพวกท่านประชุมนี่ ถ้าพูดในลักษณะแล้ว พวกท่านเก่งกว่าเทวดามาก เทวดามีฌานญาณมีทิพยอำนาจ เรื่องหนึ่งนี่เขาจะต้องประชุมกันเป็นวันๆ คืนๆ ว่าเกิดขึ้นมาแล้วลงไปจะเป็นอย่างไรจนถึงละเอียดสุดท้าย ถ้าพูดแบบนักวิทยาศาสตร์ก็เรียกว่า ต้องวิจัยถึงอณูของปรมาณูในแต่ละปัญหา


ถ้าคนที่มาวันอาทิตย์ ก็คงจะว่าท้าวมหาพรหมคงจะบอกว่า ท่านโตมาไม่ได้ กำลังประชุมเรื่องสถานการณ์ของประเทศไทย ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่แล้วประชุมจนถึงป่านนี้ เรื่องแค่ว่าจะปล่อยให้เมืองไทยพังหรือไม่เท่านั้นเอง ๗ วัน ๗ คืน แล้วยังวิจัยไม่จบ พังลงไปสะเทือนถึงปู่สวรรค์อย่างไร เขาต้องวิจัยถึงหมด นั่นคือปัญหาเดียวถึงป่านนี้ก็ยังไม่จบ

เพราะฉะนั้น อาตมาจึงบอกพวกท่านเก่งกว่าเทวดามาก ถกปัญหาไม่ทันสามนาทีจบกันแล้ว กลับบ้านนอนกันแล้ว เพราะฉะนั้นลักษณะก็คือว่า มันก็เป็นสิ่งที่เสียดาย ถ้าพูดในลักษณะพวกลี้ภัยมาเมืองไทยจากเขมรก็ดีจากลาวก็ดี เขาก็รู้ดีว่าเขมรก่อนจะแตก ลาวก่อนจะแตก เทพพรหมหรือว่าผู้ที่สำเร็จในชนเผ่าเขาก็พยายามมา แต่ว่าชนชั้นผู้นำอะไรของเขาก็ไม่เชื่อ มันก็พังลงไป

เพราะฉะนั้นผู้ลี้ภัยเขามาถึงเมืองไทย เขามาเห็นปู่สวรรค์นี่ ว่าที่นี่เทพพรหมทำงานแบบเป็นโครงการ วัตถุถาวรสร้างมาก ในขณะนี้คงจะสบายใจได้ว่าเมืองไทยคงไม่แตก เพราะที่นี้ถ้าพูดแบบภาษาชาวบ้านแล้ว ท่านโตมาลงหลักฐานไว้มาก เมื่อมาลงหลักฐานไว้มาก เทวโลกก็ต้องประชุมมากหน่อย


และเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกมนุษย์ กรรมวิบากของโลกมนุษย์เวลานี้มันเร็วยิ่งกว่าอะไรที่เราจะไปตามไอ้กรรมวิบากนี้ ท่านไม่ได้ไปดูการเคลื่อนของศูนย์กรรม ท่านจึงไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร คือมันใกล้ถึงจุดระเบิดของไฟอเวจีที่จะเผาผลาญโลกมนุษย์

เพราะฉะนั้น ขอให้ทุกคนเข้าถึงการเป็นพุทธสาวกที่ดี การเข้าถึงการเป็นพุทธสาวกที่ดีทำอย่างไร วันนี้เรามาคุยเรื่องธรรมะดีกว่า เพราะอาตมาไม่สั่งงาน ในเมื่อเวลานี้ไม่มีผู้ใหญ่ทำงาน คือการเข้าถึงการเป็นพุทธสาวกที่ดี คือ

๑. เตรียมตน
๒. เตรียมใจ
๓. เตรียมสติ
๔. เตรียมอารมณ์
๕. เตรียมจิตวิญญาณ


เราต้องยอมรับในกฎแห่งกรรมของวิบากของธรรมชาติ กฎแห่งกรรมในวิบากของธรรมชาตินั้น ย่อมมีการเกิดดับเป็นธรรมดาของกฎ เมื่อย่อมมีการเกิดดับเป็นธรรมดาของกฎแล้ว เหตุก็ย่อมมีปัจจัย เหตุมีปัจจัย เราก็ใช้หลักแห่งสมุฏฐานในทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค หลักของอริยสัจสี่ เราเป็นจุดในการตั้งสมุฏฐานแล้ว


เพราะฉะนั้นในหลักของการเป็นพุทธสาวกนั้น พระพุทธองค์สอนให้ทุกคนเตรียมสติพร้อม ในการต้อนรับของวิบากกรรมทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าวิบากกรรมนั้นจะเกิดขึ้นในทางที่ดี ไม่ว่าวิบากกรรมนั้นจะเกิดขึ้นในทางที่ร้าย

การเกิดเป็นมนุษย์ เพราะมีกรรมที่จะต้องมาใช้ตามวิบาก เราขอให้มีสติสัมปชัญญะพร้อมในการรับรู้สถานการณ์นั้น ตามถึงสถานการณ์นั้นๆ และพร้อมที่รับสถานการณ์นั้นๆ ก็คิดว่านี่คือธรรมะ แค่นี้พอ

(วันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๐)

Rank: 8Rank: 8

pimnuttapa โพสต์เมื่อ 2009-1-27 23:46 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

ตอนที่ ๔๒

เมื่อเกิดเป็นมนุษย์



มนุษย์แบ่งออกเป็น ๒ จำพวก

จำพวกที่หนึ่ง เขาเรียกว่า เป็นอริยบุคคล มนุษย์ที่เป็นอริยบุคคลหรือสำเร็จทางจิตแห่งการเป็นอริยะแล้ว มนุษย์เหล่านี้เป็นมนุษย์ที่เห็นแก่ตัว คือ ผู้ที่ถืออริยจิต ผู้ที่สำเร็จทางจิตเป็นอริยบุคคล เขาจะซ่อนเร้นกายเพื่อหาทางไปสู่วิเวก หาทางไปอยู่ป่า หาทางที่จะไม่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ หาทางที่จะไม่มายุ่งกับสังคมของสัตวโลก หาทางบำเพ็ญจิตตนให้หลุดพ้นไปสู่ทางนิพพาน นั่นคือ พวกอริยะ

แต่มนุษย์อีกจำพวกหนึ่ง เขาเรียกว่า ปุถุชน มนุษย์จำพวกปุถุชนย่อมมีกระแสจิตที่อยากทำโน่นอยากทำนี่ อยากนั่น อยากนี่ อยากโน่น อยากรวย อยากอะไรอื่นๆ มนุษย์เหล่านี้แหละจะเป็นมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับสังคม เกี่ยวข้องกับมนุษย์ เกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์


เพราะฉะนั้นการทำอะไรของปุถุชนสามัญ ก็ย่อมมีกระแสจิตแห่งการขึ้นบ้าง ตกบ้าง ศรัทธาบ้าง จดจ่อบ้าง ไม่จดจ่อบ้าง วันนี้สบายใจ พรุ่งนี้ไม่สบายใจ ฉันคิดทำพรุ่งนี้ วันนี้ฉันอยากจะนอน เป็นต้น นั่นเป็นกระแสจิตของปุถุชน

เพราะฉะนั้นสังคมที่เกิดความวุ่นวายนั้น เกิดจากกระแสจิตของปุถุชนในกลุ่มของสาธุชน ในกลุ่มของปุถุชนนั้นยังแบ่งอีกเป็นหลายจำพวก คือ
ปุถุชนมีระดับจิตอยู่ ๓ ระดับ

๑. ปุถุชนระดับที่หนึ่ง คือ ปุถุชน “เหนือเกียรติเหนือกาม” ก็คือ เป็นปุถุชนที่เป็นนักบวชนักพรต เพียงแต่เป็นนักบวชนักพรตนั้นยังไม่ได้เป็นอริยบุคคล บางทียังคิดอยากเป็นเจ้าคุณบ้าง บางคนก็อยากเป็นใหญ่เป็นโต บางคนก็คิดอยากจะได้พัดยศ


๒. ปุถุชนระดับที่สอง คือ ปุถุชน “หาเกียรติเสพกาม” ก็อย่างเช่น พวกท่านที่เข้ามารับใช้สำนักปู่สวรรค์ รับใช้ศาสนาทั่วไป ก็ยังหาเกียรติเสพกามกันอยู่

๓. ปุถุชนระดับที่สาม คือ “ปุถุชนจำพวกไม่ใช้สมอง” ยังเป็นปุถุชนที่ตกอยู่ในกมลสันดานแห่งการเป็นสัตว์ คือ “เสพกามแล้วข้องอยู่แต่ในกาม” ปุถุชนเหล่านี้แหละ เป็นปุถุชนที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนในสังคมของการเป็นมนุษย์

เพราะฉะนั้นในการทำงานที่จะโกยสัตวโลกที่กำลังอยู่ในทะเลแห่งความบ้าคลั่ง เช่น มนุษย์ที่กำลังสะสมวัตถุไว้ที่จะทำลายซึ่งกันและกัน เราจะทำอย่างไรให้มนุษย์เหล่านี้ เข้ามายกระดับจากปุถุชนขั้นที่ ๓


คือ ปุถุชนที่เสพกามและข้องอยู่ในกามขึ้นมาเป็นปุถุชนแห่งการเสพกามหาเกียรติ หาเกียรติก็คือ หันมาจับธรรมาวุธ เพื่อให้เกิดสันติ ไม่ใช่จับอาวุธที่เข่นฆ่า นี่คืองานที่ทำให้เกิดสำนักปู่สวรรค์ในโลกมนุษย์ขึ้น

ขอให้ท่านทั้งหลาย จงมีกระแสจิตแห่งความเข้มแข็งในการยกตนให้พ้นจากปุถุชนชั้นที่ ๒ ขึ้นไปเป็นปุถุชนชั้นที่ ๑ คือ เหนือกามเหนือเกียรติ


และก็ขอให้ท่านทั้งหลาย จงมีชีวิตอยู่อย่างสันติสุขในโลกมนุษย์และสันติสุขแห่งการเป็นมนุษย์ เพื่อบำเพ็ญตนไปสู่สิ่งที่ปรารถนา คือ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติเถิด

เจริญพร

Rank: 8Rank: 8

pimnuttapa โพสต์เมื่อ 2009-1-27 23:49 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

ตอนที่ ๔๓

งานดุลกรรมระดับโลก



อาตมาได้คิดว่า ท่านทั้งหลายก็ได้ร่วมมือในการทำงานกับท่านโตมาเป็นขั้นตอน และขั้นตอนที่ดำเนินไปแล้วมันก็ได้สำเร็จในงาน แต่ก็เรียกว่าส่วนมากมันเข้ารูปงานได้ แต่ก็ยังไม่ได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์

ทีนี้ ในปัญหาในงานที่ท่านจะก้าวต่อนั้น มันเป็นงานที่เรียกว่าใหญ่มาก ยิ่งก้าวยิ่งใหญ่ คืองานแค่ดุลกรรมเมืองไทยมันก็ใหญ่อยู่แล้ว แต่บัดนี้ท่านได้ไปถึงขั้นดุลกรรมระดับโลก ซึ่งแผนการในการดำเนินงานก้าวนี้ ถ้าเรียกแบบภาษาของทางพระหรือทางศาสนาเขาเรียกว่า กำลังที่จะบำเพ็ญมหาโพธิสัตว์ญาณ พวกท่านร่วมมือกับท่านโต ก็เท่ากับว่าท่านบำเพ็ญมหาโพธิสัตว์ญาณไปด้วย


คือ การเป็นพระโพธิสัตว์นั้น พระโพธิสัตว์เขามีคติประจำใจ “ตนต้องยอมทนทุกข์ทรมานเพื่อโกยสัตวโลกให้พ้นทุกข์ ตราบใดที่สัตวโลกยังไม่พ้นทุกข์ ตราบนั้นตถาคตจะไม่เข้านิพพาน” นี่คืออารมณ์พระโพธิสัตว์ และพระโพธิสัตว์เขาจะมีอารมณ์อันหนึ่งว่า หากแม้นเขามาขออะไร แม้แต่ร่างกายต้องอุทิศแก่สัตวโลกได้ เพื่อโพธิธรรม เพื่อโพธิญาณ ถ้าเขาขอแขนก็ต้องตัดแขน ถ้าเขาขอตาก็ต้องควักตา เขาขออะไรก็ต้องให้

โดยเฉพาะว่าด้วยการดุลกรรม ถ้าพูดในหลักท่านโตก็กำลังวางแผนในเรื่อง วางศิลาฤกษ์หรือศิลามงคลสร้างหอประชุมสันติภาพ ซึ่งถ้าสร้างหอประชุมสันติภาพ ก็หมายความว่าจะต้องก้าวไปสู่เรื่องการประชุมสันติภาพ เมื่อจะก้าวไปสู่การประชุมสันติภาพโลก ก็คิดว่าสงครามไม่เกิด สงครามไม่เกิด มนุษย์ก็ไม่ต้องตายถึงสามสี่พันล้าน มันเป็นลูกโซ่ของงาน

ทีนี้ถ้างานมันใหญ่ขึ้น มารมันก็ใหญ่ตาม คนทำงานมันก็ต้องเพิ่ม ไม่ใช่งานมันใหญ่ขึ้น มารมันก็ใหญ่ แต่คนทำงานลดลง มันก็จะไปสู่จุดหมายอันนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นในผู้บำเพ็ญไปสู่แดนพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ข้อนี้ต้องพูดแบบในโลกมนุษย์แล้ว ความเชื่อถือของมนุษย์โลกต่อเรื่องพระเจ้า ความเชื่อถือของมนุษย์ต่อเรื่องศาสนา ความเชื่อถือต่อเรื่องพุทธศาสนาแล้ว


ทางพุทธศาสนาดูเหมือนจะแบ่งเป็นสองนิกาย ฝ่ายเถรวาท ฝ่ายมหายาน ในเรื่องของโลกวิญญาณจะแบ่งเป็นฝ่ายมหายานมากกว่า คือมหายานเขาจะมีพุทธเกษตร มีพระโพธิสัตว์ ฝ่ายเถรวาทเขาจะมีแต่อรหันต์และนิพพาน นี้สำหรับในด้านของตำรา อาตมาพูดในเรื่องตำราให้ท่านรู้

กำลังจะมาพูดในเรื่องของโลกวิญญาณ คือ ในแดนพระโพธิสัตว์ มีพระโพธิสัตว์ที่สำเร็จตั้งแต่เรียกว่าเปิดโลกจนถึงปัจจุบัน ถ้าจะนับธรรมขันธ์ที่เขาเชื่อถือกัน ก็มีแปดหมื่นสี่พันองค์เท่าจำนวนพระธรรมขันธ์ที่ได้บำเพ็ญมหาบารมี จนจะมาเป็นพุทธเจ้าแห่งยุคต่อจากศาสนาแห่งสิทธัตถะ ทุกคนก็รู้แล้วว่าพระศรีอริยเมตไตรย


และในแปดหมื่นสี่พันองค์นี้เขาก็เลือกตั้ง ถ้าพูดแบบในมนุษย์เขาเรียกว่า อาตมานี่ประธานดูแลมนุษย์ และที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแห่งยุคสืบต่อจากพระศรีอริยเมตไตรย ศาสนาพุทธสิทธัตถะอธิษฐานแค่ห้าพ้นปี ก็เหลือสองพันกว่าปี ศาสนาพระศรีอริยเมตไตรยเขาขออธิษฐานตั้งสัจจบารมีสองหมื่นปีของศาสนาของเขา แต่ของอาตมายังไม่ได้ตั้งสัจจะ

ทีนี้การที่จะทำงาน ถ้าพูดในหลักของภาษาชาวบ้าน แล้วทุกคนเขาต้องบำเพ็ญบารมี เขาเรียกว่าหลายกัปหลายกัลป์ หลายภพหลายชาติ แต่รู้สึกว่าท่านโตเปรื่องปราดหรือว่ามาคบกับมนุษย์มากก็ไม่รู้ ท่านคิดบำเพ็ญทางลัด


หมายความว่า ถ้าจัดประชุมสันติภาพในโลกมนุษย์ได้สำเร็จ สามารถใช้ศาสนายุติสงครามโลกครั้งที่ ๓ ได้ เมตตาบารมีมหาโพธิญาณที่บำเพ็ญเกิดได้ นี่การช่วยสัตวโลกให้ตายตามอายุขัย ไม่ใช่ตายก่อนอายุขัย สามพันสามร้อยกว่าล้าน ตามที่ท่านพูดเอาไว้

นั่นคือความลับของโลกวิญญาณ แต่ท่านมีข้อแม้กับโลกวิญญาณว่า ถ้าทำสำเร็จท่านจะเป็นมหาโพธิสัตว์องค์หนึ่งได้ และก็จะตั้งสัจอธิษฐานว่า หลังจากอาตมภาพมาเป็นพระพุทธเจ้าแห่งยุค ท่านขอต่อจากอาตมภาพ แต่ถ้างานนี้ไม่สำเร็จ ท่านขอไปอยู่นรกขุมที่ ๑๘

ฉะนั้นอาตมาจึงอยากจะฝากไว้กับพวกท่านที่จะมาร่วมกันทำงานชิ้นสำคัญชิ้นนี้ว่า ท่านจะรับปากทำงานกับท่านโต ท่านก็ต้องตั้งใจกันจริงๆ เอากันจริงๆ ถ้าท่านจะทำกันแบบเล่นๆ ทำกันแบบพอใจก็ทำ ไม่พอใจก็ไม่ทำ อะไรหลายอย่าง อย่างนี้แล้ว


อาตมาก็ใคร่ขอให้ท่านใช้สมองช่วยพิจารณาว่า ท่านจะเห็นแก่ตัวในการลากท่านโตสู่นรก แต่ถ้าพิจารณาเอาจริง ท่านก็ได้เห็นงานมาแล้วเป็นขั้นตอน มันก็สำเร็จได้ แล้วงานของเราไม่เหมือนงานที่ชาวบ้านเขาทำกัน ไม่เหมือนงานที่มนุษย์เขาทำกัน คือแบบที่เรียกว่า ตั้งองค์การอะไรต่ออะไรกันขึ้นมา เพื่อความเด่นของตน เพื่อความอยากจะมีหน้ามีตา เพื่อเกียรติ เพื่อการต่อรอง

แต่งานที่นี่เป็นงานดุลกรรมมนุษย์ทั้งโลก มันเป็นเรื่องยาก เป็นงานที่ประวัติศาสตร์จะต้องจารึก เป็นงานที่คนเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะท่านจะทำงานชิ้นนี้ ท่านต้องมีขันติธรรมอย่างแน่วแน่ ก็ย่อมที่จะเป็นไปได้ แต่ถ้าท่านจะทำแบบฉาบฉวย ทำแบบมีชื่อ ทำแบบอะไรๆ แล้วแต่ ทำไปเรื่อยๆ อาตมาก็อยากจะขอร้องว่า อย่าคิดทำดีกว่า


ถ้าจะแบบที่เขาเรียกว่า เป็นองค์การระดับโลกแล้วไม่ได้ทำอะไรเลย องค์การศาสนิกชนแห่งโลกศาสนาหนึ่งที่ตั้งอยู่ในเมืองไทยนี่ แต่ละปีๆ ทำอะไรกันบ้าง ไม่ทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้กับมนุษยโลก ทั้งทางด้านวัตถุ และในด้านประวัติศาสตร์ในด้านจิตใจ ประชุมๆ กัน แล้วเลิกกันไป แต่งานที่นี่ไม่ใช่อย่างนั้น งานที่นี่เมื่อประชุมแล้วจะต้องก้าวต่อและจะต้องสำเร็จ

เพราะฉะนั้น การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมสำคัญคือ ประชุมเพื่อสันติภาพของโลกมนุษย์ หมายถึงว่าประชุมแล้วจะได้ไม่ต้องประชุมกันต่อไป เดินทางเพื่อให้ถึงเป้าหมายโดยไม่ต้องเดินอีก ทำงานก็เพื่อให้ถึงจุดที่วางไว้โดยไม่ต้องทำอีก คนเราเกิดมาประคองขันธ์เพื่อใช้กรรม เมื่อถึงวาระหมดกรรมและก็ไม่ต้องใช้กรรมกลับสู่ปรภพได้ ก็คิดว่าท่านทั้งหลายจะต้องใช้สมองกันหน่อยในก้าวงานต่อไป


มันเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มาก ถ้าเอาแต่วจีกรรมแล้ว อาตมาก็อยากจะพูดซ้ำสองว่า มันไปไม่รอดในการทำงานใหญ่ ท่านต้องเอาทั้งวจีกรรม กายกรรม มโนกรรม และจดจ่อ เพราะงานก้าวนี้เป็นงานก้าวที่ใหญ่มาก และเป็นงานที่เรียกว่า เราจะต้องผ่านฝ่าลวดหนามนานาชนิดที่ขวางทางอยู่ คิดว่าอาตมาก็มาให้คติ ให้ท่านเป็นข้อคิดพิจารณาในเรื่องว่าท่านจะทำงานต่อไป

หมายเหตุ ท่านจะเชื่อหรือไม่ เป็นสิทธิของท่าน และชาวพุทธที่แท้จริงต้องใช้สมองของตนพิจารณาแหละดี


(วันเสาร์ที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๐)

Rank: 8Rank: 8

pimnuttapa โพสต์เมื่อ 2009-1-27 23:56 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

ตอนที่ ๔๔

สันดานมนุษย์



อาตมามาวันนี้ ก็จะพูดเรื่องที่คิดว่าเป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย คือ หลักความจริงมันมีอยู่ว่า วิสัยของมนุษย์มันย่อมมีการแข่งขัน ย่อมมีการชิงดีชิงเด่น ในเมื่อยังเป็นปุถุชน ทีนี้ในการแข่งขันในการชิงดีชิงเด่น ซึ่งในภาวะปัจจุบันนี้ เขาเรียกว่า “แข่งชิงดีชิงเด่นในทางชั่ว”

อะไรที่เรียกว่า “แข่งขันชิงดีชิงเด่นในทางชั่ว” ก็คือ วัตถุธาตุเจริญ จิตใจมนุษย์เสื่อม ซึ่งอยู่ในภาวะที่ทุกคนแข่งขันจะเป็นใหญ่ ทุกคนแข่งขันจะเด่น แข่งขันกันนินทา แข่งกันการก้าวร้าวคน แข่งขันอิจฉาริษยาคน อันนี้เขาเรียกว่า เป็นสันดานของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยการจองล้างจองผลาญกันในโลกมนุษย์ ก็สืบเนื่องจากปัจจุบันเป็นยุคแห่งกลางกลียุค

ทีนี้ “ถ้าแข่งขันกันในทางก่อมันก็ดี” แต่ขณะนี้โลกอยู่ในภาวะแข่งขันกันทำลายแล้ว เราจะทำอย่างไร เมื่อเราจะก่อเพียงคนเดียวเป็นต้น ในภาวะเรื่องอนุสัยของคน เขาเรียกว่า โบราณกาลเขาก็พูดกันมานานนมแล้วว่า


แม่น้ำสามารถเปลี่ยนทิศทางได้
ภูเขาสามารถละลายลงมาเป็นถนนได้
แต่อนุสัยคนเปลี่ยนไม่ได้ มันเป็นสันดานที่นอนนิ่งเป็นตะกอน
สันดานสตรี ยังไงๆ ก็ต้องเป็นสตรีที่จะกระทำตนเป็นบุรุษย่อมไม่ได้
และอนุสัยบางคนที่เรียกว่า ปรารถนาดีต่อหมู่คณะ แต่ก็ปรารถนาดีจนเลยดี กลายเป็นดีแตกไป


การทำงานบางคน ทั้งๆ ที่รู้แล้วว่างานของหมู่คณะนั้นจะต้องเปลี่ยนทุกวินาที จะต้องทันโลก จะต้องเหนือโลก ผู้ที่จะต้องทำก็จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ไม่อยู่ห่างไกลในภาวะ เมื่อทันเหตุการณ์แล้ว ก็อย่าเที่ยววิ่งพล่านวิ่งติดต่อหาใคร


เพราะฉะนั้น ในสิ่งนี้ก็ควรสังวรไว้ด้วย อย่างปัญหาการจะเอาของไปให้เขาก็ดี มันต้องเข้าใจว่า “เพชร” ท่านเอา “เพชร” ไปให้ไก่ กับเอา “ข้าวเปลือก” ไปให้ไก่ ไก่ย่อมที่จะกินข้าวเปลือกมากกว่าที่จะต้องการเพชร เพราะฉะนั้นในขณะนี้ จึงเป็นขณะแห่งความมีช่องว่างของสยามประเทศ

สำนักปู่สวรรค์เกิดมาเสมือนหนึ่ง “เพชร” แต่เหล่าปีศาจอสูรที่ขึ้นมาครองเมืองย่อมที่จะต้องการข้าวเปลือกมากกว่าเพชร เพราะฉะนั้น เราต้องหยิ่งในเกียรติแห่งการเป็นพระโพธิสัตว์ จะต้องให้ปีศาจอสูรเดินทางเข้ามาหาเรา ไม่ใช่เราไปสยบหัวให้เหล่าปีศาจอสูร


และในภาวะซึ่งถ้าท่านทำงาน การแข่งขันย่อมมี แต่ว่าเราต้องทำในลักษณะแข่งขันชนะจิตของตนก่อน กฎระเบียบใดๆ ก็แล้วแต่ ถ้าไม่ปฏิบัติมันก็ย่อมเป็นระเบียบวินัยไม่ได้ ถ้าในทัศนะอาตมาแล้ว ขณะนี้หนังสือที่ท่านโตออกมา ๔ เล่ม ถ้าเขาปฏิบัติตาม ๔ เล่ม เมืองไทยก็เจริญ คือ

จุดบอดจุดแก้ของเมืองไทย เป็นจุดบอดอะไร แก้อย่างไร และจุดบอดจุดแก้นี้ไม่ใช่ใช้ได้ระดับเมืองไทยเท่านั้น มันใช้ได้ทั่วโลก ถ้าทุกคนปฏิบัติตามจุดแก้ ๑๐ ประการ แก้ตามอุดมการณ์ ๑๐ ประการนั้น เช่น


เรามีอุดมการณ์ประหารกิเลสของมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวให้เบาบางลง เราเป็นลูกศิษย์ เราก็ต้องประหารกิเลสที่เห็นแก่ตัวให้เบาบางลงก่อน เช่น อย่ายึด อย่าถือทิฐิ เป็นต้น ทุกคนต้องการจุดมุ่งหมายเพื่อมาทำงานโปรดสัตว์

กำเนิดหลักการบริหาร นั่นคือ สมุฏฐานอันแท้จริงของการเกิดองค์การ ลัทธิต่างๆ ในโลกมนุษย์ ถ้าท่านดำเนินการโดยเอาในนั้นเป็นคัมภีร์ในการบริหารงานแล้ว มันก็จะได้เรียบร้อย หลังวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ตกอยู่ในภาวะอันตรายอย่างไร ท่านอ่านๆ แล้วไม่ลืม ก็จะเป็นคติเตือน มันก็พอที่จะช่วยได้

พึ่งหน้าดินชาติปลอดภัย หรือว่า สี่นักเกษตรนี่ มันเรื่องปัจจุบันทันด่วน เรื่องกายเนื้อที่ต้องการอาหารการกินจากการเกษตร หรือว่าธรรมะที่ท่านโตเทศน์ สี่ห้าเล่มนี้ท่านปฏิบัติตามอมตธรรมอะไรก็แล้วแต่ หรือว่า ปรัชญาเล่มของอาตมา มันก็จบแล้ว ไม่ต้องไปหอบตำรามากมายกันในโลกมนุษย์


พระพุทธเจ้าสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ยึดตำราสำเร็จ เผาตำราจึงสำเร็จ เพราะว่าความมหัศจรรย์ของจิตแห่งกระแสญาณฌาน คือ สิ่งที่อยู่ในกายมนุษย์ แต่มนุษย์ไม่ได้ค้นสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นมาประกอบตน คือตัวรู้แท้ รู้แท้ที่เราสมมติว่าเป็น “พุทธะ”

อาตมาอยู่น้ำตกทรายขาว ปัตตานีในยุคนั้นเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์เป็นเพื่อน ไม่มีที่จะมาฟังวิทยุ มีหนังสืออะไร ตำราก็ไม่มี แต่ด้วยการบำเพ็ญค้นตัวรู้ในทางกาย ค้นธาตุแท้แห่งความบริสุทธิ์ของธรรมะแล้ว ก็จะสัมฤทธิ์ได้
ทำให้จิตเกิดศีล สมาธิ ปัญญา สมาธิแน่วแน่เป็นเอกะแห่งเอกัคตานั้น ก็ย่อมที่จะละในเรื่องกำหนัด เรื่องยึดตน และตอนนั้นกระแสฌานญาณเกิด ก็เกิดปัญญาในการพิจารณาแห่งความหยั่งรู้ขึ้นมาได้ พูดง่ายแต่ทำกันยาก

ทีนี้ เมื่อเราทุกๆ ชีวิตเกิดมาอยู่ในภาวะแห่งทะเลความบ้าคลั่งเช่นนี้ เราจะยืนอยู่ในจุดไหน เราต้องตัดสินใจในความเด็ดเดี่ยว ซึ่งอาตมาก็ได้พูดหลายครั้งแล้วว่า นี่เป็นความอยู่รอดของมนุษย์ ไม่ใช่เป็นความอยู่รอดของเทวดา และการกระทำอะไร เราทำด้วยเจตนาแห่งความบริสุทธิ์ ทำด้วยเจตนาเพื่อสร้างคนอื่นให้เป็นคน นำบุญไปให้เขา นำความดีไปให้เขา


ท่านเชื่อหรือไม่ว่า เทพารักษ์ก็ต้องอารักขาท่าน ถ้าพูดในเรื่องความมหัศจรรย์ทั้งหลาย ท่านก็เห็นว่าที่นี่ก็มหัศจรรย์หลายๆ อย่างให้ท่านดูกันแล้ว แต่ว่าท่านก็ยังไม่มีความมั่นใจในการทำงาน ชอบไปรู้ดีก่อนบ้าง ชอบไปอวดรู้บ้าง

เพราะฉะนั้นในการทำงานอะไรก็แล้วแต่ ถ้าท่านทำด้วยมีวิจิกิจฉา การงานนั้นย่อมที่จะเสร็จตามเป้าไม่ได้ ทำด้วยการไม่จดจ่อ ทำด้วยความระแวง ทำด้วยความกลัว ทำด้วยความทิฐิ ทำด้วยความเบื่อหน่าย สิ่งเหล่านี้เป็นพลังลบของชีวิต แต่ถ้าทำด้วยความจดจ่อ ปรารถนาดีแน่วแน่ ทุกอย่างถึงเป้าตามความต้องการ ซึ่งในภาวะทั้งหลายอาตมาก็ได้เล่าธรรมนิยายให้ฟังหลายๆ เรื่องแล้ว วันนี้ก็จะเล่าธรรมนิยายอีกเรื่องหนึ่งให้ฟังและคิด

กาลครั้งหนึ่งในป่าหิมพานต์ มีมานพสองคนได้ไปร่วมบำเพ็ญกับพวกที่เขาเรียกว่า ฤาษีในด้านการบำเพ็ญฌานญาณ มานพสองคนที่ไปนั้น


คนหนึ่งเป็นคนรู้มาก อ่านทั้งพระเวท ทั้งอะไรเยอะแยะ


คนหนึ่งเป็นผู้ไม่รู้อะไรเลย ก็ไปถวายตัวเป็นศิษย์ของฤาษี


ฤาษีก็ให้ท่องแค่ “โอม ศิวะ โอม ศิวะ” มานพที่ไม่รู้อะไรก็ท่องเอาคำนี้ แต่มานพที่รู้ดีกว่าที่ว่าอ่านตำรามาก ก็ไปเพิ่ม “โอม ศิวะ หิมาลัย” คือ อ่านตำราว่าพระศิวะอยู่บนยอดเขาหิมาลัย

ทีนี้ ไอ้นั่น “โอม ศิวะ” หายใจเข้า เขาเรียกการ “เล่นปราณ” นั่นไปเติมอีกมากมาย ก็กลายเป็นว่ากระแสปราณการหายใจมันไม่หนักแน่น ผลสุดท้ายในด้านกระแสฌาน ผู้ที่ไม่รู้อะไรเลยและทำตามครูบาอาจารย์ ไม่รู้เกินครู มานพน้อยนั้นก็ได้สำเร็จกระแสฌานญาณเบื้องสูง


ส่วนคนที่เรียนมาก มีหนังสือรู้ตำรา ทำยังไงก็รวมจิตไม่นิ่ง เพราะมันรู้เกินไป มันฟุ้ง ไปคิดถึงว่าพระศิวะต้องอยู่เทือกเขาหิมาลัย แล้วก็ต้องวาดพระศิวะเข้ามาเป็นมโนยิทธิ แล้วก็ที่เราทำนี้ถูกหรือไม่ ทำๆ กระแสจิต ต้องมาเปิดตำราดู นี่คือเสียเวลาด้วยการไม่เป็นเอกะ

ในภาวะสยามประเทศที่เต็มไปด้วยวิญญาณแห่งการจองผลาญ เต็มไปด้วยภาวะวิจิกิจฉาของมนุษย์ เราควรจะวางตนเป็นอย่างไร ควรจะทำอย่างไรในการอยู่รอดของการเป็นคน ทีนี้ ในภาวะเรื่องคน คำว่าทำอะไรให้ทุกอย่างปากกับใจตรงกันนั้นเป็นเรื่องยาก เมื่อผู้นั้นเป็นปุถุชน ไม่ใช่เป็นผู้ตรัสรู้เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระจริยวัตรของพระพุทธเจ้า ทำด้วยไม่มีวิจิกิจฉา

ทำด้วยไม่มีการหัวเราะ
ทำด้วยไม่มีการร้องไห้
ทำด้วยความรู้อันทันในภาวะสิ่งที่ทำ


และท่านทั้งหลายยังทำด้วยความวิจิกิจฉา ยังทำด้วยความไม่ตรงปากกับใจ เพราะอะไร พอวันนี้ท่านคิดจะเอาอย่างนี้ แต่พรุ่งนี้ท่านคิดเสียดายขึ้นมาบ้าง มะรืนนี้ท่านคิดอะไร กระแสจิตของท่านยังเป็นปุถุชน ในภาวะแห่งการเป็นปุถุชนย่อมที่จะเปลี่ยนทุกวินาทีตามอายตนะที่เข้ามาพัวพันในสิ่งแวดล้อมในความเป็นอยู่

เพราะฉะนั้นการที่จะก้าวเข้าไป ชนกลุ่มน้อยที่จะก้าวเข้าไปช่วยคน ๔๒ ล้านคน ถ้าชนกลุ่มน้อยมีกระแสจิตที่ว่า ตายก็ตายด้วยกัน เป็นก็เป็นด้วยกัน กินก็กินด้วยกันแล้ว ย่อมที่จะกระโดดลงเรือได้ แต่เมื่อกระโดดลงเรือได้แล้ว เรือที่อยู่ในกลางทะเลแห่งความบ้าคลั่งของกระแสคลื่น


ถ้าเกิดมีกลุ่มหนึ่งในเรือ สมมติว่ามีสามสิบคน เกิดมีสิบคนนั่งนิ่งๆ เพื่อที่จะต่อสู้กับกระแสคลื่น กับอีกยี่สิบกระวนกระวายที่จะหาทางรอดพ้นจากทะเลกระแสคลื่น ลุกขึ้นยืนบ้าง เดินไปทางซ้ายบ้าง ยืนไปทางขวาบ้าง ย่อมที่จะทำให้เรือนั้น ทั้งๆ ที่ไม่มั่นคงในกระแสคลื่นแห่งสังสารวัฏ ก็ยิ่งมีทางจมน้ำเร็วเข้า เพราะเรือมันโคลงเคลงอยู่แล้ว การที่อยู่ในเรือ ถ้ายังไม่นิ่ง ก็เหมือนหนึ่งพวกท่านทั้งหลายได้มาร่วมงานในที่นี้

ถ้าท่านยังไม่นิ่ง จิตยังไม่เป็นเอกะ ก็จะต้องพยายามฝึกจิตให้มีสมาธิ จะได้เป็นมูลฐานในการทำงานใหญ่ได้ เอาละ ข้อคิดและธรรมนิยายที่เล่าให้ฟังเป็นอุปมาอุปไมยนั้น ก็คิดว่าเป็นคติเพียงพอ อาตมาจะกลับละ

เจริญพร


(เทศน์เมื่อ ๑๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๙)

Rank: 8Rank: 8

pimnuttapa โพสต์เมื่อ 2009-1-28 00:10 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

ตอนที่ ๔๕

ความวุ่นวายเกิดจากจิต



เจริญพร

สาธุชนที่เดินทางมาจากภาคเหนือ สำเนียงที่ท่านได้ฟังนี้เป็นสำเนียงทางใต้ ซึ่งในฐานะที่อาตมาเป็นประธานสำนักปู่สวรรค์ ท่านทั้งหลายก็ได้อุตส่าห์เดินทางมาจากภาคพายัพมาสู่สำนักนี้ เรียกว่าท่านทั้งหลายมีความกระตือรือร้นใคร่ค้นหาสัจจะแห่งความจริง คือ


ในภาวะขณะนี้ในสังคมของชาวสยามประเทศ อยู่ในสังคมของความวุ่นวาย อยู่ในสังคมแห่งความทิฐิ ในกาลปัจจุบันเป็นกาลที่วัตถุเจริญ ทำให้การสื่อสารก็ดี การเผยแผ่ก็ดี การพูดจาก็ดี การโฆษณาก็ดี เป็นการทำให้เร็วไวกว่าบุราณกาล ภาวะแห่งความเร็วไวกว่าบุราณกาลนี้  จึงทำให้การติดต่อในสังคมหมู่มนุษย์ถึงกันไวกว่าในอดีต

แต่ในปัจจุบัน มนุษย์ถูกการปลุกปั่นหัว จนไม่ทราบว่าจะแลอะไรเป็นหลัก จะยึดอะไรเป็นที่พึ่ง และภาวะเช่นนี้จึงเรียกว่า เป็นภาวะแห่งความวุ่นวายของมนุษย์

ทีนี้ ภาวะแห่งความวุ่นวายของมนุษย์ อะไรจึงทำให้เกิดความวุ่นวายได้ สิ่งที่ทำให้เกิดความวุ่นวายก็คือ “จิต” จิตของมนุษย์ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิทธัตถะ ได้บัญญัติแห่งสมมติว่าเปรียบเสมือนหนึ่ง “ลิง”


ภาวะแห่งจิตของมนุษย์เปรียบเสมือนหนึ่งลิงนี่แหล่ จึงทำให้สภาวะเกิดอารมณ์แห่งความโลภ แห่งความโกรธ แห่งความหลง ภาวะเหล่านี้หลักของพระพุทธศาสนากล่าวว่า เป็นภาวะแห่งพญามารที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในกายของมนุษย์

ทีนี้ บางท่านที่มาที่นี้ ก็ยังไม่เข้าใจเรื่องของวิญญาณ แล้วก็สงสัยว่าทำไมเขาเชิญวิญญาณที่อื่น เขาจะเชิญกันมาเมื่อไรก็ต้องมา แต่ทำไมมาที่นี่จึงต้องมีระเบียบวินัย ก็ใคร่ที่จะแถลงไขให้ทราบว่า อาตมาไม่ใช่มาหากินกับมนุษย์ การที่อาตมามาในโลกมนุษย์ครั้งนี้ สืบเนื่องจากภาวะกลียุคที่จะเกิดขึ้นในแผ่นดินรัตนโกสินทร์ และด้วยการดิ้นร้นของพระเถระแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี ผู้ที่สืบเชื้อสายแห่งราชวงศ์จักรี

จึงทำให้อาตมาซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบสำนักปู่สวรรค์ในโลกวิญญาณต้องมาดูแลสำนักในโลกมนุษย์ เพราะฉะนั้นเข้าใจว่า ความเชื่อก็ดี ความยึดถือก็ดี ความศรัทธาก็ดี แล้วแต่ท่านพิจารณา แล้วแต่ท่านที่จะยึดถือ เพราะทุกคนเขาเรียกว่า สวรรค์สร้างให้เรามีมนุษยสมบัติแห่งการมีสติสัมปชัญญะแห่งการมีสมองในการคิด ในการทำ ในการพูด ท่านจะต้องใช้วิจารณญาณแห่งการเป็นมนุษย์พิจารณา


ฉะนั้น การทำงานที่นี้ จึงทำงานแบบไม่เหมือนใคร แล้วก็ทำกันอย่างเปิดเผย ไม่มีการซ่อนเร้นใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเราถือว่าเป็นการทำงานของโลกวิญญาณที่มาทำงานโดยตรง เพื่อช่วยสัตวโลกที่กำลังอยู่ในทะเลแห่งความบ้าคลั่งในกลียุค

ทีนี้ เมื่อความวุ่นวายทั้งหลายเกิดจาก “จิต” เราทำยังไงจึงจะระงับความวุ่นวายทั้งหลายได้เล่า ทุกอย่างแห่งภาวะ ทุกอย่างแห่งความสำเร็จ เราเป็นมนุษย์เราต้องแลให้ดี แลในลักษณะอย่างไรของการที่จะสัมฤทธิ์ผล ให้ค้นปัจจัยในวิบากในกรรมนั้นๆ ล้วนแต่เกิดจาก ๓ กรรม พร้อมในที่นี้ก็คือ

กรรมที่หนึ่ง คือ มโนกรรม ทุกอย่างจะต้องเกิดจากมโนภาพความคิดภายในแห่งจิตของแต่ละคน เมื่อมโนกรรมนั้นคิดแล้ว ซึ้งแล้วที่จะสำแดงออก ก็กลายเป็นวจีกรรม คือ การพูด การป่าว การบอก เมื่อภาวะแห่งวจีกรรมเสร็จแล้ว ผลที่จะเข้ามาสู่เป้าแห่งความสำเร็จก็คือ กายกรรม


ฉะนั้น จึงเรียกว่า ๓ กรรม พร้อมเป็นสัมฤทธิ์ผลแห่งการกระทำของมนุษย์แต่ละรูป แต่ละนาม แต่ละสังคม แล้วจะทำอย่างไร จึงให้ ๓ กรรม พร้อมแห่งความสัมฤทธิ์ผลในโลกมนุษย์ก็เป็น “กรรมดี”

กรรมดีในที่นี้ หมายถึง เราจะต้องไม่มีการเบียดเบียน มีมโนภาพต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันในทางที่ดีที่ชอบ มีมโนภาพที่ก่อขึ้นในมโนยิทธิในทางที่เมตตาเป็นธรรมต่อเพื่อนมนุษย์ ปัญหานี้ก็คือ ปัญหาต้องพิจารณาตน


การพิจารณาตนก็คือ ถ้าเกิดเป็นคนต้องรู้ว่าเป็นภาวะของจิต ภาวะของจิตที่คิดในอกุศลไม่ดี เราต้องตามทันแห่งอารมณ์ในอกุศลนั้นๆ ด้วยการดับในอกุศลที่เกิดขึ้นในมโนยิทธิให้เป็นกุศล ให้เป็นกุศลนั้นก็คือ เราต้อง “ปลง” ที่เราวุ่นวายเพราะทุกคน “ไม่ปลง” ทุกคนยึดมโนยิทธิของตน เป็นการที่เรียกว่า เป็นมโนยิทธิในทางที่ผิด คือ

หนึ่ง หลงตนว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่
สอง จำพวกที่หลงตนว่าเป็นผู้มีอำนาจ
สาม จำพวกที่หลงตนว่าเป็นเศรษฐี มีเงินทองมากกว่าใคร

เมื่อมนุษย์ต่างฝ่ายต่างหลงตนอยู่เช่นนี้ ก็ไม่มีจุดแห่งความ “ละ” ถือจุดแห่งความมีทิฐิ ต่างคนต่างที่จะยึดว่าของตนถูก ก็เกิดการที่จะแบ่งแยกเป็นกลุ่มก้อน ทางหลักภาษาของธรรมะเรียกว่า เป็นการเกิดชั้นวรรณะในสังคมของมนุษย์ขึ้น


ปัญหาตั้งแต่เปิดโลกมาแล้ว แต่ว่าแต่ละยุคก็มีพระบรมศาสดาจารย์ที่ส่งจากโลกวิญญาณลงมา เพื่อชี้จุดแห่งสัจธรรมให้แต่ละกลุ่ม แต่ละหมู่ที่มีมโนยิทธิในการหลงตน ยึดตนให้คลาย เมื่อในกลุ่มมนุษย์ที่อยู่ในสังคมต่างคนต่างคลายในการยึดตนแล้ว ต่างคนต่างมีมโนภาพในทาง “ละ” แล้ว ก็ย่อมที่จะเกิดความเห็นอกเห็นใจในสังคมมนุษย์ได้ ในหมู่เพื่อนมนุษย์ได้ ในหมู่ผู้เกี่ยวข้องของสังคมมนุษย์นั้นได้ เมื่อเกิดความอันนี้ หลักของภาษาธรรมเรียกว่า เกิดเมตตาในใจขึ้นมโนภาพหรือว่าในมโนยิทธิที่มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์

ฉะนั้น ปัญหานี้เป็นปัญหาของโลกที่เป็นมานาน จะใช้ได้แต่ละยุคก็ต้องมีผู้ที่ถึงฝั่งในการที่เรียกว่า ใกล้ธรรมหรือว่าถึงฝั่งในการที่ถึงสัจธรรม ได้เป็นคนเสียสละในตนที่ไม่ยึด แล้วออกไปเผยแผ่ให้เพื่อนมนุษย์ทั้งหลายที่ไม่ยึด จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย จากร้อยเป็นพัน จากพันเป็นหมื่น จากหมื่นเป็นแสน จากแสนเป็นล้าน จากล้านเป็นสิบล้าน จากสิบล้านเป็นร้อยล้าน ก็ค่อยๆ แผ่ขยายไป ก็เกิด “สันติ” ได้

แต่ถ้ามนุษย์ที่มีธรรม มนุษย์ที่ฟังธรรม มนุษย์ที่เข้าใจธรรม คิดว่าเรื่องไม่ใช่ของเรา เรื่องไม่ใช่ของฉัน ฉันจะเอาทางของฉัน ฉันรู้ของฉันคนเดียว ฉันจะหาทางรอดของฉัน ถ้าทุกคนคิดเช่นนั้น ความแคบของโลกก็ใกล้เข้ามา เพราะอะไรเล่า เพราะว่าไม่มีความใจกว้าง ไม่มีความเมตตาต่อสัตวโลกที่เกิดมาใช้กรรมด้วยกัน เรียกว่า ตนรู้แล้วก็เก็บแล้วก็ยึด


ฉะนั้นจึงเข้าสู่เป้าหมายว่า ความวุ่นวายของโลกนั้นเกิดจากมนุษย์มีตัว “ยึด” ท่านทั้งหลายได้เดินทางมาจากภาคเหนือได้ดิ้นรนอุตส่าห์มาเพื่อสัจธรรม เพื่อหาความจริงในพิภพ อาตมาก็ได้มาชี้ทางแห่งความวุ่นวายให้ท่านทั้งหลายฟังพอประมาณ

ดังนั้นปัญหาในเรื่องนี้ ที่จะให้มนุษย์ยุติธรรมวุ่นวายได้ขนาดไหน ก็ขึ้นอยู่กับท่านทั้งหลายที่มาจากภาคเหนือที่จะช่วยพี่น้องทางภาคเหนือได้เพียงไร และขึ้นอยู่กับว่าท่านจะเผยแผ่หรือไม่ คือ จุดสำคัญมนุษย์เราต้องคิดถึงว่าอะไรที่เราทำนั้น


เราทำเพื่อคนอื่น
เราทำเพื่อสันติ
เราทำเพื่อความร่มเย็น
เราทำเพื่อให้คนอื่นมีความสบาย
เราย่อมมีเกียรติเหนือกว่าใคร
เราย่อมมีคุณธรรมเหนือกว่าเขา
เราไม่จำเป็นที่จะต้องกลัวเขาว่าให้เสียเกียรติ
กลัวเขาหาว่าเราเป็นคนโง่เง่า


กลัวเขาหาว่าเราเป็นคนครึ ถ้าเรามีอารมณ์เหล่านี้เข้าในกระแสจิตแล้ว ก็แสดงว่าเราก็เหมือนเขา เหมือนเขาในฐานะแห่งการเป็นสัตวโลกที่ตกอยู่ในตมที่แน่นหนักเหนียวในสังสารวัฏ ไม่มีทางพ้นการเกิดการตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะอะไรเล่า?


เพราะว่าเราไม่เข้าซึ้งถึงสัจจะ เราไม่เข้าซึ้งถึงธรรมะ เราไม่รู้แจ้งหลักแห่งความจริงของสัตวโลก คือ เราไม่มีคุณธรรมแทรกเข้าในมโนจิตเรานั่นเอง เราจึงกลัวคำว่าเสียเกียรติ เมื่อพูดความดีเสียเกียรติ เมื่อชักจูงคนไปทางธรรมะเสียเกียรติ ขายหน้าเมื่อชวนคนทำบุญ

ฉะนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายถือว่า “สิ่งที่ท่านพิจารณาจะช่วยเพื่อนมนุษย์ สิ่งนั้นคือ ท่านมีเกียรติเหนือกว่าคนที่พูด” และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เมื่อเราทั้งหลายได้ฟัง ได้รู้ และพิจารณาธรรมแล้วว่า ความวุ่นวายของมนุษย์เกิดจากจิต ทำอย่างไรจึงจะให้เพื่อนมนุษย์หยุดจิต จิตต้องเคลื่อนไปตามวิบากของกรรม แต่ว่าอย่าให้อารมณ์แห่งอกุศลกรรมเข้าสู่จิตมนุษย์ก็คือ ต้องชำระจิตด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คติธรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่ไร้สาระในวันนี้ ให้ท่านทั้งหลายฟัง ก็เพียงพอจะเป็นคติในการดำเนินชีวิตให้เกิดสันติในตัวขึ้นได้ และขอให้ท่านทั้งหลาย จงประสบความสำเร็จในชีวิตแห่งการเป็นมนุษย์เถิด

เจริญพร

(เทศน์เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๘)

Rank: 8Rank: 8

pimnuttapa โพสต์เมื่อ 2009-1-28 00:27 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

ตอนที่ ๔๖

ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว



สานุศิษย์ – ผมข้องใจเรื่องกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

หลวงปู่ทวด – คือปัญหาเรื่องกฎแห่งกรรม ภาวะมนุษย์คล้ายๆ ว่า มนุษย์เรานี่ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า มนุษย์ดูความดีความชั่ว ความสำเร็จหรือความไม่สำเร็จในตอนที่มนุษย์ผู้นั้นทำสิ่งนั้นไปแล้ว คือ

ในกฎแห่งสังสารวัฏ กฎแห่งกรรมเขาถือหลักที่ว่า หว่านพืชเช่นไรก็ต้องได้พืชเช่นนั้นเป็นสิ่งแน่นอน ทีนี้ บางครั้งที่ว่าเราไปเห็นคนทำชั่วเขาสบาย ไอ้คำว่าสบายอันแท้จริงอยู่ที่ไหน สบายที่แท้จริงมันอยู่ที่นามธรรม ที่เราเห็นว่าภายนอกเขาสบาย แต่ภายในเขาไม่สบาย เรามองไม่เห็น ที่เรานึกว่า เขาทำชั่วแล้วเขาสบายแล้วเขาดี เพราะยังไม่ถึงวาระสุดท้าย

ถ้าภาษาชาวบ้าน เขาก็เรียกว่า ดูหนังดูละครยังไม่จบเรื่อง มนุษย์ทุกๆ คนยังเป็นปุถุชนยังเป็นคนอยู่นั้น ต้องเข้าใจว่าความดีและความชั่วย่อมที่จะดูกันยาก เพราะว่ากรรมวิบากน่ะมันละเอียดถี่ยิบที่มันวิบากกัน ซึ่งถ้าท่านเคยศึกษามา ท่านโตเป็นหมอดูตัวฉกาจ แต่เมื่อท่านเวลานี้ไปอยู่โลกวิญญาณแล้ว ท่านไม่กล้าดูหมอดูให้เขา


เพราะวิบากกรรมนี่มันถี่ยิบ ถี่ยิบจนที่เราเรียกว่าตามไม่ทันในกฎของศูนย์รวมกรรม มนุษย์เราเป็นสื่อกลางของการใช้กรรม สิ้นจากโลกมนุษย์ ถ้าไม่สำเร็จจากด้านฌานญาณ จึงเรียกว่า โลกมนุษย์คือสื่อกลางของการใช้กรรม

ฉะนั้นที่เราไม่เข้าใจ เพราะเราไปถือเรื่องของวัตถุภายนอกเป็นสิ่งที่ว่า เขาทำชั่วได้ดี ความจริง คนที่เขาทำความชั่วก็ดี คนที่เขาไม่มีหิริโอตัปปะในใจก็ดี บุคคลเหล่านี้ท่านต้องมองสีหน้าเขาให้นาน จะรู้สึกว่าเขาไม่มีความสุขเลย เพราะภายในสิ่งที่เขาทำ เขาย่อมรู้


ทีนี้ อย่างที่ว่าทำไมจึงส่งผลช้า ท่านต้องเข้าใจว่า บารมีสะสม อย่างเวลานี้ผู้นำโลกมนุษย์หลายๆ ประเทศที่เคยอยู่นรกบำเพ็ญเป็นกัปๆ กัลป์ๆ ซึ่งเป็นหมื่นๆ ล้านๆ ปีทิพย์แล้ว ได้มีโอกาสเกิดขึ้นมาสู่โลกมนุษย์ แต่ความที่ว่าอนุสัยมันเป็นสิ่งที่ตัดยาก


ทีนี้ ที่เขามีความสบายอยู่ พูดแบบภาษาชาวบ้านก็คือว่า แบบเขาเก็บเงินเก็บไว้ฝากธนาคารอยู่ แล้วเขาใช้เงินจากธนาคารที่เขาฝากอยู่เป็นอันมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เราก็นึกว่า ทำไมเขาชั่วแล้วเขาได้ดีนั้น เพราะเงินเก่าเขามี บารมีเก่าของเขามีก็ดี

ทีนี้ เรื่องบารมีแห่งการส่งผลของกรรมนี้ มันไม่ใช่สามารถดูแค่ปัจจุบันชาติ ไม่สามารถที่จะลงข้อยุติในปัจจุบันในเดี่ยวนี้แลบัดนี้ เพราะว่าทุกอย่างก่อนที่จะเกิดเป็นมนุษย์เกิดเป็นอะไรคลุกเคล้าอยู่ในสังสารวัฏเป็นกัปๆ กัลป์ๆ แห่งชีวิตของการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งเป็นสิ่งยึดถือหลักที่ว่า


สร้างความดีย่อมได้ดี สร้างความชั่วย่อมได้ชั่ว แต่ว่าผลมันคล้ายกัน เขาเรียกว่า ต่างกรรมต่างวาระ ต่างกรรมต่างวิบาก ที่แบบจะตามใจที่เราคิดไม่ได้หรอกในโลกมนุษย์

บางคนเขาอาจอยู่ในโลกมนุษย์สบาย แต่เขาไปใช้กรรมในโลกวิญญาณแสนที่จะลำบาก ซึ่งมนุษย์ก็ไม่สามารถจะเห็น อันนี้เป็นเรื่องที่ว่าเกิดช่องว่างมนุษย์กับโลกวิญญาณ และเป็นเรื่องที่มนุษย์ต้องพยายามฝึกจิตให้ถึงธรรมก็ย่อมที่จะรู้ผลอย่างแท้จริงว่า

“ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”


เจริญพร

(เทศน์เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๘)


Rank: 8Rank: 8

pimnuttapa โพสต์เมื่อ 2009-1-28 13:27 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

ตอนที่ ๔๗

การเป็นอยู่ของโลกวิญญาณ



วันนี้อาตมาจะมาคุยให้มนุษย์ได้เข้าใจในสภาพการเป็นอยู่ของวิญญาณ คือในภาวะจะต้องคุยกันถึงเรื่องเปิดโลก ซึ่งท่านก็ได้ฟังท่านโตเทศน์ไว้แล้ว ทีนี้ต้องคุยถึงเรื่องเทวะกำเนิดก่อน

เมื่อโลกกลายเป็นโลกมนุษย์ ก็เกิดโลกวิญญาณใหม่ ซึ่งเป็นหลายกัปหลายกัลป์เรียกว่านับไม่ถ้วน ภาวะแห่งการเกิดเป็นโลกวิญญาณ ก็ได้เกิดการแบ่งกันในระดับจิตของการเป็นอยู่ของเทวดา ของพรหม ของนรก ในภาวะนั้นก็มีการแบ่งกันอยู่ของเทพพรหมตามสภาพกายหยาบกายทิพย์ จิตวิญญาณ

ทีนี้ ก็มาเข้าสู่ในหลักการย่อเรื่องของวิญญาณมาสู่โลกมนุษย์ใหม่ ถ้าทุกคนศึกษาเข้าใจแล้ว จะรู้ว่าเทพพรหมชั้นสูงไม่ใช่เป็นเพื่อนเล่นของมนุษย์ และก็ไม่ใช่มนุษย์คิดจะเชิญแล้วเขาจะต้องมา

มีธรรมนิยายเรื่องของเทวโลก ทุกคนคงรู้จักพระพิฆเนศ ทำไมหัวจึงเป็นช้าง พระพิฆเนศโดยเทวกำเนิดเป็นพระโอรสของพระศิวะที่เกิดจากเหงื่อไคล แต่ว่ามนุษย์เขาทำเรื่องให้มีผัวเมียกัน โดยมีว่าพระนางอุมาเป็นชายา ก็เกิดเป็นรูปทิพย์ขึ้นมา ในการพัวพันของจิตวิญญาณมาเป็นลูกเป็นพ่อ ภาวะแห่งการพัวพันของจิตวิญญาณว่าเป็นลูกเป็นพ่อ


วันหนึ่งจะจัดงานในเทวโลก อันนี้ขอให้ถือว่าเป็นเรื่องนิยาย พระศิวะก็ได้ให้พระวิษณุเทพไปเชิญเทพพรหมทั้งหลายมาร่วมพิธีการตัดจุกหรือว่าโสกันต์ ขณะไปเชิญพระนารายณ์ซึ่งกำลังบรรทมอยู่สะดือสมุทร พระวิษณุเทพก็ได้ไปกับพระกฤษณะ


พระนารายณ์ได้ถูกปลุกตื่นบรรทม ได้กล่าวคำหนึ่งว่า “มีเรื่องอะไรหรือ เรากำลังบรรทมอยู่” เกิดความงัวเงียๆ ขึ้นมา พระวิษณุเทพกราบทูลว่า “ขณะนี้เทวโลกจะมีงาน ด้วยพระศิวะจะจัดพิธีโกนจุกโสกันต์พระพิฆเนศ” พระนารายณ์มหาเทพกล่าวด้วยความไม่ตั้งใจ “ไอ้ลูกหัวขาดยุ่งชะมัด”

เพียงกล่าวแค่นี้เท่านั้น ในเทวโลกก็เกิดความอลหม่าน คือหัวของพระพิฆเนศได้ขาดหายออกจากบ่า ณ บัดนั้น เมื่อพระวิษณุมหาเทพปรึกษาพระนารายณ์ว่าจะทำอย่างไร ก็ได้รับสั่งว่า จงไปเอาหัวไม่ว่าหัวอะไรในพิภพจักรวาลทุกโลก ใครนอนหัวอยู่ทางทิศตะวันตก จงตัดเอาหัวนั้นมาใส่พระพิฆเนศ


พระวิษณุเทพก็ได้ท่องไปทั่วพิภพจักรวาล ไม่มีผู้ใดนอนหันหัวอยู่ทางทิศตะวันตก ได้กราบทูลพระนารายณ์ พระนารายณ์ได้สั่งให้ตัดหัวช้างนั่นมาสวมให้พระพิฆเนศ นี่คือการรวบรัดตัดความ เพราะฉะนั้นในโบราณกาล ไม่ว่าคนในประเทศไหนที่ถือศาสนาจะไม่ยอมให้นอนหันหัวทางทิศตะวันตก ที่โบราณกาลผู้ใหญ่สั่งกันไว้ อาจจะเกิดจากเรื่องนี้

เพราะฉะนั้นนั่นเป็นการที่พระนารายณ์กล่าวโดยไม่ตั้งใจ กายของเทวดายังขนาดนั้น และมนุษย์ที่มีกิเลสหนา มนุษย์ที่มีความโลภ มีความหลง อยากที่จะเชิญองค์นั้นเข้าองค์นี้เข้า แล้วกระแสจิตจะถึงเขาหรือ ถ้าถึงเขา ถ้าเกิดเขาเข้าฌานอยู่จะเกิดมีอะไรขึ้น


ฉะนั้นจึงทำให้เกิดการสับสนอลหม่านในโลกมนุษย์ ไม่เข้าใจความเป็นอยู่ของโลกวิญญาณ และท่านจะสังเกตเห็นว่า พวกที่เชิญวิญญาณผ่านร่าง ยิ่งเชิญหน้ายิ่งซีดเซียวเพราะอะไร แต่ทำไมสำนักปู่สวรรค์มนุษย์ที่อาตมาใช้ ยิ่งเชิญยิ่งราศีเปล่งปลั่งเพราะอะไร

สำนักปู่สวรรค์นี้เป็นสำนักที่สถิตอยู่สวรรค์ชั้นที่ ๕ เป็นที่พักของบรมครูของปู่สวรรค์ เป็นสำนักที่สถิตของพวกปู่ครูหรือมีพวกมีวิชาความรู้บนสวรรค์ เทพพรหมทุกชั้นฟ้าที่เป็นพวกมีวิชาความรู้ เขาจะต้องรู้จักสำนักปู่สวรรค์ แล้วเขาก็เอาที่นั่นเป็นที่พบปะบนสวรรค์

ทีนี้ในการมาตั้งสำนักนี้ในโลกมนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์คิดจะตั้งแล้วก็ตั้งได้ ซึ่งอาตมาก็ได้ท้าวความถึงเรื่องทั้งหลายที่เป็นสาเหตุของการมาตั้ง และเรียกว่าพวกเรื่องของวิญญาณถูกมนุษย์อัปรีย์ทั้งหลายที่สอดอ้างอิงสมนาม (มนุษย์เอาเรื่องของวิญญาณมาหลอกลวงหากิน) ทำจนมนุษย์เกิดไม่เชื่อเรื่องโลกหน้า เพื่อคลายความทิฐิ เพราะฉะนั้นต้องใช้สามัญสำนึกว่า แม้แต่มนุษย์ที่มียศถาบรรดาศักดิ์หรืออะไร คนเชิญเขาไม่ค่อยเที่ยวไป แต่เทวดาที่สูงแล้ว ทำไมถูกมนุษย์เชิญแล้วเขาต้องมา

ทีนี้วิญญาณอะไรเล่า ที่จะเข้ามามนุษย์พวกนั้น ก็คือพวกวิญญาณสัมภเวสี วิญญาณสัมภเวสีพวกนี้เป็นพวกรุกขเทพ หรือพวกอมรมนุษย์ พวกกึ่งเทพ กึ่งมนุษย์ที่อยู่ในพิภพของมนุษย์ เขาใช้แล้วก็อ้างชื่อแซ่ของบุคคลที่มนุษย์รู้จัก เช่น


ขณะนี้มีหลายสำนักที่อ้างว่าเป็นเจ้าปิยะ รัชกาลที่ ๕ ของจักรีวงศ์ รัชกาลที่ ๖ ซึ่งเขาอ้างชื่ออะไรต่างๆ แล้ว ทำไมเมื่อเป็นถึงเจ้าปิยะมาทำงานก็ดี รัชกาลที่ ๖ ก็ดีใหญ่โตในจักรีวงศ์ ทำไมจึงอยู่ในกระต๊อบเท่านั้นเล่า เมื่อลูกหลานของเขายังมีชีวิตอยู่กันมาก ทำไมจึงไม่ไปสร้างความศรัทธาให้ลูกหลานเขารับรองเล่า

แต่สิ่งเหล่านี้ วิญญาณเหล่านี้ทางโลกวิญญาณถือว่า ถ้าประพฤติธรรมแห่งความดี ก็เป็นการบำเพ็ญบารมีของเขา เพราะจิตของเทพพรหมชั้นสูง จิตของพระโพธิสัตว์จะต้องมีมหาเมตตาเป็นหลักที่จะช่วยสัตวโลก ไม่ว่ามีกายในรูปใด จึงปล่อยเช่นนั้น

ที่นี้ทำไมพระไตรปิฎกจึงบอกว่า อย่ายุ่งกับวิญญาณองค์โคตมะ ทำไมจึงบัญญัติไว้ เพราะวิญญาณเหล่านั้นเป็นวิญญาณแห่งนามธรรม วิญญาณเทพ พรหม เป็นวิญญาณแห่งผู้มีพลังสูง ผู้ที่บังอาจอาจเอื้อมไปยุ่งกับวิญญาณ ส่วนมากจะเกิดประสาทฟั่นเฟือน หรือเกิดความซีดเผือดของร่างกาย เพราะอะไรเล่า เพราะ

หนึ่ง กระแสตัวเองไม่ได้ทำสมาธิอย่างแข็งแกร่งเตรียมรับพลังอันสูงส่ง


สอง วิญญาณที่ถูกเรียกร้องมากๆ มาด้วยความรำคาญมาอย่างกระทกกายเนื้อ


สาม ผู้นั้นมีโมหจริตหลงมาก เพื่อที่จะให้คนนับถือ

ทีนี้มาย้อนถึงงานสำนักปู่สวรรค์ การท่านโตดำเนินงานให้ธรรมนำโลกนั้น ทุกคนต้องเข้าใจว่า คำว่า “โลกวิญญาณส่งทูตสันติภาพ” เป็นการเห็นชอบของเทวโลก เพราะว่า “บุตรของพระเจ้า” ก็พระเยซูเอาไปใช้ “ทูตของพระเจ้า” ก็พระมะหะหมัดเอาไปใช้


ฉะนั้นควรจะมี “ทูตของโลกวิญญาณ” เพื่อให้ทันสมัยที่มนุษย์กำลังสงสัยเรื่องโลกหน้า และผลของเรื่องชี้จุดบอดจุดแก้นั้นต้องเข้าใจว่า ผลนั้นสะท้อนกลับมาหลังจากเลือกตั้งแล้วจะมีคุณค่ามาก และอาตมาก็กำลังจะเตรียมการเข้ามาช่วยแต่ต้องดูการทำงานของมนุษย์ และการที่ให้ตั้งรัฐบาลสากลโลกวิญญาณในโลกมนุษย์ อาตมาคิดว่าเป็นไปได้แน่นอน

ทีนี้ย้อนมาถึงเรื่องงานที่ท่านกำลังทำอยู่ ขอให้ท่านฟังธรรมนิยายอีกเรื่องหนึ่งที่อาตมาจะเล่าให้ฟังแล้วคิด


ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีผู้เฒ่าผู้หนึ่ง ถือศีลกินเจอย่างเคร่งครัด วันหนึ่งผู้เฒ่าผู้นั้นได้บังเอิญเอาไม้ขว้างไปถูกไก่ตัวหนึ่งตาย ผู้เฒ่าผู้นั้นเมื่อเอาไม้ขว้างไปถูกไก่ตัวนั้นตายแล้ว ก็เกิดความเสียใจร้องห่มร้องไห้ว่า เรานี่ถือศีลกินเจมาเป็นเวลานานหลายสิบปี ไม่เคยสร้างบาป วันนี้ได้สร้างบาปแล้ว ด้วยการฆ่าชีวิตไก่ตายโดยบังเอิญ เราสมควรที่จะต้องตายตามไก่ไป ก็เดินร้องห่มร้องไห้ไปว่าจะไปหาที่ตาย

เดินมาถึงครึ่งทาง เจอชายหนุ่มคนหนึ่งถามว่า “ผู้เฒ่าท่านร้องไห้ทำไม” ผู้เฒ่าก็ตอบว่า “ฉันนี่จะไปตาย เพราะว่าฉันถือศีลกินเจเป็นเวลานานหลายสิบปี ไม่เคยทำบาป วันนี้ได้ฆ่าไก่ตัวหนึ่งตายโดยบังเอิญ ฉะนั้นฉันสมควรตาย”

ชายหนุ่มผู้นั้นบอกว่า “ถ้าผู้เฒ่าจะตาย ฉันก็ต้องไปตายด้วย เพราะฉันมีอาชีพฆ่าหมู วันหนึ่งๆ ฉันฆ่าหมูตายเป็นสิบๆ ตัว ผู้เฒ่าเพียงแต่ฆ่าไก่ตายตัวหนึ่งเท่านั้น ก็คือจะตายตามไก่ ฉันสมควรที่จะตายมากกว่าผู้เฒ่า”   จึงเดินไปด้วยกัน เพื่อจะไปกระโดดน้ำตายในทะเล


ระหว่างอยู่ครึ่งทางของเขาที่จะถึงนั้น ด้วยการพิสูจน์ของเทพพรหม ก็ได้เนรมิตทะเลอันยิ่งใหญ่ มีคลื่นสะท้านอย่างน่ากลัว พอไปถึงริมเขา ผู้เฒ่าเห็นทะเลมีคลื่นอย่างบ้าระห่ำไม่กล้ากระโดดลงไป ชายหนุ่มผู้มีอาชีพฆ่าหมูนั้นได้กระโดดตูมลงไปทันที

ผลแห่งการตัดสินใจแน่วแน่ในการสำนึกบาป ชายหนุ่มผู้นั้นได้ไปเสวยสุขในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อตายแล้วจิตวิญญาณก็ขึ้นสู่สวรรค์ทันที ผู้เฒ่าผู้นั้นไม่กล้ากระโดด ก็กลับมาใหม่ ตายแล้วก็ต้องไปตกนรก

ฉะนั้น ธรรมนิทาน เรื่องนี้ก็กำลังเกี่ยวโยงกับท่านทั้งหลายที่มาร่วมการทำงานเสียสละเพื่อส่วนรวมในขณะนี้ คือท่านทุกคนรู้ดี ศรัทธา แต่ความจริงจังเด็ดเดี่ยวยังไม่เพียงพอ คิดว่าจะเดินทางของตนจากห่วงบาป แต่ไม่กล้าทิ้งห่วงบาป จึงให้ท่านพิจารณาให้ดีระหว่างผู้เฒ่าถือศีลและชายหนุ่มผู้มีอาชีพฆ่าหมู ว่าตอบแทนบั้นปลายของทั้งสองเป็นอย่างไร


เพราะถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้องพิจารณาว่า ถ้าชาติไม่มี บ้านก็มีอยู่ไม่ได้ ถ้าโลกเกิดไฟอเวจี ชาติไทยก็คงไม่พ้นการถูกทำลาย ดังนั้นพลังฝ่ายธรรมะจะต้องเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวและเสียสละอย่างจริงจัง จึงจะทำงานให้ธรรมนำโลกได้ ขอให้ท่านที่ได้ฟังในวันนี้ไปพิจารณาทบทวนหลายๆ เที่ยวและตัดสินต่อไป

เจริญพร


(เทศน์เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๘)

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-4-19 09:30 , Processed in 0.058441 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.