- สมัครสมาชิกเมื่อ
- 2013-1-26
- เข้าสู่ระบบล่าสุด
- 2016-3-21
- สิทธิ์ในการอ่าน
- 10
- เครดิต
- 0
- โพสต์
- 162
- สำคัญ
- 0
- UID
- 10617

|
ต้นฉบับโพสต์โดย NOOKFUFU2 เมื่อ 2013-5-17 00:59 , }5 M6 {( Y5 m' w( t1 A4 y
หลักสูตรปริบัติที่นักเรียนพลังจิต และนักเรียนอภิญญ ... / U0 l+ r" x1 A4 A6 ~. m' d. H
/ |# A' q5 G% R0 ?
ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นครับ(จากคนปัญญาน้อยนิด ปฏิบัติก็ยังไม่ถึงไหนอภิญญาก็ยังไม่ได้) จากบทความที่ได้อ่านมีความน่าสนใจมากครับ แต่ผมอาจจะเข้าใจคลาดเคลือนอยู่ จากบทความในคำกล่าวที่ว่า "เพื่อในการปฏิบัติกัมมัฏฐานเป็นไปอย่างก้าวหน้า นักเรียนอภิญญาทุกคนจะต้องศึกษาหลักสูตรปริยัติให้เข้าใจเสียก่อน นักปฏิบัติที่เน้นแต่ปฏิบัติกรรมฐานอย่างเดียว จะเจริญก้าวหน้าในสมาธิได้ช้ากว่า นักปฏิบัติที่ศึกษาปริยัติมาจนเข้าใจแล้ว ค่อยมาเน้นการปฏิบัติกรรมฐานทีหลัง เหตุที่เป็นแบบนี้เพราะ การศึกษาปริยัติเปรียบเสมือนเป็นการศึกษาแผนที่นำทาง ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติ นักปฏิบัติควรทำความเข้าใจกับเส้นทางที่จะมุ่งไปเสียก่อน ควรรู้ล่วงหน้าว่าจะต้องพบเจอกับสิ่งใดข้างทางบ้าง สิ่งใดที่จะเป็นอุสรรคขัดขวางการเดินทาง และจะต้องผ่านด่านทดสอบจิตใจอะไรบ้าง แผนที่ปริยัติถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้นักปฏิบัติรู้เส้นทางที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางที่ตนมุ่งหวัง และรู้ถึงสิ่งที่ตนจะต้องประสบล่วงหน้า รู้ที่จะเตรียมใจที่จะต้องฝ่าฟันไปให้ได้ เพื่อให้ได้สำเร็จอภิญญา 5 และ 6 และบรรลุมรรคผลนิพพานในที่สุด (เป็นจุดหมายปลายทางสุดท้าย หรือเส้นชัยของนักเรียนอภิญญาทุกคน)"
8 w; G Q1 ]7 ~2 U) v7 F. b จากบทความดังกล่าวมาข้างต้น ผมก็ยังงงอยู่ ขออธิบายความสงสัยผมอย่างนี้ครับ ผมก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่า หลักของการศึกษา จะมีอยู่สามระดับ คือ ปริยัติ ปฎิบัติ ปฏิเวธ ทั้งนี้จากบทความบอกว่า ให้ศึกษาเรื่องของปริยัติ ก่อน เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้าที่ 118 ๕. เรื่องพระโปฐิลเถระ [๒๐๘]
2 o4 h1 C7 N; s. r! `+ ^2 gข้อความเบื้องต้น
# [9 O9 g, i* C# qพระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระเถระ
w1 ?. o( ?) {8 N. ], gนามว่าโปฐิละ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " โยคา เว " เป็นต้น.
1 q/ e" w( A& s2 k8 L8 qรู้มากแต่เอาตัวไม่รอด
( I' B0 W+ j; ?" V3 t8 z, |ดังได้สดับมา พระโปฐิละนั้นเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกในศาสนาของ
2 V- l" m8 O, Wพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ บอกธรรมแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป. พระศาสดา
6 k O, ^7 q2 i9 eทรงดำริว่า " ภิกษุนี้ ย่อมไม่มีแม้ความคิดว่า ' เราจักทำการสลัดออก( e6 F* o: k" b
จากทุกข์แก่ตน; เราจักยังเธอให้สังเวช." 6 _3 G/ p6 T( l# H4 C3 t
จำเดิมแต่นั้นมา พระองค์ย่อมตรัสกะพระเถระนั้น ในเวลาที่พระ-3 ?. W( p" m4 ~
เถระมาสู่ที่บำรุงของพระองค์ว่า " มาเถิด คุณใบลานเปล่า, นั่งเถิด คุณ! G9 L1 H" P1 C) |3 A7 U$ @2 Z
ใบลานเปล่า, ไปเถิด คุณใบลานเปล่า, แม้ในเวลาที่พระเถระลุกไป ก็
/ Y8 O; ]5 b' wตรัสว่า " คุณใบลานเปล่า ไปแล้ว." พระโปฐิละนั้นคิดว่า " เราย่อม
4 a+ t, O( P7 f$ ?) V$ \ทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎกพร้อมทั้งอรรถกถา, บอกธรรมแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป
4 Y4 @6 K8 ~7 P1 jถึง ๑๘ คณะใหญ่, ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น พระศาสดายังตรัสเรียกเราเนือง ๆ! Z8 N& D) F' Q7 W7 E N
ว่า ' คุณใบลานเปล่า ' พระศาสดาตรัสเรียกเราอย่างนี้ เพราะความไม่มี
* a6 I6 g4 K+ P- Bคุณวิเศษ มีฌานเป็นต้นแน่แท้." ท่านมีความสังเวชเกิดขึ้นแล้ว จึงคิดว่า9 ]. Z7 r9 q; `3 v1 K: A! h1 l
" บัดนี้ เราจักเข้าไปสู่ป่าแล้วทำสมณธรรม" จัดแจงบาตรและจีวรเอง1 b5 l6 L% ?# {+ C4 h" C7 w
ทีเดียว ได้ออกไปพร้อมด้วยภิกษุผู้เรียนธรรม แล้วออกไปภายหลังภิกษุ
7 @: _2 |) v% t( O" c9 {3 [ kทั้งหมดในเวลาใกล้รุ่ง. พวกภิกษุนั่งสาธยายอยู่ในบริเวณ ไม่ได้กำหนด( q, [" m3 Y7 W( [3 h8 z
ท่านว่า " อาจารย์." พระเถระไปสิ้นสองพันโยชน์แล้ว, เข้าไปหาภิกษุ
2 [8 h" ^9 t5 i: G8 ?* @% M๓๐ รูป ผู้อยู่ในอาวาสราวป่าแห่งหนึ่ง ไหว้พระสังฆเถระแล้ว/ q2 ~ {# A. } @! {
กล่าวว่า " ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของกระผม."
9 j* d* D' y9 {) d! \: M8 u R( Sพระสังฆเถระ. " ผู้มีอายุ ท่านเป็นพระธรรมกถึก, สิ่งอะไรชื่อว่า
4 u" E) R6 I3 y" iอันพวกเราพึงทราบได้ ก็เพราะอาศัยท่าน, เหตุไฉนท่านจึงพูดอย่างนี้ ?", R. `: B {1 m1 r# Z, T" G6 @
พระโปฐิละ. ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงอย่าทำอย่างนี้,
- K7 D" D" j. t eขอท่านจงเป็นที่พึ่งของกระผม.
3 C% ?% p" M: R+ r/ b: m k5 o7 A) s7 }วิธีขจัดมานะของพระโปฐิละ
6 [5 [7 o ?: [& o1 A+ sก็พระเถระเหล่านั้นทั้งหมด ล้วนเป็นพระขีณาสพทั้งนั้น. ลำดับนั้น. e: c, W. |6 a* z. i0 J7 m: R
พระมหาเถระ ส่งพระโปฐิละนั้นไปสู่สำนักพระอนุเถระ ด้วยคิดว่า
1 v1 S2 F3 }3 u" q! s1 X" ภิกษุนี้มีมานะ เพราะอาศัยการเรียนแท้." แม้พระอนุเถระนั้นก็กล่าว/ L0 F+ z: m* d% ~2 {
กะพระโปฐิละนั้น อย่างนั้นเหมือนกัน. ถึงพระเถระทั้งหมด เมื่อส่ง: c8 ~/ s( a& e, h
ท่านไปโดยทำนองนี้ ก็ส่งไปสู่สำนักของสามเณรผู้มีอายุ ๗ ขวบ ผู้ใหม่
$ L; @5 E! ~' {1 gกว่าสามเณรทั้งหมด ซึ่งนั่งทำกรรมคือการเย็บผ้าอยู่ในที่พักกลางวัน.& ?, u# y. g9 h/ ] a% C: A( z
พระเถระทั้งหลายนำมานะของท่านออกได้ ด้วยอุบายอย่างนี้.- Y1 j9 A/ |$ q' x& F* t: Q
พระโปฐิละหมดมานะ
/ W d! P& n" h8 Zพระโปฐิละนั้น มีมานะอันพระเถระทั้งหลายนำออกแล้ว
5 H9 x2 o8 r6 ^% l& oจึงประคองอัญชลีในสำนักของสามเณรแล้วกล่าวว่า
Z6 p2 j( \0 `( y/ p0 ?7 l. L5 Q" ท่านสัตบุรุษ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของผม."
# _+ c; S. t6 [* r6 O7 t0 t& {0 k5 oสามเณร. ตายจริง ท่านอาจารย์ ท่านพูดอะไรนั่น, ท่านเป็น& k# E( u6 o& j' @$ g; b
คนแก่ เป็นพหูสูต, เหตุอะไร ๆ พึงเป็นกิจอันผมควรรู้ในสำนักของท่าน
+ K) [, ]- { y- `& sพระโปฐิละ. ท่านสัตบุรุษ ท่านอย่าทำอย่างนี้,
3 H; L9 v+ {8 G% k8 Iขอท่านจงเป็นที่พึ่งของผมให้ได้.; m1 R7 v$ F2 }; _
สามเณร. ท่านขอรับ หากท่านจักเป็นผู้อดทนต่อโอวาทได้ไซร้, ผมจักเป็นที่พึ่งของท่าน.4 J+ d1 {$ h, T6 C
พระโปฐิละ. ผมเป็นได้ ท่านสัตบุรุษ, เมื่อท่านกล่าวว่า ' จงเข้า) _; E8 v9 c) P) C0 b9 _
ไปสู่ไฟ,' ผมจักเข้าไปแม้สู่ไฟได้ทีเดียว.
/ |$ ]- K: b: c3 \พระโปฐิละปฏิบัติตามคำสั่งสอนของสามเณร 7 ~3 v4 u( D7 {! V# u: H
ลำดับนั้น สามเณรจึงแสดงสระ ๆ หนึ่งในที่ไม่ไกล แล้วกล่าวกะ
$ p$ P3 w' _5 Q8 ~ท่านว่า " ท่านขอรับ ท่านนุ่งห่มตามเดิมนั่นแหละ จงลงไปสู่สระนี้."8 ^& H* f4 ]! B6 u
จริงอยู่ สามเณรนั้น แม้รู้ความที่จีวรสองชั้นซึ่งมีราคามาก อันพระเถระ
& @+ i2 d0 J$ [' C' Dนั้นนุ่งห่มแล้ว เมื่อจะทดลองว่า " พระเถระจักเป็นผู้อดทนต่อโอวาทได้! j+ b) m& H' z" V) }, Y4 g! T8 Y
หรือไม่" จึงกล่าวอย่างนั้น. แม้พระเถระก็ลงไปด้วยคำ ๆ เดียวเท่านั้น.
* Q" H; A% R& O. T. x# gลำดับนั้น ในเวลาที่ชายจีวรเปียก สามเณรจึงกล่าวกะท่านว่า " มาเถิด! {3 {7 T9 w$ `8 E
ท่านขอรับ" แล้วกล่าวกะท่านผู้มายืนอยู่ด้วยคำๆ เดียวเท่านั้นว่า " ท่าน. ~! F) h4 C6 r8 _
ผู้เจริญ ในจอมปลวกแห่งหนึ่ง มีช่องอยู่ ๖ ช่อง, ในช่องเหล่านั้น เหี้ย
' d* y% V. b% ^% Uเข้าไปภายในโดยช่อง ๆ หนึ่ง บุคคลประสงค์จะจับมัน จึงอุดช่องทั้ง ๕8 [( J& S% Y# x
นอกนี้ ทำลายช่องที่ ๖ แล้ว จึงจับเอาโดยช่องที่มันเข้าไปนั่นเอง; บรรดา
( U7 e& D8 ^7 b* S- sทวารทั้งหก แม้ท่านจงปิดทวารทั้ง ๕ อย่างนั้นแล้ว จงเริ่มตั้งกรรมนี้ไว้
2 E) R6 h: ]) \" c7 w! Bในมโนทวาร." ด้วยนัยมีประมาณเท่านี้ ความแจ่มแจ้งได้มีแก่ภิกษุผู้ 4 Q2 u( O' p. C
เป็นพหูสูต ดุจการลุกโพลงขึ้นแห่งดวงประทีปฉะนั้น. พระโปฐิละนั้น
/ ]9 G6 i; ]( U2 g) Eกล่าวว่า " ท่านสัตบุรุษ คำมีประมาณเท่านี้แหละพอละ" แล้วจึงหยั่งลง* i8 I& K+ {$ {, A, Q
ในกรชกาย๒ ปรารภสมณะธรรม.
3 L+ H0 l- t, u, ~& h2 }: {: ~ทางเจริญและทางเสื่อมแห่งปัญญา
6 b3 |* f% u7 k: U# s3 A4 ]พระศาสดาประทับนั่งในที่สุดประมาณ ๑๒๐ โยชน์เทียว ทอด
9 ^4 [* v" I' Q" y: n# L! w4 Sพระเนตรดูภิกษุนั้นแล้วดำริว่า " ภิกษุนั้นเป็นผู้มีปัญญา (กว้างขวาง)6 i7 e7 u# ]* `" u
ดุจแผ่นดิน ด้วยประการใดแล; การที่เธอตั้งตนไว้ด้วยประการนั้นนั่นแล2 d: K& q2 z* [, M
ย่อมสมควร." แล้วทรงเปล่งพระรัศมีไป ประหนึ่งตรัสอยู่กับภิกษุนั้น
* _0 z# h. O: t! G4 A# [ eตรัสพระคาถานี้ว่า :-- `) W* {+ U) G6 f
๕. โยคา เว ชายตี ภูริ อโยคา ภูริสงฺขโย เอตํ เทฺวธา ปถํ ญตฺวา ภวาย วิภวาย จตถตฺตานํ นิเวเสยฺย ยถา ภูริ ปวฑฺฒติ.
6 c! ^0 A9 N8 d8 b7 u( i" ปัญญาย่อมเกิดเพราะการประกอบแล, ความสิ้นไปแห่งปัญญาเพราะการไม่ประกอบ, บัณฑิตรู้
% p' j( T6 i8 {7 L. l U; T" x$ {ทาง ๒ แพร่ง แห่งความเจริญและความเสื่อมนั่นแล้ว พึงตั้งตนไว้โดยประการที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้."4 W: ^. m. O, `- H% Y
จากเรื่องนี้ ทำให้ผมคิดว่าผมเข้าใจคลาดเคลื่อนหรือเปล่า แม้แต่ครั้งพุทธกาล พระพุทธองค์ ท่านจะโปรดใคร ท่านก็จะเลือกบุคคลที่ปฎิบัติอยู่แล้ว ส่วนปริยัต ปฎิเวธ ท่านจะมาแนะนำภายหลัง ผมก็เลยงง แม้แต่ครูบาอาจารย์ เก่าๆท่านก็จะเน้นปฏิบัติ ก่อน แทบทั้งสิ้น ต่อมาท่านก็จะมาให้เรียน ปริยัติ ปฏิเวธ ภายหลัง แม้แต่ปู่ฤาษึลิงดำที่ก้เน้นปฎิบัติ ในความคิดผม ถ้าหากเราเรียนปริยัติก่อนเราก็จะได้แต่สัญญา (ความจำได้หมายรู้) แต่ไม่เข้าใจ ผมอาจมีความรู้น้อยเกินไปด้วยครับ |
|