แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

ธรรมะสำหรับผู้ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์และสานุศิษย์พระโพธิสัตว์ ; หลวงปู่ทวด [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๔๘

สำนึกบุญคุณครู



เจริญพร

ก่อนอื่นอาตมาใคร่ขออนุโมทนาที่สานุศิษย์ทั้งหลายได้มีความสามัคคีในการจัดงานบูชาครู โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิสาขฤกษ์นี้ นับย้อนจากนี้ไปสิบราตรีกาล (ของโลกวิญญาณ) หรือสิบปีก่อน (ของโลกมนุษย์) สำนักปู่สวรรค์ได้เริ่มอุบัติขึ้นในโลกมนุษย์ เพื่อที่จะดำเนินการเผยแผ่ธรรม เพื่อที่จะดำเนินการโกยสัตวโลกพ้นภัยพิบัติ


แต่ด้วยวาระของกรรมวิบากของสยามประเทศ จึงทำให้มนุษย์ทั้งหลายมองข้ามอาณาจักรพระโพธิสัตว์นี้ไป จึงจำเป็นที่จะต้องช่วยมนุษย์ที่มีกรรมเบาบางเพียงพอที่จะเข้าสู่อาณาจักรพระโพธิสัตว์เท่าที่จะช่วยได้

ทีนี้ วันนี้ท่านทั้งหลายได้จัดพิธีการเรียกว่า “บูชาครู” การบูชาครูนี้เป็นการที่ดี เป็นการที่ท่านแลเห็นความสำคัญของครู เพราะในโลกนี้สัปบุรุษและปูชนียบุคคลหรือว่าพรหมของบุตรนั้น ก็คือบิดามารดาที่ให้กำเนิดในกายเนื้อ ครูบาอาจารย์เป็นผู้ให้ประสิทธิ์ประสาทในกายใน


ทำไมอาตมาจึงว่าเช่นนั้น เพราะว่าบิดามารดาเป็นผู้ที่มีกรรมพัวพันกับเรา ทำให้เราเป็นผู้ที่เกิดเป็นคน แต่ว่าบิดามารดาไม่มีโอกาสในการที่จะสอนในด้านปัญญาในด้านธรรมะ บิดามารดาคนที่สองของเรา คือครู ครูเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทในด้านวิชา ในด้านจรณะ ในด้านความรู้ ในด้านสัมมาทิฐิ ในด้านธรรม

ฉะนั้น ท่านทั้งหลายได้มาร่วมการจัดพิธีบูชาครูในวันนี้ ก็แสดงว่าท่านทั้งหลายมีกิเลสตัณหาแห่งอุปาทานน้อยที่ไม่ยึดตนว่าเด่นกว่าคนอื่น ที่ไม่ยึดตนว่าเหนือกว่าสัปบุรุษ ที่ไม่ยึดตนว่าเก่งกว่าครู


เพราะฉะนั้น หลักแห่งสัจธรรมมีอยู่ว่า ผู้ใดมีความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ ผู้นั้นมีความเจริญ และวันนี้เป็นวันสมมติแห่งโลกมนุษย์ ซึ่งเป็นวันสมมติที่เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีก่อน

บุรุษแห่งนักปราชญ์ที่มีมหาเมตตา ได้อุบัติขึ้นที่ชมพูทวีป


บุรุษแห่งนักปราชญ์ที่มีมหาเมตตา ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธะที่ชมพูทวีป


บุรุษแห่งนักปราชญ์ที่มีมหาเมตตา ได้ปรินิพพานจากโลกมนุษย์ที่ชมพูทวีป

ในวันนี้วันวิสาขฤกษ์แต่ต่างกรรมต่างวาระกัน


ฉะนั้นในวันนี้ จึงเป็นวันดีแห่งสมมติบัญญัติในโลกมนุษย์ เป็นวันสมมติแห่งความสำคัญในพระพุทธศาสนาที่ท่านทั้งหลายได้มาประชุมพร้อมกัน เป็นวันที่ท่านทั้งหลายตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ได้มาทำในสิ่งที่ดี สร้างกุศลทั้งด้านรูปธรรม นามธรรม

ทีนี้ปัญหาต่อไปในหลักแห่งธรรม บุรุษที่เป็นนักปราชญ์ได้ชี้ให้มนุษย์ทั้งหลายยึดมั่นถือมั่นคือ หลักแห่งอริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคนี้ เป็นคำพูดง่ายแต่ทำยาก เพราะอะไรเล่าเรียกว่าทำยาก


อะไรเรียกว่าทุกข์ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมีแต่ความทุกข์ การกินเป็นทุกข์ การถ่ายเป็นทุกข์ การเกิดเป็นทุกข์ การเจ็บเป็นทุกข์ การตายเป็นทุกข์ แต่ว่ามนุษย์ทั้งหลายมีกรรมวิบากแห่งการเกิดเป็นมนุษย์ แล้วไม่ยอมแลหลักแห่งสัจจะนี้ จึงพยายามโกหกว่าตนไม่ทุกข์

สร้างสิ่งโกหกให้ตนยึดมั่นว่าตนไม่ทุกข์
สร้างสิ่งโกหกให้ตนยึดมั่นว่าตนไม่แก่
สร้างสิ่งโกหกให้ตนยึดมั่นว่าตนไม่เจ็บ


เพื่อเป็นการหลอกลวงสังขารและหลอกลวงสัจจะ มีอยู่ทุกรูปทุกนาม ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาที่มนุษย์ในยามวิปริต คือ กาลนี้เป็นกาลแห่งกลางกลียุค กาลแห่งโลกที่ปั่นป่วนด้วยวิปริต จิตใจมนุษย์ในยุคนี้จึงปั่นป่วนวิปริตไปด้วย ต่างฝ่ายต่างมีการจองล้างจองผลาญในการที่จะยึดตนถือตน ไม่ยอมพิจารณาหลักแห่งสัจจะอันแท้จริง จึงทำให้เดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้าในโลกมนุษย์


ทีนี้ปัญหาเหล่านี้ ถ้าเราทั้งหลายที่ใคร่ธรรม ที่ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ที่มาร่วมพิธีการนี้ เรียกว่า ตนมีสติ ในภาวะทั้งหลายเป็นคนที่ตั้งตนอยู่ในความมีสติแลตนอยู่เสมอ เป็นการไม่ประมาทนั้น เราก็มีทางที่จะทำอย่างไรที่จะกระตุ้นเตือนมนุษย์ที่กำลังอยู่ในอวิชชาที่กำลังตกอยู่ในอบายภูมิ ที่กำลังหลงระเริงอยู่ในกิเลสตัณหา ว่าจะให้เขาหยุดอย่างไร

ครั้นอาตมาพิจารณาหลักแห่งอริยสัจสี่ หลักแห่งความจริงของบุรุษแห่งนักปราชญ์แห่งสัมมาสัมพุทธะที่ได้ทิ้งเอาไว้เมื่อสองพันกว่าปี ปัญหาที่จะคลายทุกข์ก็คือ ให้รู้ทุกข์และตามทันทุกข์ เมื่อทุกคนทุกรูปนามรู้ทุกข์ ตามทันทุกข์ แล้วมนุษย์ทุกรูปทุกนามก็จะดี และดำรงตนอยู่ในความไม่ประมาทแห่งการดำรงตน พยายามแลตน

ทีนี้ปัญหาเมื่อเราทุกคนต่างทุกข์ เราจะถ่ายทุกข์ด้วยการตามทันทุกข์ ด้วยการรู้สมุฏฐานของทุกข์ ภาวะแห่งการรู้สมุฏฐานแห่งทุกข์แล้วไซร้ ต้องพิจารณาหลักแห่งสมุฏฐานของทุกข์นั้นๆ จึงสามารถพ้นทุกข์


หลักแห่งการที่จะค้นในสมุฏฐานให้พ้นทุกข์นั้น ตนต้องพิจารณาก่อนทำทุกสิ่งทุกอย่างในหลักแห่งปฏิจจสมุปบาท หลักแห่งอริยมรรค ๘ แห่งการที่จะตั้งตนอยู่ในสัมมาอาชีวะชอบ การงานชอบ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ ขณะนี้นักปราชญ์คัมภีร์เปล่าในโลกมนุษย์มีมาก แต่นักปราชญ์ที่ปฏิบัติตามคัมภีร์น้อย

เพราะอะไรอาตมาจึงกล่าวเช่นนี้ มหาทั้งหลายก็ดี พระที่ได้สมณศักดิ์ก็ดี บวชๆ สึกๆ เพราะอะไรเล่า เพราะเอาแต่ท่องคัมภีร์เปล่ามากเกินไป ท่องจนกระทั่งพระธรรมขันธ์แปดหมื่นสี่พันจนสมองแทบจะระเบิด แต่ไม่ได้อะไรเลย


คือ ไม่รู้จักตัวทุกข์ เมื่อเขาไม่รู้จักตัวทุกข์ ความเป็นอยู่ก็ย่อมเป็นทุกข์ ผ้าเหลืองก็ร้อน ผ้าเหลืองร้อนก็ต้องสึกออกไป เขาเรียกว่า ไม่มีการพิจารณา ไม่มีสติปัฏฐานตัดเรื่องตนว่า ตนเป็นอยู่ในผ้ากาสาวพัสตร์แห่งการเป็นสาวกพระพุทธเจ้า คนต้องกราบไหว้เรา แต่เราสึกออกไปแล้ว เราต้องไปกราบไหว้เขา ดังนี้เป็นต้น

เพราะเขาไม่มีสติแห่งการตามทันทุกข์และไม่สามารถดับทุกข์เอง จึงทำให้เรื่องในการเป็นพุทธสาวกต้องสิ้นสุดลง ทีนี้ปัญหาแห่งการที่เมื่อเรารู้สมุฏฐานแห่งความทุกข์แล้ว จะทำอย่างไรจึงให้มันรู้ถึงมรรค คือทางแห่งการพ้นทุกข์และสำเร็จแห่งการพ้นทุกข์นั้นได้ วิธีการนี้เป็นวิธีการที่มนุษย์ทั้งหลายเรียกว่า

หนึ่ง ต้องตั้งตนอยู่ในการสันโดษแห่งการครองชีพแห่งการเป็นมนุษย์


สอง ต้องตั้งตนอยู่ในภูมิประเทศแห่งความวิเวก คือ ไกลอายตนะทั้ง กาย ตา หู จมูก ลิ้น ที่จะเข้ามาเป็นอาหารเข้าสู่ทางใจ


ตา หู จมูก ลิ้น เราแลเห็น แต่ใจนั้นเราไม่เห็น เพราะใจเรานั้นเป็นเรื่องของนามธรรม มีที่อยู่กายในกายจากกายเนื้อ ปัญหาเหล่านี้ ถ้าพูดเป็นภาษาชาวบ้านเป็นปัญหาเส้นผมบังภูเขา เป็นปัญหาผงเข้าตาตนเอง แล้วตนจึงไม่สามารถแลตนได้


สิ่งเหล่านี้มนุษยโลกทั้งหลายในภาวะกลางกลียุคในความวิปริตเช่นนี้ ท่านทั้งหลายจงรักษาตัวรอดโดยการอยู่สันโดษ โดยการอยู่ในภูมิประเทศที่สงัดด้วยการภาวนาให้เกิดสมาธิ จึงเป็นผลแห่งการพบหลักแห่งมรรคผลนิพพาน

ทุกวันนี้หลักแห่งอริยสัจ ๔ ง่ายๆ แต่อรรถกถาจารย์ทั้งหลายในปัจจุบันไม่ยอมสอนในหลักแห่งอริยสัจ ๔ ง่ายๆ แต่ไปสอนเอามรรคผลนิพพาน ก็เป็นการที่เรียกว่า ขณะนี้มีแต่นักนิพพานเต็มบ้านเต็มเมืองแต่ไม่ถึงนิพพานทุกองค์ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งน่าสังเวช ที่ในขณะนี้พุทธสาวกก็ดี สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งยุคนี้ สาวกของศาสนาใดๆ ก็ดี ไม่หันหน้าพิจารณาในหลักความจริงของตน

เพราะภาวะวิบากเช่นนี้ จึงทำให้อาตมาคิดว่า เราควรอยู่อย่างสงบ ด้วยการสร้างอาณาจักรพระโพธิสัตว์ขึ้นมาใหม่ ทุกคนอยู่กันอย่างสันโดษ ทุกคนอยู่อย่างเตรียมพร้อมที่จะตาย กระทำตนตายก่อนตาย


ถ้าทุกคนสามารถขจัดอารมณ์แห่งการกลัวให้ตายก่อนตาย เพื่อการเตรียมเดินทางไปสู่โลกวิญญาณ ความหวาดกลัวความสะดุ้ง ความเพ้อเจ้อ การสร้างวิมานย่อมหายจากจิตของท่าน เมื่อทุกคนหายจากความเพ้อเจ้อ สร้างวิมานของการยึดตน การหลงตน ใจแต่ละคนก็มีแต่วิมุตติแห่งความปลื้มปีติ คืออยู่กันอย่างไม่ประมาทนั่นเอง

ทุกวันนี้ชาวมนุษยโลกทั้งหลายอยู่กันอย่างตั้งตนอยู่ในความประมาท หาแต่กอบโกยในสิ่งที่เป็นวัตถุสมมติ ไม่ยอมฝึกตนในการละทิ้งทิฐิมานะในการที่จะให้พร้อมที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

มนุษย์ไม่ยอมอยู่อย่างมีหลักว่า

ความสุขของเพื่อนมนุษย์ ก็คือความสุขตัวเอง
ความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์ ก็คือความทุกข์ของตัวเราเอง
กุศลจิตอันนี้ไม่อยู่ในจิตของมนุษย์
มนุษย์ปัจจุบันเต็มไปด้วยกิเลสแห่งโมหะที่ยึดตน
เต็มไปด้วยกิเลสแห่งการหลงตน
เต็มไปด้วยกิเลสที่จะเอาแต่ตนรอด แล้วท่านคิดว่าตนจะรอดหรือ


สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่อาตมภาพไม่อยากที่จะแสดงธรรมมากเกินไป เพราะการแสดงปรมัตถธรรม เป็นสิ่งแทงหัวใจมนุษย์ปัจจุบัน จึงใคร่ที่จะขอยุติการแสดงธรรม และขออนุโมทนาสาธุชนสานุศิษย์ทั้งหลายที่มาประกอบพิธีนี้ก็ดี ไม่ได้มาประกอบพิธีนี้ก็ดี จงเจริญด้วยจตุรพิธพรทั้งสี่คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ เถิด

เจริญพร


(เทศน์เมื่อวันวิสาขบูชา วันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๘)

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๔๙

การเป็นผู้นำที่ดี



ในการทำงานทุกอย่างต้องเข้าใจว่า “มนุษย์”

มนุษย์ปุถุชนย่อมมีอารมณ์ ภาวะแห่งมนุษย์ปุถุชนที่มีอารมณ์ทั้งหลาย ย่อมที่จะไม่ต้องการให้คนอื่นดีกว่าตนหนึ่ง ย่อมมีจิตแห่งความอิจฉาริษยาหนึ่ง หลักอันนี้เราจำเป็นที่จะต้องใช้ขันติธรรม และก็แลในสิ่งที่เขามาพูดมาว่า


ทุกอย่างต้องเข้าสู่ในหลักของคำว่า ต้องเอาสัจจะ ธรรมะ ความจริง เหตุผล เข้ามาพิจารณาในสิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายเข้ามาพัวพันกับเรา คือในภาวะของสังคมปัจจุบันหรือสังคมโลกมนุษย์ในทุกวันนี้ เป็นภาวะแห่งกลางกลียุค เป็นภาวะแห่งการชิงดีชิงเด่น เป็นภาวะแห่งการเห็นแก่ตัว

เพราะฉะนั้นในภาวะเช่นนี้ เราเป็นผู้นำในกลียุค จำเป็นที่จะต้องสร้างและต้องใช้ความสุขุมคัมภีรภาพในการวินิจฉัยเหตุการณ์ เพราะอยู่ในภาวะที่แวดล้อมไม่ดี และอาตมาจะให้พรว่า จงมีชัยชนะต่อศัตรู และในการทำงานเพื่อความเจริญของประเทศชาติก็ให้ชนะหมู่มารที่มาแวดล้อม นี่คือพรอันประเสริฐที่ให้ไว้



(วันเสาร์ที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๒๐)


Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๕๐

อุเบกขาบารมี



ทีนี้ ถ้าจะมาเทศน์ในลักษณะการถึงธรรมะ ธรรมะข้อไหนที่สำคัญที่สุด ถ้ามนุษย์ทั่วไป ก็ธรรมะข้อ “เมตตา” แต่ถ้ามาพูดแบบการถึงธรรมกันจริงๆ แล้ว อาตมาก็คิดว่าธรรมะข้อ “อุเบกขา” ธรรมข้อ “อุเบกขา” สำคัญอย่างไร สำคัญเพราะหมายถึง ปลงตกโดยยอมรับสภาพความจริงตามกฎธรรมชาติ กฎแห่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

แล้วต้อง “อุเบกขา” ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เราต้อง “อุเบกขา” ต่อสิ่งที่กำลังจะเสื่อมลง เราต้อง “อุเบกขา” ต่อสิ่งที่สลาย เราต้อง “อุเบกขา” ต่อการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราต้อง “อุเบกขา” ต่ออายตนะที่เข้ามาทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ เราต้อง “อุเบกขา” ต่อสิ่งที่เข้ามากระทบ

เราต้อง “อุเบกขา” ต่อวันเวลาที่ผ่านไป เราต้อง “อุเบกขา” ต่อความตายที่ตามเราเข้ามาทุกขณะ เราต้อง “อุเบกขา” ที่ตายแล้วไปใช้กรรมที่ไหน แล้วเราต้อง
อุเบกขา” พร้อมที่จะไปอยู่นรกหรืออยู่สวรรค์

ถ้าเราเข้าถึงธรรมะข้ออุเบกขาอย่างถ่องแท้ได้แล้ว เราก็มีความสุข มีความสุขโดยไม่ต้องมีความเสียดาย ไม่มีความเสียใจ ไม่มีความพอใจ ไม่มีความไม่พอใจ ไม่มีความชอบ ไม่มีความเกลียดชัง ไม่มีความว่าจะต้องทำ และไม่มีความว่าไม่ต้องทำ นั่นคืออารมณ์แห่งความอุเบกขาที่แท้จริง

แต่ถ้าเราเข้าไม่ถึงด้วยอุเบกขาแล้ว เราก็ย่อมปล่อยให้อารมณ์อ่อนไหวไปตามการมาของอายตนะ เราย่อมปล่อยให้อารมณ์เป็นไปตามการเข้าออกของโทสะ โลภะ โมหะ ความพอใจ ความไม่พอใจ

ท่านจะเห็นว่า ถ้าอารมณ์อุเบกขาและเด็ดเดี่ยวแล้ว ก็มีตัวอย่างให้ท่านดู คือ ท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ คำสั่งท่านสั่งออกไปแล้ว แม้แต่เทวดาที่ท่านขี่จะกอดขาอ้อนวอนว่า สงสารเด็กเขาเถิด ท่านยังเฉย อันนี้คือลักษณะของผู้นำพรหมโลก อย่างอาตมาไปนำไม่ได้


พรหมโลกทั้ง ๑๖ ชั้น มีรูปพรหมเป็นโกฏิๆ มนุษย์ทั้งโลกรวมกันยังไม่เท่ากับพรหมโลก ๑ ชั้น ทำไมจึงมีมากเช่นนั้น ท่านอาจจะสงสัย ก็อายุของเทวดามันมีมาก อายุของพรหมมีมาก เขาอยู่แล้วก็ไม่ใช่อยู่แค่ร้อยปีร้อยวัน เขาอยู่กันเป็นพันๆ ปี

พรหมบางองค์นี้ โลกสลายเกิดกัปกัลป์ใหม่ เกิดพระพุทธเจ้าใหม่เกิดอะไรใหม่ เขาก็ยังเป็นพรหมอยู่นั่น ท่านจะสังเกตเห็นว่า อย่างพวกวิญญาณไม่ดีหรือพวกสัมภเวสี พวกอมนุษย์ พวกโอปปาติกะชั้นต่ำ เวลาท่านเกิดพบอะไรมารังแกท่าน ท่านมาระลึกถึงอาตมา เขาไม่กลัวเขาไม่หนีหรอก แต่ถ้าท่านระลึกถึงท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ เขาจะกลัวเขาจะหนี เพราะบารมีคนเราบำเพ็ญมาต่างกัน

ถ้าไม่มีอะไร ก็คิดว่าธรรมะที่ให้ท่านก็เพียงพอที่จะเป็นหลักการพิจารณาในการดำเนินงานของท่านต่อไปแล้ว ถ้าท่านจะพิทักษ์เอกราชของประเทศ ท่านไม่ต้องถอย แต่ต้องตั้งหลักของท่านสู้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้บัดนี้เวลานี้เป็นต้นไป มิฉะนั้นแล้ว
การที่ชาวไทยพูดว่ารักชาติ และทำงานเช้าชามเย็นชามแบบทุกวันนี้ ก็จะมีแต่ความล้มเหลวและความตายเท่านั้น

(วันเสาร์ที่ ๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๑)

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๕๑

การทำงานย่อมมีอุปสรรค



การทำงานทุกอย่างต้องมีความแน่วแน่ มีความจดจ่อ “งานสำคัญงานทุกอย่างย่อมมีอุปสรรคทั้งนั้น” ไม่ว่างานอะไรและงานที่ราบรื่นไม่มีหรอก แม้แต่สมัยพุทธกาล ถ้าท่านศึกษาประวัติจริงๆ ให้ดี จะเห็นได้ว่าตอนที่พระพุทธเจ้าประกาศศาสนาที่ไหน คนก็นับถือกันเลยหรือ พระองค์ต้องต่อสู้ด้วยขันติบารมี ต้องใช้ความสุขุม งานทุกอย่างต้องดำเนินตามแผนที่สอนให้ถึงวิมุตติธรรมได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าได้รับความเชื่อมั่นหมดทั้งชมพูทวีป

เพราะฉะนั้น คนที่จะพิจารณาก็ควรพิจารณาให้รอบคอบ ทุกอย่างเป็นสัจจะของโลก สัจจะของกฎแห่งกรรมที่วิบากกันมาเป็นกัปๆ กัลป์ๆ ซึ่งเป็นกฎของสังสารวัฏ งานทุกอย่างในโลกนี้จะต้องมีทั้งคนสนับสนุนและไม่สนับสนุน เขาเรียกว่า โลกียะกับโลกุตระเดินคู่กัน งานทุกอย่างจะราบรื่นโดยไม่มีอุปสรรคก็ไม่ใช่งานใหญ่และไม่ใช่งานสำคัญ

ทีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่ขัดกับกระแสแห่งโลกปัจจุบัน เช่น การตั้งอุดมการณ์ ๑๐ ประการของสำนัก เพื่อต้องการให้มีความเสมอภาคของฐานันดรภาพทางศาสนาโดยไม่แบ่งแยกกัน ซึ่งเป็นการขัดกับทิฐิของมนุษย์ปัจจุบันที่ยึดนิกายของศาสนากัน เช่น ยึดโปรเตสแตนต์ คริสตัง คริสเตียน และโซโลมอน เป็นต้น


พวกที่มีกิเลสมีทิฐิก็หาว่าเรานี่เป็นคนที่ภาษาชาวบ้านเขาว่า “ไม่มองกะลาหัวตัวเอง” คิดแต่ว่าทำงานใหญ่ ความคิดเช่นนี้เป็นนานาจิตตัง ผู้ที่จะทำงานต้องมีความจดจ่อและจะต้องใช้สมองกับงานนั้น เมื่อเราตัดสินใจที่จะร่วมเรือลำเดียวกันแล้ว

ปัญหาหนึ่งก็คือว่า ท่านต้องถามตนเองว่า ชีวิตท่านเกิดมาชาติหนึ่ง ท่านต้องการอยู่เพื่อความสุขของตนเอง หรือว่าอยู่เพื่อความสุขของคนอื่น นี่เป็นสิ่งที่ท่านจะต้องตัดสินใจ เมื่อท่านอยู่เพื่อความสุขของคนอื่น ท่านก็จะต้องตัด เพื่อหาความสันโดษ


ธรรมชาติสร้างให้วันหนึ่งมี  ๒๔ ชั่วโมง เขากำหนดให้นอน ๘ ชั่วโมง พักผ่อน ๘ ชั่วโมง ทำงาน ๘ ชั่วโมง วันหนึ่งท่านมีเวลาทำงาน ๘ ชั่วโมง ท่านจะเอางาน ๑๐ กว่าเรื่องหรือ ๒๐ กว่าเรื่องที่อยู่ในมือท่านมาทำย่อมไม่ได้ เพราะสมองมันไม่ไป เพราะฉะนั้นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เราควรจะตัด เมื่อเราคิดจะมาทำงานเพื่อคนอื่น อันนี้ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องใช้สมอง

ทีนี้ งานที่เรียกว่า การสร้างบารมีนี่ จะต้องทำงานที่ยากที่สุดไปหางานที่ง่ายที่สุดไม่ท้อถอย และไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น จุดสำคัญของงานส่วนรวมก็คือ ถ้าท่านทำด้วยความบริสุทธิ์ด้วยความเมตตา และด้วยความสัจจะแล้ว ทุกอย่างก็จะไปถึงจุดหมาย ไม่ถึง ๑๐๐% ก็ได้ ๗๐% หรือ ๘๐%


และอันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่ตัวท่านก็ย่อมมีน้อย เพราะว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ดี ความยุติธรรมก็ดี เทวดาก็ดี จะคุ้มครองท่าน นอกเสียจากว่ากรรมของท่านหนักเท่านั้น ความจริงมีอยู่ว่า คนกลัวตายมักจะตาย คนไม่กลัวตายมักจะไม่ตาย พวกชิลีมักจะพูดว่า “ใจเราคิดอย่างหนึ่งแต่พระเจ้าให้สำเร็จอีกอย่างหนึ่ง”

ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งธรรมดาของสังสารวัฏ เป็นสิ่งธรรมดาของกฎแห่งกรรม จุดสำคัญ ล้มแล้วอย่าถอย เมื่อล้มแล้ว เราต้องวินิจฉัยความล้มเหลวนั้น แล้วเอาประสบการณ์เหล่านั้นมาแก้ไข เพื่อไปสู่จุดแห่งความสำเร็จ

การเป็นมนุษย์จะบรรลุความสำเร็จได้ด้วยสัจจบารมี ฉะนั้นอุปสรรคของการทำงานเพื่อศาสนาในโลกมนุษย์ ในขณะนี้อาตมาดูแล้วมันเป็นเพียงเศษละอองเท่านั้น วิธีการบำเพ็ญของอาตมาสมัยมีชีวิตอยู่ มันก็ลำบากกว่านี้มากนัก


คือ การเดินทางมาจากสงขลาไปอโยธยาต้องนั่งเรือใบ แล้วก็อาจจะไปล่มเสียกลางทาง หรือไปอย่างกินเวลาเป็นเดือนๆ ชีวิตฝากอยู่กลางทะเล เมื่อหลังจากอาตมาปลงตกในการที่จะเอาความสำเร็จในด้านนามธรรม อาตมาจะเอาความดีในปรภพ
ถ้าอาตมายังขืนบ้ายศเป็นสังฆราชอยู่ ก็คิดว่าจะไม่มีทางหลุดพ้น

เพราะว่า สังฆราชจะต้องพัวพันกับโลก พัวพันกับการเมือง พัวพันกับเศรษฐกิจ เมื่อหนีไปอยู่น้ำตกทรายขาวในยุคนั้นไม่ใช่เหมือนเวลานี้ ชุกชุมด้วยยุง ชุกชุมด้วยงู ชุมชุมด้วยช้าง ชุกชุมด้วยสิง อาหารการกินก็ไม่มี ไปทรมาน เพื่อค้นพบสัจจะของอะไรบ้าง ตามที่อาตมาศึกษามาเป็นปีๆ อาตมาลำบากขนาดไหน

หลังจากนั้นก็เที่ยวไปตามป่าศึกษาไปเรื่อยๆ ไปเจอสิ่งต่างๆ ไปต่อสู้อยู่ในป่าคนเดียว เดินหลงทางบ้าง มาอยู่ที่คาบสมุทรที่เกาะแก้วพิสดารที่ภูเก็ต สมัยนั้นเขาเรียกว่าหนองภูเก็ต มีพวกชาวเลมันอยู่กันไม่กี่ครอบครัว ล้อมรอบด้วยโจรสลัดบ้าง การอยู่ทะเลคนเดียวสิ่งที่ได้มาคือ

ทำให้จิตใจท่านแข็งแกร่ง
ทำให้จิตใจท่านหลุดพ้น
ทำให้จิตท่านสงบ
ทำให้จิตมีสติพร้อม


ท่านจะต้องอยู่ในที่วิเวก อันตราย ขัดสน และเต็มไปด้วยไข้ชุกชุมนั่นแหละ จิตจึงจะไปสู่วิมุตติได้ แต่ถ้าท่านอยู่ในที่สบายไม่มีทางที่จิตจะหลุดพ้นได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องเข้าป่าวิเวกทำไม

เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ จึงมีแต่ชาวพุทธแต่เปลือกเท่านั้น สำเร็จนิพพานสำเร็จอรหันต์กันอยู่แต่ในวัดกรุงเทพฯ เท่านั้น ดูหนังดูละคร พระเต้นรำกัน พวกอรหันต์หันกันใหญ่ อันนี้เป็นเรื่องที่น่าคิด เพราะฉะนั้นอาตมาจึงบอกว่า “พุทธสาวกที่แท้จริงในยุคนี้หายาก” ทีนี้เราต้องคิดว่า

เราจะต้องใช้วิธีแบบไหน
แล้วเราจะต้องตัดสินใจ มีสัจจะแน่วแน่
แล้วก็จะได้รับความสำเร็จ
แม้ว่าจะไม่เต็ม ๑๐๐% ก็ตาม
คงจะได้ประมาณ ๘๐% ตามภาวะกรรม

เจริญพร


(เทศน์เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๖)

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๕๒

สันติเจดีย์



เราจะต้องพูดว่า สิ่งทั้งหลายของมนุษย์กายเนื้อสลายตามภาวะจิตวิญญาณ ทิพยวิญญาณไปสู่การเสวยกรรมในโลกวิญญาณ เพราะว่าโลกวิญญาณก็ได้แบ่งเป็นนรกสวรรค์ เมื่อครั้งที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิทธัตถะได้ปรินิพพานที่กรุงกุสินารา จึงเป็นปัญหาในเรื่องการแบ่งพระธาตุไม่สำเร็จกัน

ก็มีพราหมณ์เฒ่าหรือโทณพราหมณ์ได้มาเป็นผู้ตักตวงพระบรมสารีริกธาตุขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า โทณพราหมณ์ก็มีตัวโลภะเข้าครอบในระหว่างตักตวงพระบรมสารีริกธาตุนั้น ก็ได้แลเห็นพระเขี้ยวแก้วอันหนึ่งก็เอามาใส่ที่ม้วนผม ระหว่างใส่ไว้ที่ม้วนผมนั้นแหล่ อันนี้ขอให้ฟังเป็นนิยาย

องค์อมรินทร์จอมเทพก็เห็นว่า โทณพราหมณ์นั้นเล่นไม่ซื่อ ก็จึงได้หยิบเขี้ยวแก้วนั้นขึ้นสู่สวรรค์ ผลแห่งการขึ้นสู่สวรรค์ ก็จำเป็นที่จะต้องมีที่บรรจุในสิ่งที่สมควรกับบรมสารีริกธาตุนั้น จึงได้ให้วิษณุเทพออกแบบแปลนที่เรียกว่า “นิพพานเจดีย์” หรือว่าที่มนุษย์ใช้ชื่อว่า “จุฬามณี”

ทีนี้ในภาวะแห่งกลางกลียุคเช่นนี้ ที่จะช่วยดุลกรรมของโลกมนุษย์อย่างไร ก็ได้พิจารณาซึ่งท่านจะเห็นว่า เจดีย์อย่างสันติเจดีย์ไม่เหมือนชาวบ้าน ได้จำลองจากนิพพานเจดีย์หรือจุฬามณีเจดีย์นั้น แต่ว่าเป็นการดัดแปลงในบางส่วนเพื่อให้สมกับภูมิประเทศ ให้สมกับในการดุลกรรมและในการเสริมบัลลังก์จักรีวงศ์ ที่ท่านโตต้องทำนักทำหนา


เพราะฉะนั้นจึงได้ดำเนินการเรียกว่า ให้เกิดกลางนิมิตกับลูกศิษย์ที่นี่ แล้วก็ได้ทำออกมาดังที่ท่านทั้งหลายได้แลเห็นที่อยู่ในยอดเขาเสือหมอบ และเป็นเจดีย์ที่ถ้าพูดแบบภาษาชาวบ้านก็ในโลกมนุษย์ก็มีอยู่องค์เดียว และเป็นเจดีย์ที่มีพระบรมสารีริกธาตุมากที่สุด และต่อไปเจดีย์นี้เป็นประวัติศาสตร์ของโลกมนุษย์ในอนาคต

เพราะฉะนั้นมันเป็นงานที่เราทำเพื่ออนาคต เพื่อความสันติสุข เพื่อความอยู่รอดของชนเผ่าไทย มันก็จำเป็นที่จะต้องมีความอดทนและทนอด เพื่อที่จะรักษาปูชนียสถานเหล่านี้ให้อยู่นานเท่าที่จะรักษาได้ เพราะฉะนั้น นี่ก็แถลงไขตามคำถามที่ถามมาให้พอทราบ

พต.ต.พิบูลย์ – ตามพุทธประวัติก็ดี หรือตามที่หลวงพ่อสมเด็จได้ทรงมีพระโอวาทไว้ว่า พระพุทธศาสนาจะอยู่ได้ถึงห้าพันปี และสันติเจดีย์นี้ก็มีพระบรมสารีริกธาตุมากที่สุดในโลกแล้วนั้น ก็เป็นที่เข้าใจในบรมสานุศิษย์ว่า จะช่วยกันรักษาให้สันติเจดีย์นี้อยู่นานจนกระทั่งถึงปีที่ห้าพัน เพื่อจะรอวันที่จะมีพิธีสิ้นสุดของพระพุทธศาสนา ความเข้าใจอันนี้ของสานุศิษย์จะถูกต้องประการใดหรือไม่ ขอประทานพระโอวาทครับ

หลวงปู่ทวด –
ก็คงมีส่วนในเรื่องนี้ เพราะว่าปณิธานขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งได้อธิษฐานไว้ หมายถึง พระพุทธศาสนาถึงห้าพันปีนี่ พระองค์จะรวมองค์บรมสารีริกธาตุที่ทั่วพิภพมนุษย์ให้รวมกัน แล้วก็เปล่งเป็นประกายเนื้อแสดงพระธรรมเทศนาในครั้งสุดท้าย แล้วก็จะเผาสิ้นสลายของบรมสารีริกธาตุไม่ให้เหลืออยู่ในโลกมนุษย์

เพราะฉะนั้น มันเป็นเรื่องที่เราต้องกำลังทำงานสิ่งที่มนุษย์ไม่เข้าใจ ทำงานสิ่งที่มนุษย์ไม่มีธรรมะคิดว่าเป็นเรื่องของความเพ้อฝัน เป็นเรื่องไร้สาระ เพราะฉะนั้นก็ฝากให้สานุศิษย์ทั้งหลายที่รวมกันทำงานว่า เราจำเป็นที่จะต้องมีขันติ และก็จำเป็นที่จะต้องมีสติพร้อม คืออย่าให้โทสะ อย่าให้อารมณ์เข้ามาควบคุมสติ อย่าให้เรื่องส่วนตัว อย่าให้เรื่องเหตุผลมาอยู่เหนือความจริง


ทุกวันนี้ที่โลกเกิดความวุ่นวายนั้น เกิดจากมนุษย์ปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำอยู่เหนือสติ ไม่ให้สติอยู่เหนืออารมณ์ จึงเกิดความอลเวง เกิดความทุกข์ยากทุกหย่อมหญ้า จึงเกิดความชิงดีชิงเด่น โดยมนุษย์ไม่พยายามพิจารณาถึงความตายเป็นสรณะว่า ทุกๆ ชีวิตที่เกิดมาโลกมนุษย์ ถ้านับตามภาษาของโลกวิญญาณแค่ร้อยวัน เหลือแต่ความดีและความชั่วให้คนรุ่นหลังเกิดมาพิจารณาสรรเสริญหรือพิจารณานินทาเท่านั้น

แต่ว่าความยั่วยุทางวัตถุก็ดี ความยั่วยุทางอารมณ์ที่เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ก็ดี สิ่งเหล่านี้เกิดจากมนุษย์ปล่อยตามอารมณ์ มนุษย์ไม่ควบคุมอารมณ์ ให้อารมณ์ของตนนั้นอยู่นิ่ง ไม่ดำเนินการตามที่ศาสนาพุทธองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้คือ ศีล สมาธิ ปัญญา


ถ้ามนุษย์ทุกคนหันมาสนใจ มีหลักแห่งศีล สมาธิ ปัญญา ใช้หลักแห่งศีล สมาธิ ปัญญา เป็นการดำเนินในชีวิตประจำวันแล้ว สันติสุขของมนุษย์นั้นจะเกิดขึ้นได้ แต่ว่ามันเป็นเรื่องน่าอนาถของกลางกลียุคที่มนุษย์ท่องแต่ศีล สมาธิ ปัญญา เพียงผิวเผิน ไม่ได้ท่องเข้าไปในจิตใจ ไม่ได้แนบแน่นเข้าไปในจิตวิญญาณ มันจึงเกิดความอลเวงทุกหย่อมหญ้า

เพราะฉะนั้นปัญหาเหล่านี้แหล่ จึงเป็นปัญหาที่ท่านทั้งหลายได้มาร่วมกันเป็นฝ่ายธรรมะ ที่จะต้องช่วยกันพิจารณา ช่วยกันแก้ไข เพื่อที่จะให้โลกมนุษย์เกิดสันติกว่าปัจจุบัน อันนี้ก็ฝากเอาไว้ให้พิจารณา



(วันเสาร์ที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๒๐)

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๕๓

การอุทิศตนเพื่อสันติภาพ



วันขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๙ มันมีความหมายสำหรับอาตมาสมัยอาตมายังมีสังขารอยู่ เป็นวันที่อาตมาสละตำแหน่งสังฆราชที่อโยธยา และมุ่งสู่ปักษ์ใต้ไปสู่น้ำตกทรายขาว ทีนี้ท่านลองพิจารณาชีวิตให้เข้าถึงถ่องแท้แห่งจิตวิญญาณ ให้เข้าถึงความสุขอันแท้จริงแล้ว มันอยู่ที่นามธรรม ไม่ใช่อยู่ที่รูปธรรม ไม่ใช่อยู่ที่วัตถุ ไม่ใช่อยู่ที่ยศถาบรรดาศักดิ์หรือไม่ใช่อยู่ที่อะไร

เพราะฉะนั้นพวกท่านจะต้องทำงานให้มาก สำหรับการวิ่งทุกอย่างให้เข้าเป้า มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับมนุษยโลก เพราะมนุษย์ตื่นเช้าบิดขี้เกียจ ต้องแปรงฟัน ต้องขี้ ต้องเยี่ยว ต้องกิน ต้องหวีผม ถ้าเป็นผู้หญิงต้องทาเล็บ ต้องแต่งหน้า กว่าจะออกจากบ้านหมดไปแล้วครึ่งวัน แต่เทพพรหมเขาไปด้วยจิตวิญญาณฉับพลันก็ถึงได้ อันนี้คิดว่าถ้าท่านจะให้งานเข้ารูปแล้วจะต้องเสียสละกันจริงจังมากขึ้นๆ

ทีนี้ถ้าพูดในลักษณะความหมายนั้น อาตมาก็บอกแล้วว่า ทุกอย่างอยู่ที่ท่านโตและเทวดา จะไม่สำเร็จนั้นไม่มี แต่จะสำเร็จกี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ถ้าท่านคิดว่าท่านทำงานกับพระเจ้า ต้องมีทีมงานที่ดี มนุษย์เอาจริงเดินจริง เทวดาเสริมก็สำเร็จ


ฉะนั้นท่านต้องเข้าใจว่า ท่านกำลังทำงานอะไร ไม่ใช่งานอดิเรก และนี่สิ่งที่อาตมาให้ก็หมายความว่า เป็นข้อคิดสำหรับท่าน เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เมื่อเราพัวพันกับมนุษย์ เมื่อเราอยู่ในโลกมนุษย์ เราย่อมที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยวคนเดียวไม่ได้ เราย่อมจะต้องมีความสัมพันธ์กับมนุษย์


เมื่อสัมพันธ์กับมนุษย์ เราจะทำอย่างไรให้มนุษย์เหล่านั้นเข้าถึงจิตวิญญาณ เราจะทำอย่างไรให้สมกับเป็นกลุ่มที่อยู่กับทูตของพระเจ้า ทูตสันติภาพแห่งโลกวิญญาณ คือปลุกระดมข่ายแห่งอันตรายของมนุษย์ให้เขาเข้าใจ

อาตมาอยากให้ท่านถือคติไว้ ๓ ข้อ คือ


หนึ่ง ทุกคนจะต้องถือว่างานนี้เป็นงานชีวิตจิตใจของตัว ไม่ใช่งานอดิเรก

สอง จะต้องแยกเรื่องงานส่วนตัวกับเรื่องส่วนรวมให้เด็ดขาด


สาม ให้พยายามถือหลักแนวขั้นตอนที่สั่งลงมาและเดินอย่างภาษาชาวบ้านง่ายๆ เดินอย่างหัวชนฝาแล้วมันก็ทะลุออกไปเอง


สำหรับสิ่งที่จะต้องระวัง คือ พยายามรักษากายใจให้ปลอดโปร่งเบิกบาน ให้จิตอยู่เหนืออารมณ์ อย่าให้อารมณ์อยู่เหนือจิต พยายามสวดมนต์ภาวนา มารมันใหญ่มาก เมื่องานมันใหญ่


ปัญหาที่สอง มันจะมีอารมณ์จุกจิกๆ แทรกเข้ามาทุกอย่าง เขาเรียกว่า นั่นคือมาในลักษณะมารวิญญาณ แล้วก็มันมีเรื่องของมนุษย์แทรกขึ้นมาอีก นั่นคือมารของมนุษย์ เพราะฉะนั้น เราจะต้องมีสติพร้อมให้สติอยู่เหนืออารมณ์ ให้พยายามถืออย่างนี้ เพราะว่างานมันยิ่งใกล้เข้ามา

ท่านทุกคนต้องประสาทแข็งพอ เพราะว่างานอย่างนี้ไม่มีใครเขากล้าคิด ไม่มีใครกล้าทำ แล้วก็เป็นเรื่องลำบากเป็นเรื่องที่เขาเรียกว่า ฝ่ามือหนึ่งจะอุดฟ้าทั้งฟ้าไม่ให้รั่วมันย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ว่านี่ก็ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งจิตบำเพ็ญการเป็นพระโพธิสัตว์


เพราะพระโพธิสัตว์นั้น เขาต้องมีอารมณ์ว่า พยายามที่จะโกยสัตวโลกให้พ้นทุกข์ ถ้าตราบใดสัตวโลกยังไม่พ้นทุกข์ ตราบนั้นตถาคตไม่เข้าพระนิพพาน นี่เป็นอารมณ์ของพระโพธิสัตว์ในการทำงานใหญ่ให้มนุษย์อยู่อย่างสันติสุข มันก็เป็นเรื่องที่น่าสรรเสริญ ถ้าท่านเอาเป็นงานหลักว่า งานนี้มาก่อนทุกอย่างมันก็จะเข้าเป้า สันติสุขของโลกก็เกิดขึ้นได้



Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๕๔

งานพลิกประวัติศาสตร์โลก



เจริญพร

วันนี้ทุกคนได้สละเวลากันมาแล้ว ทุกคนเป็นคนมีสมอง เมื่อฟังแนวการทำงานแล้วก็ต้องเข้าใจว่าขณะนี้เรากำลังจะทำอะไรในโลกมนุษย์ อาตมาก็มาระยะไม่กี่เดือนนี้ก็ได้มาพูดหรือให้โอวาทหลายเรื่อง เรื่องทางสามแพ่งก็ดี เรื่องนางแตก็ดี เรื่องพิฆเนศก็ดี เรื่องผู้เฒ่าก็ดี ต้องเข้าใจว่าเทพ พรหม เขามีญาณแห่งความหยั่งรู้และความจดจำแม่นยำ การพูดของผู้ที่สำเร็จจิตแล้วจะพูดไปร้อยปีพันปี เขาก็จะจำคำพูดเหล่านั้นได้

ซึ่งเรื่องเหล่านั้นก็เป็นเรื่องที่มายกอุทาหรณ์ให้ท่านพิจารณา แต่บัดนี้ก็รู้สึกว่า สถานการณ์การเสียสละของท่านทั้งหลายก็ยังไม่มีความก้าวหน้า เพราะฉะนั้นเวลานี้ก็คือ ท่านโตคิดว่าพวกท่านเป็นแบบพวกเทวดา คือพูดเสร็จกันแล้ว เทวดาเขาฟังแล้ว เขารู้หน้าที่ว่าเขาจะต้องทำอะไร จะต้องดำเนินการอย่างไร จะต้องทำอย่างไร แต่ท่านทั้งหลายฟังไปแล้วก็ยังไม่เข้าใจกัน ก็ขอให้พิจารณาและความเข้าใจเพื่อปฏิบัติงานต่อไป

แล้วก็สถานการณ์ชาวบ้านว่า งานอะไรก็แล้วแต่ ถ้าแม่ทัพเก่งเพียงคนเดียว งานนั้นก็คิดว่าจะไปไม่รอด งานที่นี่ที่ดำเนินมาตลอดเวลาก็เป็นงานที่เขาถือเป็นงานงมงาย ซึ่งมนุษย์ปุถุชนทำอะไรจะต้องมีเกียรติ จะต้องมีการตอบแทนจะต้องมีผลประโยชน์ทีหลัง แต่ทำงานที่นี่เกียรติก็อาจจะว่าไม่มี ผลตอบแทนก็อาจจะว่าไม่มี


แต่ถ้าท่านคิดว่าจะได้เกียรติ คิดอยากจะได้สิ่งที่ต้องการ ถ้าท่านร่วมกันจริงๆ ถ้าพลิกประวัติศาสตร์ของโลกได้แล้ว เกียรติอันนั้นจะมากกว่าที่ท่านเป็นข้าราชการก็ดี เป็นพ่อค้าคหบดีก็ดี เป็นนักวิชาการก็ดี จะเป็นทหารก็ดี ตำรวจก็ดี คือในระบบการทำงานมันต้องมีสมอง ถ้าเราจะเป็นผู้นำคน

การเป็นผู้นำคน ท่านจะต้อง

หนึ่ง มีจิตหนักแน่น


สอง ข่าวอะไรเข้ามาถึงหู ต้องฟังแล้วตรอง แล้วก็ต้องนิ่ง อะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด


แบบคนร่วมงานเขาจะหาเรื่องทะเลาะกัน ไอ้ที่เราฟังมาไม่ดี ถ้าไปพูดมันก็เป็นการยุส่งเสริมให้เกิดการทะเลาะกัน เกิดการแหนงใจกัน เพราะฉะนั้นเขาเรียกว่า ถ้าเป็นผู้นำนี่ มันมีหลัก ๓ ประการพร้อม คือ

ฟัง นิ่ง
ตรอง คิด
ตรอง พูด ไม่ใช่พูดพล่อยๆ


อีกอย่างหนึ่ง ต้องรู้จักค่าของเวลาด้วย กาลเวลาล่วงเลยไป โดยไม่มีการหวนกลับคืน

กาลเวลากินหมดทั้งความดีและความชั่ว
กาลเวลากินทั้งพระอาทิตย์และพระจันทร์


กาลเวลากินแม้กระทั่งตัวเราเอง พระอาทิตย์ถึงเวลาตกดิน ท่านจะเอาเงินล้านหรือวัตถุใดไปขอให้พระอาทิตย์อย่าเพิ่งตกก็ไม่ได้ พระจันทร์ถึงเวลาขึ้น ท่านจะไปใช้ให้อะไรยับยั้งก่อนไม่ให้ขึ้นก็ไม่ได้ เพราะธรรมชาติแห่งกาลเวลาของเขาเคลื่อนของเขาเช่นนั้น


และงานของท่านโตที่ทำอยู่เวลานี้ ก็เพียงแต่ชะลอความวิบากของโลกมนุษย์ให้ช้าลงเท่านั้น และต้องการทำงานในสิ่งที่ให้ประวัติศาสตร์ต้องจารึกสำนักปู่สวรรค์ และพวกมนุษย์ที่ทำงานศึกษาเป็นพันๆ ปี นั่นคือเป้าหมายที่ท่านโตต้องการ

เพราะฉะนั้น ท่านเป็นคนที่ชื่อว่าวิญญูชนกันแล้ว ระหว่างลงเรือ เมื่อลำบากก็ควรลำบากด้วย ไม่ใช่คนหนึ่งลำบากอีกคนหนึ่งไปนั่งสบายหรือแกล้งไม่รู้ไม่ชี้ แล้วงานนั้นสำเร็จ ฉันก็จะเอาผลพลอยได้ มันก็รู้สึกเป็นสิ่งที่ไม่มีความละอาย


เพราะฉะนั้น อาตมาจึงขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า เมื่อหลังจากวิสาขะแล้ว หรือว่าตามที่ท่านโตขอโอกาสอาตมาอีก ๖ เดือนแล้ว ความเสียสละจากท่านทั้งหลายที่เป็นวิญญูชน ในทัศนะที่อาตมาประมวลแล้วต้องมีความก้าวหน้ามากกว่านี้ แล้วงานจะได้สำเร็จด้วยดี

การทำงานนั้นไม่ใช่มาพูดก่อนทำ แต่พระโพธิสัตว์อย่างอาตมาต้องทำก่อนพูด จริงอยู่พระโพธิสัตว์จำเป็นที่จะต้องมีมหาเมตตาเป็นหลัก แต่มหาเมตตาที่เราปล่อยออกไปนั้น เราต้องดูลักษณะของมหาเมตตาขนาดไหน เมื่อมหาเมตตาที่เราออกไปนั้นต่อบุคคลเป็นเรื่องบุคคล แต่ต่อส่วนรวม...ถ้ามหาเมตตาที่ออกไปนั้นเป็นการชักเย่อกันเอง ถ่วงกันไปเอง ทำลายกันไปเอง สิ่งนี้ถือว่าสร้างมหาเมตตาโดยไม่ได้เมตตา มีแต่โทษ

หลักแห่งปัจจัย ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค การที่พวกท่านต้องมาที่นี่ ปัจจัยนี่คือ อาตมาเป็นตัวทุกข์ ตัวก่อให้ท่านต้องมาเป็นสมุฏฐาน เมื่อท่านทั้งหลายมาร่วมทุกข์ในสมุฏฐานนี้ กระแสจิตของแต่ละคน ถ้ายังละจริงก็มีตัวยึดและจะเป็นบ่อเกิดแห่งตัวทำลายเกิดขึ้น เกิดการวิบากขึ้นในมโนกรรม วจีกรรม กายกรรม สามกรรมพร้อมเป็นกรรมเกิดการแตกร้าวขึ้นในกลุ่ม ถ้าไม่มีตัวอาตมา ไม่มีสำนักปู่สวรรค์ ท่านก็ไม่ต้องมาพบกัน ไม่ต้องมีการรวมกลุ่มกัน

เพราะฉะนั้นหลักแห่งอริยสัจสี่ ก็คือ อาตมาเป็นผู้ก่อทุกข์ให้ท่าน สำหรับพวกที่มารับการบริหาร เราจะเอาไว้อีกประเด็นหนึ่งนั่นคือ กุศล ฉะนั้นจะต้องหาใครเป็นแม่งานจะได้เป็นตัวจักรที่ขจัดปัญหาเหล่านี้แทนอาตมาได้ เพราะอาตมาไม่มีเวลาอยู่กับท่านทั้งวันหรือทุกวัน ภาระที่อาตมารับผิดชอบมันมาก


แต่ว่าด้วยการที่เมื่อร่วมมือกับท่านโตก็นึกว่าพยายามเข็นท่านโตให้สำเร็จปณิธานอันนั้น และท่านจะหาว่าอาตมาไม่บอกก่อนไม่ได้ เรื่องทางสามแพร่ง อาตมาได้เทศน์ให้ฟังแล้ว นางกระแตอาตมาก็เทศน์ให้ฟังแล้ว ผู้เฒ่าอาตมาเทศน์ให้ฟังแล้ว เรื่องพระพิฆเนศก็เทศน์ให้ฟังแล้ว เรื่องให้ทุกข์แก่เขาทุกข์นั้นถึงตัวก็เทศน์ให้ฟังแล้ว เรื่องผัวเมียอะไรเยอะแยะที่เคยพูดเป็นหลัก

ง่ายๆ ที่จะต้องพิจารณาอย่างลึกซึ้ง และการออกคำสั่งการบังคับไม่มีในอารมณ์ของอาตมา เพราะอาตมาถือหลักว่า ทุกคนกรรมใครทำใครได้ กุศลใครทำใครได้ บาปใครทำใครได้ ทุกคนต้องรู้จักแลตนเอง รู้จักพิจารณาตนเอง รู้จักดำเนินการด้วยตนเอง เพราะทุกคนพ้นภาวะวิสัยแห่งการเป็นเด็กอมมือแล้ว ทุกคนก็เข้าสังคมมามากแล้ว ทุกคนฟังภาษาคนรู้เรื่อง ที่มาเทศน์มากล่าวก็เป็นภาษาคน ภาษาไทย ฟังกันเข้าใจ

คิดว่าโอวาทหรือคำที่ให้ท่านคิดคืนนี้ ท่านคงจะมีการพิจารณาและสัมมนากันจริงจัง งานที่ท่านทำคือ งานพลิกประวัติศาสตร์โลก ภาษาของท่านโต ท่านบอกว่าจะใช้ "สันติปฏิวัติ" เข้าซึ้งถึงนามธรรม เอาศาสนายุติสงคราม ในสิ่งแวดล้อมของกลียุคนี้ ท่านต้องคิด คือการทำอะไรนั้น อาตมาก็เทศน์มากแล้วว่า ไม่ก้าวมันไม่ผิด ก้าวมันมีแต่ผิดกับถูก แต่เราจะทำอย่างไรให้ผิดน้อยที่สุด

เพราะสิ่งหนึ่งที่อาตมายอมท่านโต คือท่านโตนี่นักเลง ท่านทำอะไรท่านไม่คิดถึงผลสะท้อนจะเสียหรือจะดี ท่านถือว่าถ้ามนุษย์ปากแข็ง ดีละท่านจะต้องลองดู เพราะท่านรู้แน่ว่าไอ้ที่พูดออกมาน่ะปากกับใจไม่ตรงกัน


เพราะฉะนั้นคนไหนไปพูดกับท่านโตให้ระวัง เพราะท่านเป็นนักเลง ไม่รู้จักเสียช่างมัน ภาษาชาวบ้านเขาว่ากล้าได้กล้าเสีย ทั้งๆ ที่รู้ว่าสั่งไปแล้วเสีย ก็เพราะมนุษย์ชอบอวดดีว่าเก่ง อันนี้ละจึงทำให้ท่านกู้สถานการณ์ประเทศสยาม ในขณะฝรั่งเศสมันยึดในเอเชียได้ก็ดี

อย่างหนึ่งคือ เป็นคนที่ชอบทดสอบคนตั้งแต่สมัยมีสังขารอยู่แล้ว ชอบพิสูจน์กับคน ทั้งๆ ที่ท่านรู้ว่า ไอ้นี่สั่งไปแล้วงานมันเสีย แต่ท่านชอบทำ เพื่อพิสูจน์กับคนอวดดีกับท่าน นี่คือสันดานของท่าน อนุสัยของท่านเป็นอย่างนี้ อาตมาไม่ถือ

อาตมาถือว่า ทุกสิ่งที่เรามายุ่งมันเรื่องของมนุษย์ ได้ก็มนุษย์ได้ เราไม่ได้อะไรกับเขา เสียก็มนุษย์เสีย เราก็ไม่ได้เสียอะไรกับเขา มันทัศนะต่างกัน แต่สถานการณ์ประเทศสยามในขณะนี้ มันต้องแบบท่านโต คือมีความฉับพลัน เด็ดเดี่ยว ว่องไว แก้ไขทันเหตุการณ์ได้ งานมันจึงจะบรรลุผลและพลาดน้อยที่สุด เข้าใจไหม ขอให้ทุกคนนำไปคิดกันอีกครั้ง

เจริญพร

(เทศน์เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๘)

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๕๕

โลกมนุษย์กำลังเข้าสู่ความสลาย



ชีวิตสัตวโลกเป็นอนิจจัง แล้วก็เป็นสิ่งที่แต่ละคนที่เกิดมาเป็นสัตว์ประเสริฐนี้ ถ้าจะนับเป็นกุศลก็เป็นกุศล นับเป็นอกุศลก็เป็นอกุศล เพราะอะไรเล่า เพราะว่ากุศล หมายถึง เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ที่เขาเรียกว่าสัตว์ประเสริฐนี้ มีหนทางฝึกในด้านบำเพ็ญฌาน เพื่ออยู่ในโลกแห่งความหลุดพ้นไปสู่โลกุตรฌานหรือว่าสำเร็จเป็นเทพพรหมเบื้องสูง

ที่เรียกว่าเป็นอกุศล คือ มนุษย์บางจำพวกที่เกิดมาแล้วไม่ใช้สมองให้เป็นประโยชน์ แล้วก็เหลิงในภาวะกรรมที่ตนครอบครอง หลงในเกียรติที่สมมติ หลงในยศถาบรรดาศักดิ์ที่โกหกกัน เมื่อมนุษย์ที่แบกสิ่งโกหกอยู่ในตัว นึกว่านั่นคือสิ่งเจริญและสิ่งสำคัญ มนุษย์ผู้นั้นก็ตกอยู่ในกองทุกข์


เพราะอะไรเล่า เมื่อท่านได้เกียรติจากคนโกหกให้ท่านเป็นผู้มีเกียรติ ท่านต้องทำทุกวิถีทางที่จะต้องโกหกตัวเอง รักษาคำว่ามีเกียรติไว้ นี่คือทุกข์ นี่คืออกุศล และเกียรติเป็นสิ่งพอกพูนให้ร่างกายท่านเกิดความหนักอกหนักใจกับสิ่งที่ไม่เป็นเรื่อง เมื่อท่านตกอยู่ในภาวะผู้มีเกียรติ ท่านก็มีทุกข์มากในการวางตัว ในการอยู่ในสังคม ในการเข้าหมู่คณะ

ทีนี้มนุษย์บางจำพวกลืมตัว เรียกว่า ถูกอำนาจครอบตัว ก็นึกว่าตัวไม่ตาย ก็เกิดอัตตาทิฐิในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม สร้างในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ก็เกิดกรรมวิบากขนาดหนักขึ้นอยู่กับมนุษย์ผู้นั้น เมื่อวาระถึงคราวดวงตกก็ดีอะไรก็ดี ก็ตกอยู่ในอกุศลวิบาก ก็เกิดความทุกข์มากที่สุด


ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนไว้ว่า ทุกอย่างในโลกนี้เป็นของอนิจจัง อนัตตา ถ้าท่านจะมีความสุขที่สุด ท่านต้องพยายามเป็นผู้ที่ไม่มีเกียรติ ไม่ยึดเกียรติ และไม่หลงเกียรติ เพราะสิ่งที่เป็นความสุขอันแท้จริงนั้นคือ นามธรรม

แต่มนุษย์ไม่พยายามคิดในด้านนามธรรม มนุษย์ติดหลงอยู่ในด้านวัตถุ จึงเกิดความประมาท เมื่อภาวะเกิดความประมาทนี่ สิ่งที่ท่านคิดว่าจะเป็นไปไม่ได้ ก็จะเป็นไปได้ และมนุษย์บางจำพวกก็เกิดตัวอัตตาทิฐิ เกิดตัวอารมณ์ถืออารมณ์ของตัวเป็นใหญ่ ไม่มีขันติ


ขันตินำความสุขมาให้ท่านได้ ขันติคือความอดทน ความอดทนต่อคำพูดของมนุษย์ทั้งดีหรือชั่ว ก็จะนำความสงบให้ท่านได้ แต่ถ้าท่านไม่มีขันติ ท่านหลงในอัตตา ท่านยึดในตัวตน ท่านก็เกิดความทุกข์

ทุกข์อะไรเล่า คนที่ด่าท่าน เขาด่าด้วยตัวโทสะครอบเขา เขาจึงด่าท่าน แต่ท่านถูกตัวโมหะครอบตัวท่าน คือเกิดการแสดงปฏิกิริยาขึ้น เขาเรียกว่าหลงตัว ภาวะนี้ก็จะสามารถทำให้สิ่งที่เรียกว่าจุดเล็กไปสู่จุดใหญ่กับฝ่ายตรงข้ามหรือฝ่ายอะไรทั้งหลาย


ขณะนี้ภาวะของโลกมนุษย์อยู่ในภาวะที่สังคมมนุษย์ทุกเหล่าล้วนแต่ถูกตัวโทสะครอบ ทุกเหล่าล้วนแต่ถูกตัวโมหะครอบ ความยุติธรรมในสังคมมนุษย์ย่อมไม่มี แต่ความยุติธรรมสัจจะมีอีกโลกหนึ่ง คือ โลกวิญญาณ

โลกวิญญาณไม่มีคำว่าญาติ โลกวิญญาณไม่มีคำว่ามิตร โลกวิญญาณเขามีศูนย์รวมกรรม กรรมของใครสร้างกรรมดีก็จะได้เสวยในกรรมดีนั้นๆ ใครสร้างในกรรมชั่วก็จะได้เสวยกรรมชั่วนั้นๆ


ฉะนั้นในฐานะที่ท่านทั้งหลายเป็นมนุษย์ที่เรียกว่า กุศลให้เกิดก็ได้ ที่เรียกว่าอกุศลให้เกิดก็ได้ ก็จงพยายามระลึกถึงพุทธพจน์ ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท แล้วก็ตั้งตนอยู่ในความที่เรียกว่า “ตนนั้นเป็นที่พึ่งแห่งตน” เป็นจุดสำคัญที่ช่วยให้ท่านหลุดพ้นจากสังสารวัฏได้

ฉะนั้นในขณะนี้ทุกอย่างในโลกมนุษย์กำลังเข้าสู่ความสลาย กำลังเข้าสู่ความหายนะ ท่านที่มีโอกาสมาที่นี่ ก็ขอให้จงตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ในอนาคตท่านอาจจะไม่มาที่นี่ ก็ขอให้ท่านจงตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท และขอให้ทุกคนจงพยายามทำสติปัญญาให้ดี ให้เข้มแข็ง ต้อนรับกับสิ่งทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นในโลกมนุษย์ทั้งที่นี่และทั้งส่วนตัวของท่าน


ถ้าทุกท่านเข้าซึ้งถึงกฎอนัตตา ก็คือว่าทุกอย่างเขาต้องสลาย เมื่อมีขึ้นก็ต้องมีสลาย สมเด็จหลวงปู่ทวดก็ดี ก็คืออาตมา สมเด็จหลวงพ่อโตก็ดี ก็คือนักปราชญ์แห่งสยาม ท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระก็ดี ผู้ที่เป็นพระพรหมอันเมตตา ก็มิอาจจะอยู่กับท่านคู่ฟ้าได้ และสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความผิดของมนุษย์ เป็นความผิดของอาตมาเอง

เจริญพร


(เทศน์เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๕)




IMG_6520.2.jpg


9.png



อาณาจักรของอาตมา

พร้อมที่จะโกยสัตวโลกให้พ้นจากไฟอเวจี  แต่ไม่มีสื่อนำ

เทวดาพร้อมที่จะช่วยมนุษย์  แต่ไม่มีมนุษย์ให้สถิต

เพราะฉะนั้นจะช่วยมนุษย์ได้มากหรือน้อย  ขึ้นอยู่กับมนุษย์ต่อมนุษย์


p4.png



มนุษย์ผู้ใดเห็นแก่งานส่วนตัว
มนุษย์ผู้นั้นจะไม่มีงานทำในไม่ช้า


มนุษย์ผู้ใดเห็นแก่ทรัพย์ส่วนตัว
มนุษย์ผู้นั้นจะไม่มีทรัพย์ครองในไม่ช้า


มนุษย์ผู้ใดเห็นแก่นอนมาก
มนุษย์ผู้นั้นจะไม่ได้นอนในไม่ช้า



IMG_8289-removebg-preview.3-removebg-preview.png



.....จบเนื้อหาหนังสือ “ธรรมะจากดวงวิญญาณบริสุทธิ์ หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด)” แล้ว

สวัสดีค่ะ

Rank: 8Rank: 8

อนุโมทนาบุญ สาธุ สาธุ สาธุ

Rank: 1

สาธุ...
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-4-19 11:49 , Processed in 0.066094 second(s), 16 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.