แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

อนุพุทธประวัติ ๘๐ องค์ [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๙   

ประวัติพระติสสเมตเตยยเถระ

3.png



ท่านพระติสสเมตเตยยะ เป็นบุตรพราหมณ์ ณ กรุงสาวัตถี เดิมชื่อว่า ติสสะ มีนามโดยโคตรว่า เมตเตยยะ รวมเป็นนามเดียวว่า ติสสเมตเตยยะ เมื่อมีอายุสมควรแก่การเล่าเรียนแล้ว ได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์เล่าเรียนศิลปวิทยา ในสำนักของพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ฯ

ครั้นพราหมณ์พาวรีมีความเบื่อหน่ายในฆราวาสวิสัย ได้ถวายกราบบังคมทูลลาพระเจ้าปเสนทิโกศลออกจากหน้าที่ปุโรหิต ออกบวชเป็นชฎิลประพฤติพรตตามลัทธิของพราหมณ์ ตั้งอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ในที่พรมแดนแห่งเมืองอัสสกะและเมืองอาฬกะต่อกัน เป็นอาจารย์ใหญ่บอกไตรเพทแก่หมู่ศิษย์ ติสสเมตเตยยมาณพพร้อมกับมาณพอื่นผู้เป็นศิษย์ ได้ออกบวชติดตามด้วยและอยู่ศึกษาศิลปวิทยาในสำนักของพราหมณ์พาวรีนั้น ฯ

ครั้นต่อมาพราหมณ์พาวรีได้ทราบข่าวว่า พระโอรสของพระเจ้าศากยราชเสด็จออกบรรพชา ปฏิญญาพระองค์ว่าเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ แสดงธรรมสั่งสอนประชุมชน มีคนเชื่อและเลื่อมใส ยอมตนเป็นสาวกปฏิบัติตามคำสั่งสอนเป็นอันมาก พราหมณ์พาวรีคิดหลากใจใคร่สืบสวนให้ได้ความจริง จึงเรียกมาณพผู้เป็นศิษย์ ๑๖ คน มีอชิตมาณพเป็นหัวหน้า ผูกปัญหาให้คนละหมวดๆ ให้ไปกราบทูลถามดู

มาณพทั้ง ๑๖ คน ลาอาจารย์แล้ว พามาณพที่เป็นบริวารไปเฝ้าพระบรมศาสดาที่ปาสาณเจดีย์ แคว้นมคธ ทูลขอโอกาสถามปัญหาคนละหมวดๆ ครั้นพระบรมศาสดาทรงอนุญาตแล้ว อชิตมาณพถามปัญหาเป็นคนแรก ๔ ข้อ เมื่อจบการพยากรณ์ปัญหาของอชิตมาณพแล้ว ติสสเมตเตยยมาณพจึงทูลถามปัญหาเป็นคนที่ ๒ ว่า

ติสสเมตเตยยมาณพ. ใครชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ คือ เต็มความประสงค์ในโลกนี้, ความอยากซึ่งเป็นเหตุทะเยอทะยาน ดิ้นรนของใครไม่มี, ใครรู้ส่วนข้างปลายทั้ง ๒ (คืออดีตกับอนาคต) ด้วยปัญญาแล้ว ไม่ติดอยู่ในส่วนท่ามกลาง (คือปัจจุบัน) พระองค์ตรัสว่าใครเป็นมหาบุรุษ ใครล่วงความอยากอันผูกใจสัตว์ไว้ในโลกนี้ ดุจด้ายเป็นเครื่องเย็บให้ติดกันไปได้ ?
            
พระบรมศาสดา ทรงพยากรณ์ว่า ภิกษุผู้ประพฤติพรหมจรรย์สำรวมในกามทั้งหลาย ปราศจากความอยากแล้ว มีสติระลึกได้ทุกเมื่อ พิจารณาเห็นชอบแล้ว ดับเครื่องร้อนกระวนกระวายเสียได้แล้ว ชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ คือ

เต็มความประสงค์ในโลกนี้ ความอยากซึ่งเป็นเหตุทะเยอทะยานดิ้นรนของภิกษุนั้นแลไม่มี ภิกษุนั้นแลรู้ส่วนข้างปลายทั้ง ๒ ด้วยปัญญา แล้วไม่ติดอยู่ในส่วนท่ามกลาง เรากล่าวว่า ภิกษุนั้นแหละเป็นมหาบุรุษ ภิกษุนั้นแลล่วงความอยากอันผูกใจสัตว์ไว้ในโลกนี้ ดุจด้ายเป็นเครื่องเย็บผ้าให้ติดกันไปได้ ฯ
            

ในที่สุดแห่งการพยากรณ์ปัญหา ติสสเมตเตยยมาณพได้สำเร็จพระอรหัตผล เมื่อมาณพนอกนั้นทูลปัญหาของตนๆ และพระบรมศาสดาทรงพยากรณ์แล้ว ติสสเมตเตยยมาณพพร้อมด้วยมาณพเหล่านั้น ได้ทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา เมื่อท่านดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๐   

ประวัติพระปุณณกเถระ
3.png



ท่านพระปุณณกะ เป็นบุตรพราหมณ์ในพระนครสาวัตถี เมื่อเจริญวัยแล้ว ได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาในสำนักของพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ฯ


ครั้นต่อมาพราหมณ์พาวรีมีความเบื่อหน่ายในฆราวาสวิสัย ได้กราบบังคมทูลลาออกจากหน้าที่ปุโรหิต ออกบวชเป็นชฎิลประพฤติพรตตามลัทธิของพราหมณ์ ตั้งอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ในที่พรมแดนแห่งเมืองอัสสกะและเมืองอาฬกะต่อกัน ฯ ปุณณกมาณพพร้อมกับมาณพอื่นผู้เป็นศิษย์ ได้ออกบวชติดตามไปศึกษาศิลปวิทยาอยู่ด้วย ฯ

ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสรู้แล้ว กิตติศัพท์ก็ลือกระฉ่อนไปทั่วทิศานุทิศ จนปรากฏแก่พราหมณ์พาวรีว่า เจ้าชายสิทธัตถราชกุมาร ผู้เป็นพระราชโอรสแห่งศากยราชเสด็จออกบรรพชา ปฏิญญาตนว่าเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ แสดงธรรมสั่งสอนแก่ประชาชน มีคนเชื่อและเลื่อมใส ยอมตนเป็นสาวกประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งสอนเป็นอันมาก


พราหมณ์พาวรีคิดหลากใจใคร่สืบสวนให้ได้ความจริง จึงเรียกมาณพผู้เป็นศิษย์ ๑๖ คน มีอชิตมาณพเป็นหัวหน้า ผูกปัญหาให้คนละหมวดๆ ให้ไปกราบทูลถามดู


มาณพทั้ง ๑๖ คน ลาอาจารย์ พามาณพที่เป็นบริวารไปเฝ้าพระบรมศาสดาที่ปาสณเจดีย์ แว่นแคว้นมคธ ทูลถามปัญหาคนละหมวดๆ ครั้นได้รับอนุญาตแล้ว จึงได้ทูลถามปัญหาตามที่พราหมณ์พาวรีผู้เป็นอาจารย์ผูกให้ ในมาณพ ๑๖ คนนั้น ปุณณกมาณพคนหนึ่งซึ่งอยู่ในจำนวนนั้น ได้ทูลถามปัญหาเป็นคนที่ ๓ ว่า

บัดนี้มีปัญหามาถึงพระองค์ผู้หาความหวาดหวั่นมิได้ รู้เหตุที่เป็นรากเหง้าของสิ่งทั้งปวง


พระปุณณกมาณพ. ข้าพระพุทธเจ้าขอทูลถามว่า หมู่มนุษย์ในโลกนี้ คือ ฤๅษี กษัตริย์ พราหมณ์ เป็นอันมาก อาศัยอะไรจึงบูชายัญบวงสรวงเทวดา ขอพระองค์ตรัสบอกความข้อนี้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ?

พระบรมศาสดา ทรงพยากรณ์ว่า หมู่มนุษย์เหล่านั้น อยากได้ของที่ตนปรารถนา อาศัยของที่มีชราทรุดโทรม จึงบูชายัญบวงสรวงเทวดา ฯ
            
ป. หมู่มนุษย์เหล่านั้น ถ้าไม่ประมาทในยัญของตน จะข้ามพ้นชาติและชราได้บ้างหรือไม่ ?


พ. หมู่มนุษย์เหล่านั้น มุ่งลาภที่ตนหวังจึงพูดสรรเสริญ การบูชายัญรำพันถึงสิ่งที่ตัวใคร่ ดังนั้นก็เพราะอาศัยลาภ เรากล่าวว่า การบูชายัญเหล่านั้น ยังเป็นคนกำหนัดยินดีในภพ ไม่ข้ามพ้นชาติ ชราไปได้ ฯ
            
ป. ถ้าผู้บูชายัญเหล่านั้น ข้ามพ้นชาติชราเพราะยัญของตนไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ใครเล่าในเทวโลก หรือในมนุษยโลกข้ามพ้นชาติชรานั้นได้แล้ว ?

พ. ความอยากซึ่งเป็นเหตุทะเยอทะยานดิ้นรนในโลกไหนๆ ของผู้ใดไม่มี เพราะได้พิจารณาเห็นธรรมที่ยิ่งและหย่อนในโลก เรากล่าวว่า ผู้นั้นซึ่งสงบระงับแล้ว ไม่มีทุจริตความประพฤติชั่วอันจะทำให้มัวหมอง ดุจควันไฟอันจับเป็นเขม่า ไม่มีกิเลสอันจะกระทบจิต หาความอยากทะเยอทะยานมิได้ ข้ามพ้นชาติชราไปได้แล้ว ฯ

ครั้นพระบรมศาสดาทรงแก้ปัญหา ที่ปุณณกมาณพทูลถามอย่างนี้แล้ว ในที่สุดแห่งการแก้ปัญหา ปุณณกมาณพได้สำเร็จพระอรหัตผล เมื่อพระศาสดาทรงพยากรณ์ปัญหาแห่งมาณพนอกนั้นเสร็จสิ้นแล้ว ปุณณกมาณพพร้อมมาณพอีก ๑๕ คน กับทั้งบริวาร ทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ท่านดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๑   

ประวัติพระเมตตคูเถระ

3.png



ท่านพระเมตตคู เป็นบุตรของพราหมณ์ในนครสาวัตถี เมื่อเจริญวัยแล้ว ได้ไปมอบตัวยอมเป็นศิษย์พราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศลเพื่อศึกษาศิลปวิทยา ฯ

ครั้นกาลต่อมาพราหมณ์พาวรีออกบวชเป็นชฎิล ประพฤติพรตตามลัทธิของพราหมณ์ ตั้งอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ในที่พรมแดนเมืองอัสสกะกับเมืองอาฬกะต่อกัน ฯ เมตตคูมาณพพร้อมมาณพอื่นผู้เป็นศิษย์ ได้ออกบวชติดตามไปศึกษาศิลปวิทยาอยู่ด้วย ฯ

ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสรู้แล้ว กิตติศัพท์ก็ลือกระฉ่อนไปทั่วทุกทิศ พราหมณ์พาวรีได้ทราบข่าวว่า พระโอรสของศากยราชเสด็จทรงผนวช ได้ตรัสรู้เองโดยชอบแล้ว แสดงธรรมสั่งสอนประชุมชน มีผู้ยอมตนเป็นสาวกประพฤติปฏิบัติตามเป็นอันมาก พราหมณ์พาวรีอยากจะสืบสวนให้ได้ความจริง จึงผูกปัญหาให้มาณพ ๑๖ คน มีอชิตมาณพเป็นหัวหน้า ให้ไปกราบทูลถามดู

มาณพ ๑๖ คน ลาอาจารย์ แล้วพามาณพที่เป็นบริวารไปเฝ้าพระบรมศาสดาที่ปาสาณเจดีย์ แว่นแคว้นมคธ ทูลขอโอกาสถามปัญหา เมื่อได้รับพระพุทธานุญาตแล้ว ปุณณกมาณพได้ทูลถามปัญหาครบ ๓ ข้อ พระบรมศาสดาทรงพยากรณ์แล้ว เมตตคูมาณพจึงทูลถามปัญหาเป็นคนที่ ๔ ว่า

เมตตคูมาณพ. ข้าพระพุทธเจ้าขอทูลถามว่า ขอพระองค์จงตรัสบอกข้อความที่จะพูดถามนั้นแก่ข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าทราบว่า พระองค์ถึงที่สุดจบไตรเพท มีจิตอันได้อบรมดีแล้ว ทุกข์ในโลกหลายประการไม่ใช่แต่อย่างเดียวนี้ มีมาแล้วแต่อะไร ?

พระบรมศาสดา ทรงพยากรณ์ว่า ท่านถามเราถึงเหตุเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์เราจะบอกให้แก่ท่านตามรู้เห็น ทุกข์ในโลกนี้มีอุปธิ คือ กรรมและกิเลสเป็นเหตุ ล้วนเกิดมาก่อนแต่อุปธิ ผู้ใดเป็นคนเขลาไม่รู้ แล้วกระทำอุปธินั้นให้เกิดขึ้น ผู้นั้นย่อมถึงทุกข์เนืองๆ เหตุนั้นเมื่อรู้เห็นว่าอุปธินั้นเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์ อย่ากระทำให้อุปธินั้นเกิดมี ฯ
            

ม. ข้าพระพุทธเจ้าทูลถามข้อใด ก็ทรงแก้ข้อนั้นประทานแก่ข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอทูลถามอื่นอีก ขอเชิญพระองค์ทรงแก้ อย่างไรผู้มีปัญญาจึงจะข้ามพ้นห้วงทะเลใหญ่ คือ ชาติ ชรา และโศกพิไรรำพันเสียได้ ขอพระองค์ทรงแก้ข้อนั้นประทานแก่ข้าพระพุทธเจ้า เพราะว่าธรรมนั้นพระองค์คงทราบธรรมแล้ว ?

พ. เราจักแสดงธรรมที่จะพึ่งเห็นแจ้งด้วยตนเอง ในอัตภาพนี้ไม่ต้องพิศวงตามคำผู้อื่น คือ อย่างนี้ๆ ที่บุคคลได้ทราบแล้วจะเป็นผู้มีสติ ดำเนินข้ามความอยากอันทำให้ติดอยู่ในโลกเสียได้แก่ท่าน ฯ

ม. ข้าพระพุทธเจ้ายินดีธรรมที่สูงนั้นเป็นอย่างยิ่ง ?

พ. ท่านรู้อย่างใดอย่างหนึ่งในส่วนเบื้องบน (คืออนาคต) ในส่วนเบื้องต่ำ (คืออดีต) ในส่วนท่ามกลาง (คือปัจจุบัน) จงบรรเทาความเพลิดเพลินความยึดมั่นในส่วนเหล่านั้นเสีย วิญญาณของท่านจะไม่ตั้งอยู่ในภพ ภิกษุผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้ มีสติไม่เลินเล่อได้ทราบแล้ว ละความถือมั่นว่าของเราเสียได้แล้ว จะละทุกข์ คือ ชาติ ชรา และโศกพิไรรำพันในโลกนี้ได้ ฯ
            

ม. ข้าพระพุทธเจ้าชอบใจพระวาจาของพระองค์เป็นอย่างยิ่ง ธรรมอันไม่มีอุปธิ พระองค์ทรงแสดงชอบแล้ว พระองค์คงละทุกข์ได้แน่แล้ว เพราะว่าพระองค์ได้ทรงทราบธรรมข้อนี้แล้ว แม้ท่านผู้รู้ที่พระองค์ทรงสั่งสอนอยู่เป็นนิตย์ไม่หยุดหย่อน คงละทุกข์นั้นได้ด้วยเป็นแน่ ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้มาถวายบังคมพระองค์ ด้วยตั้งใจจะให้สั่งสอนข้าพระพุทธเจ้าเป็นนิตย์ไม่หยุดหย่อน เหมือนอย่างนั้นบ้าง ?
            
พ. ท่านรู้ว่าผู้ใดเป็นพราหมณ์ถึงที่สุดจบไตรเพท ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ไม่ติดข้องอยู่ในกามภพ ผู้นั้นแหละข้ามล่วงเหตุแห่งทุกข์ ดุจห้วงทะเลใหญ่นี้ได้แน่แล้ว

ครั้นข้ามถึงฝั่งแล้ว เป็นคนไม่มีกิเลสอันตรึงจิต สิ้นความสงสัย ผู้นั้นครั้นรู้แล้วถึงที่สุดจบไตรเพทในศาสนานี้ ละธรรมที่เป็นเหตุติดข้องอยู่ในภพน้อยภพใหญ่เสียได้ เป็นคนมีความอยากสิ้นแล้ว ไม่มีกิเลสอันจะมากระทบจิต หาความทะเยอทะยานมิได้ เรากล่าวว่า ผู้นั้นแลข้ามพ้นชาติชราได้แล้ว ฯ
            

ในที่สุดแห่งการแก้ปัญหา เมตตคูมาณพก็ได้สำเร็จพระอรหัตผล เมื่อจบโสฬสปัญหาพยากรณ์แล้ว เมตตคูมาณพพร้อมด้วยมาณพอีก ๑๕ คน กับทั้งบริวาร ทูลขออุปสมบท พระองค์ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุในพระธรรมวินัย ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ท่านดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๒   

ประวัติพระโธตกเถระ

3.png



ท่านพระโธตกะ เกิดในสกุลพราหมณ์ ณ กรุงสาวัตถี เมื่อมีอายุพอสมควรแก่การเล่าเรียนแล้ว ได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของพราหมณ์พาวรีผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล เพื่อศึกษาศิลปวิทยา ฯ

ครั้นต่อมาพราหมณ์พาวรีมีความเบื่อหน่ายในฆราวาสวิสัย ได้ทูลลาพระเจ้าปเสนทิโกศลออกจากตำแหน่งปุโรหิต เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว จึงออกบวชเป็นชฎิลประพฤติพรตตามลัทธิของพราหมณ์ ตั้งอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ในที่พรมแดนแห่งเมืองอัสสกะและเมืองอาฬกะต่อกัน เป็นอาจารย์ใหญ่บอกไตรเพทแก่หมู่ศิษย์ โธตกมาณพพร้อมกับมาณพอื่นผู้เป็นศิษย์ ได้ออกบวชตามไปศึกษาอยู่ด้วย ฯ

ในวันหนึ่งพราหมณ์พาวรีได้ทราบข่าวว่า พระโอรสของพระเจ้าศากยราชเสด็จออกบรรพชา ปฏิญญาพระองค์ว่าเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ แสดงธรรมสั่งสอนประชุมชน มีคนเชื่อและเลื่อมใส ยอมตนเป็นสาวกประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งสอนเป็นอันมาก พราหมณ์พาวรีคิดหลากใจใคร่สืบสวนให้ได้ความจริง จึงเรียกมาณพผู้เป็นศิษย์ ๑๖ คน มีอชิตมาณพเป็นหัวหน้า ผูกปัญหาให้คนละหมวดๆ ให้ไปกราบทูลถามดู

ในมาณพ ๑๖ คน โธตกมาณพคนหนึ่งซึ่งอยู่ในจำพวกนั้น ได้พากันลาอาจารย์ แล้วพาบริวารเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดาที่ปาสาณเจดีย์ แว่นแคว้นมคธ ทูลขอโอกาสถามปัญหาคนละหมวดๆ ครั้นพระบรมศาสดาทรงอนุญาตแล้ว จึงได้ทูลถามปัญหาทีละคน ส่วนโธตกมาณพทูลถามเป็นคนที่ ๕ ว่า

โธตกมาณพ. ข้าพระพุทธเจ้าขอทูลถามว่า ขอจงตรัสบอกแก่ข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าอยากจะฟังพระวาจาของพระองค์ ข้าพระพุทธเจ้าได้ฟังพระสุรเสียงของพระองค์แล้ว จะศึกษาข้อปฏิบัติซึ่งเป็นเครื่องดับกิเลสของตน ?

พระบรมศาสดา ทรงพยากรณ์ว่า ถ้าอย่างนั้นท่านจงเป็นคนมีปัญญา มีสติ ทำความเพียรในศาสนานี้เถิด ฯ

ธ. ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นพระองค์ผู้เป็นพราหมณ์ หากังวลมิได้เที่ยวอยู่ในเทวโลกและมนุษยโลก เหตุนั้นข้าพระพุทธเจ้าขอถวายบังคมพระองค์ ขอพระองค์ทรงเปลื้องข้าพระพุทธเจ้าเสียจากความสงสัยเถิด ?

พ. เราเปลื้องใครๆ ในโลกผู้ยังมีความสงสัยอยู่ไม่ได้ เมื่อท่านรู้ธรรมอันประเสริฐ ก็จะข้ามห้วงทะเลใหญ่ คือ กิเลสอันนี้เสียได้เองๆ

ธ. ขอพระองค์ทรงพระกรุณาแสดงธรรมอันสงัดจากกิเลสที่ข้าพระพุทธเจ้าควรจะรู้ สั่งสอนข้าพระพุทธเจ้าให้เป็นคนโปร่งไม่ขัดข้องดุจอาการสงบระงับกิเลสเสียได้ ไม่อาศัยสิ่งหนึ่งสิ่งใด เที่ยวอยู่ในโลกนี้ ?

พ. เราจะบอกอุบายเครื่องสงบระงับกิเลส ซึ่งจะเห็นเอง ไม่ต้องเชื่อตามตื่นข่าว ที่บุคคลได้ทราบแล้ว จักมีสติข้ามความอยากที่ตรึงใจไว้ในโลกเสียได้แก่ท่าน ฯ

ธ. ข้าพระพุทธเจ้าชอบอุบายเครื่องระงับกิเลสอันสูงสุดเป็นอย่างยิ่ง ฯ

พ. ถ้าท่านรู้ว่าความทะยานอยาก ทั้งเบื้องบนเบื้องต่ำท่ามกลางเป็นเหตุให้ติดข้องอยู่ในโลก ท่านอย่าทำความทะยานอยากเพื่อจะเกิดในภพน้อยใหญ่ ฯ

ในที่สุดแห่งการพยากรณ์ปัญหา โธตกมาณพส่งใจไปตามธรรมเทศนา จิตก็หลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน เมื่อการพยากรณ์ปัญหาเสร็จแล้ว โธตกมาณพพร้อมด้วยมาณพอีก ๑๕ คน กับทั้งบริวาร ทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ท่านดำรงชนมายุสังขารอยู่พอสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๓   

ประวัติพระอุปสีวเถระ

3.png



ท่านพระอุปสีวะ เป็นบุตรพราหมณ์ในพระนครสาวัตถี เมื่อมีอายุสมควรแก่การเล่าเรียนแล้ว ได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล เพื่อศึกษาวิชาการ


ต่อมาพราหมณ์พาวรีมีความเบื่อหน่ายในฆราวาส จึงออกบวชเป็นชฎิล ประพฤติพรตตามลัทธิของพราหมณ์ ตั้งอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ในที่พรมแดนแห่งเมืองอัสสกะและเมืองอาฬกะต่อกัน เป็นคณาจารย์ใหญ่บอกไตรเพทแก่หมู่ศิษย์ อุปสีวมาณพพร้อมด้วยมาณพผู้อื่นเป็นศิษย์ ได้ออกบวชติดตามไปศึกษาศิลปวิทยาอยู่ด้วย

ครั้นพราหมณ์พาวรีได้ทราบข่าวว่า พระราชโอรสของพระเจ้าศากยราชเสด็จออกบรรพชา ปฏิญญาพระองค์ว่าเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ แสดงธรรมสั่งสอนประชุมชน มีคนเชื่อและเลื่อมใส ยอมตนเป็นสาวกประพฤติปฏิบัติตามคำสอนเป็นอันมาก พราหมณ์พาวรีคิดอยากจะสืบสวนให้ได้ความจริง จึงผูกปัญหาให้แก่มาณพ ๑๖ คน ก็มีอชิตมาณพเป็นหัวหน้า คนละหมวดๆ ให้ไปกราบทูลถามดู


อุปสีวมาณพคนหนึ่งอยู่ในจำพวกมาณพ ๑๖ คนนั้น ได้พากันลาอาจารย์ แล้วพาบริวารไปเฝ้าพระบรมศาสดาที่ปาสาณเจดีย์ แว่นแคว้นมคธ ทูลขอโอกาสถามถึงปัญหา ครั้นได้รับพระพุทธานุญาตแล้ว จึงทูลถามปัญหาเป็นคนที่ ๖ ว่า

อุปสีวมาณพ. ลำพังข้าพระองค์ผู้เดียวไม่ได้อาศัยอะไรแล้ว ไม่อาจข้ามห้วงทะเลใหญ่ คือ กิเลสได้ ขอพระองค์ตรัสบอกอารมณ์ที่หน่วงเหนี่ยว ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าควรอาศัยข้ามห้วงนี้ แก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิด ?

พระบรมศาสดา ทรงพยากรณ์ว่า ท่านจงเป็นผู้มีสติเพ่งอากิญจัญญายตนฌาน อาศัยอารมณ์ว่าไม่มีดังนี้ ข้ามห้วงเสียเถิด ท่านจงละกามทั้งหลายเสีย เว้นจากการสงสัย เห็นธรรมที่สิ้นไปแห่งความทะเยอทะยานอยากให้ปรากฏชัดทั้งกลางคืนกลางวันเถิด ฯ

อุ. ผู้ปราศจากความกำหนัดในกามทั้งหลายทั้งปวง แล้วล่วงกามอื่นได้แล้ว อาศัยอากิญจัญญายตนฌาน (คือ ความเพ่งใจว่า “ไม่มีอะไร” เป็นอารมณ์) น้อมใจแล้วในอากิญจัญญายตนฌานนั้นไม่มีเสื่อมบ้างหรือ

พ. ผู้นั้นจะตั้งอยู่ในอากิญจัญญายตนฌานนั้นไม่มีเสื่อม ฯ

อุ. ถ้าผู้นั้น จะต้องอยู่ในอากิญจัญญายตนฌานนั้น ไม่มีเสื่อมสิ้นเป็นอันมาก เขาจะเป็นยั่งยืนอยู่ในอากิญจัญญายตนฌานนั้น หรือจะดับขันธปรินิพพาน วิญญาณของคนเช่นนั้นจะเป็นฉันใด ?

พ. เปลวไฟอันกำลังลมเป่าแล้วดับไป ไม่ถึงความนับว่าได้ไปแล้วในทิศไหน ฉันใด ท่านผู้รู้พ้นไปแล้วจากกองนามรูป ย่อมดับไม่มีเชื้อเพลิง (คือ ดับพร้อมทั้งกิเลสทั้งขันธ์) ไม่ถึงความนับว่าไม่เกิดเป็นอะไรฉันนั้น

อุ. ท่านผู้นั้นดับไปแล้ว หรือเป็นแต่ไม่มีตัว หรือจะเป็นผู้ตั้งอยู่ยั่งยืน หาอันตรายมิได้ ขอพระองค์ทรงพยากรณ์ความข้อความนั้นแก่ข้าพระพุทธเจ้า เพราะว่าธรรมนั้นทรงทราบแล้ว ?

พ. ประมาณแห่งเบญจขันธ์ของผู้ที่ดับขันธปรินิพพานแล้ว มิได้มีกิเลส ซึ่งเป็นเหตุกล่าวผู้นั้นว่าไปเกิดเป็นอะไรของผู้นั้นก็มิได้มี เมื่อธรรมทั้งหลาย (มีขันธ์เป็นต้น) อันผู้นั้นจักได้หมดแล้ว ก็ตัดทางแห่งถ้อยคำที่จะพูดถึงผู้นั้นว่าเป็นอะไรเสียทั้งหมด ฯ
            
ครั้นพระบรมศาสดาทรงแก้ปัญหา ที่อุปสีวมาณพทูลถามอย่างนี้แล้ว ในที่สุดการแก้ปัญหา อุปสีวมาณพก็ได้บรรลุพระอรหัตผล เมื่อการพยากรณ์ปัญหาแห่งมาณพนอกนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว อุปสีวมาณพพร้อมด้วยมาณพอีก ๑๕ คน กับทั้งบริวาร ทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา

ท่านพระอุปสีวมาณพนั้น เมื่อดำรงเบญจขันธ์อยู่ ได้ช่วยทำกิจพระศาสนาตามสมควรแก่กำลังความสามารถ ท่านดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๔   

ประวัติพระนันทเถระ
3.png

        


พระนันทะ เป็นบุตรพราหมณ์ในนครสาวัตถี เมื่อเจริญวัยเติบใหญ่แล้วสมควรแก่การเล่าเรียนแล้ว ได้ไปศึกษาศิลปวิทยาตามลัทธิของพราหมณ์ อยู่ในสำนักของพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ฯ

ต่อมาพราหมณ์พาวรีผู้เป็นอาจารย์ ออกไปบวชประพฤติพรตตามลัทธิของพราหมณ์ ตั้งอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ในที่พรมแดนแห่งเมืองอัสสกะและเมืองอาฬกะต่อกัน เป็นอาจารย์ใหญ่บอกไตรเพทแก่หมู่ศิษย์ ฯ และนันทมาณพพร้อมด้วยมาณพอื่นผู้เป็นศิษย์ ได้ออกบวชติดตามไปศึกษาศิลปวิทยาอยู่ด้วย ฯ

วันหนึ่งพราหมณ์พาวรีได้ทราบว่า พระราชโอรสของพระเจ้าศากยราชเสด็จออกบรรพชา ปฏิญญาตนว่าเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ แสดงธรรมสั่งสอนแก่ประชาชน มีคนนับถือและเลื่อมใส ยอมตนเป็นสาวกประพฤติปฏิบัติตามเป็นอันมาก อยากจะสืบสวนให้ได้ความจริง จึงผูกปัญหาให้แก่มาณพ ๑๖ คน คนละหมวดๆ ให้ไปกราบทูลถามดู

นันทมาณพคนหนึ่งอยู่ในจำพวกนั้น จึงพากันลาอาจารย์ แล้วพาบริวารไปเฝ้าพระบรมศาสดา ซึ่งประทับอยู่ที่ปาสาณเจดีย์ แว่นแคว้นมคธ ทูลขอโอกาสถามปัญหา เมื่อพระบรมศาสดาอนุญาตแล้ว จึงได้ถามปัญหาของตนๆ ตามลำดับกัน ส่วนนันทมาณพนั้น ทูลถามปัญหาเป็นคนที่ ๗ ว่า

นันทมาณพ. ชนทั้งหลายกล่าวว่ามุนีมีอยู่ในโลกดังนี้ ข้อนี้เป็นอย่างไร เขาเรียกคนถึงพร้อมด้วยญาณหรือถึงพร้อมด้วยการเลี้ยงชีวิตว่าเป็นมุนี ?

พระบรมศาสดา ทรงพยากรณ์ว่า ผู้ฉลาดในโลกนี้ ไม่กล่าวว่าเป็นมุนี ด้วยความเห็น ด้วยสดับ หรือด้วยความรู้ เรากล่าวว่า คนใดทำตนให้ปราศจากกองกิเลส เป็นคนหากิเลสมิได้ ไม่มีความหวังทะยานอยากเที่ยวอยู่ คนผู้นั้นแหละชื่อว่ามุนี ฯ

น. สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง กล่าวความบริสุทธิ์ด้วยความเห็น ด้วยความฟัง ด้วยศีลและพรต และด้วยวิธีเป็นอันมาก สมณพราหมณ์เหล่านั้น ประพฤติในวิธีเหล่านั้น ตามที่ตนเห็นว่าเป็นเครื่องบริสุทธิ์ข้ามพ้นชาติชราได้บ้างหรือไม่ ข้าพระพุทธเจ้าทูลถาม ขอพระองค์ตรัสบอกความข้อนั้นแก่ข้าพระองค์เถิด ฯ
        
พ. สมณพราหมณ์เหล่านั้น แม้ถึงประพฤติอย่างนั้น เรากล่าวว่าพ้นชาติชราไม่ได้แล้ว ฯ
        
น. ถ้าพระองค์ตรัสว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้น ข้ามห้วงไม่ได้แล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น ใครเล่าในเทวโลก หรือในมนุษยโลก ข้ามพ้นชาติชราได้แล้ว ?
        
พ. เราไม่ได้กล่าวว่า สมณพราหมณ์ อันชาติชรานั้นครอบงำแล้วหมดทุกคน แต่เรากล่าวว่า สมณพราหมณ์เหล่าใดในโลกนี้ละอารมณ์ที่คนได้เห็นได้ฟังได้รู้ และศีลพรตกับวิธีเป็นอันมากเสียทั้งหมด กำหนดรู้ตัณหาว่าเป็นโทษ ควรละแล้ว เป็นผู้หาอาสวะมิได้ สมณพราหมณ์เหล่านั้นแลข้ามห้วงได้แล้ว ฯ
        

น. ข้าพระพุทธเจ้าชอบในพระวาจาของพระองค์เป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงแสดงธรรมอันไม่มีอุปธิ (กิเลส) ชอบแล้ว แม้ข้าพระพุทธเจ้าก็เรียกสมณพราหมณ์เหล่านั้นว่า ผู้ข้ามห้วงได้แล้วเหมือนพระองค์ตรัส ฯ

เมื่อจบเทศนาปัญหาพยากรณ์ นันทมาณพพร้อมด้วยศิษย์ที่เป็นบริวาร ได้บรรลุพระอรหัตผล ฯ เมื่อพระบรมศาสดาทรงพยากรณ์ปัญหามาณพนอกนี้เสร็จแล้ว นันทมาณพพร้อมด้วยมาณพอีก ๑๕ คน กับทั้งบริวาร ทูลขอบรรพชาอุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ท่านพระนันทะดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๕   

ประวัติพระเหมกเถระ

3.png



ท่านพระเหมกะ เกิดในสกุลพราหมณ์ในพระนครสาวัตถี เมื่อเจริญวัยแล้ว ได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล เพื่อศึกษาศิลปวิทยาตามลัทธิของพราหมณ์

ครั้นพราหมณ์พาวรีมีความเบื่อหน่ายในฆราวาส จึงได้ทูลลาพระเจ้าปเสนทิโกศลออกจากตำแหน่งปุโรหิต เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว จึงได้ออกบวชเป็นชฎิล ประพฤติพรตตามลัทธิของพราหมณ์ ตั้งอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ในที่พรมแดนแว่นแคว้นทั้ง ๒ ชื่อว่าอัสสกะและอาฬกะต่อกัน เป็นอาจารย์ใหญ่บอกไตรเพทแก่หมู่ศิษย์ เหมกมาณพพร้อมกับมาณพเพื่อนผู้เป็นศิษย์ ได้ออกบวชติดตามไปด้วย ฯ

ในวันหนึ่งพราหมณ์พาวรีได้ทราบข่าวว่า พระราชโอรสของพระเจ้าศากยราชเสด็จออกทรงบรรพชา ปฏิญญาพระองค์ว่าเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ แสดงธรรมสั่งสอนแก่ประชุมชน มีคนนับถือและเลื่อมใส ยอมตนเป็นสาวกประพฤติและปฏิบัติตามเป็นอันมาก พราหมณ์พาวรีคิดหลากใจใคร่สืบสวนให้ได้ความจริง จึงเรียกมาณพ ๑๖ คน มีอชิตมาณพเป็นหัวหน้า ผูกปัญหาให้คนละหมวดๆ ให้ไปกราบทูลถามดู

เหมกมาณพอยู่ในจำนวนมาณพเหล่านั้นด้วย ลาอาจารย์แล้ว พาบริวารเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดาที่ปาสาณเจดีย์ แว่นแคว้นมคธ กราบทูลขอโอกาสถามปัญหา เมื่อได้รับพระบรมพุทธานุญาตแล้ว เหมกมาณพจึงได้ทูลถามปัญหาเป็นคนที่ ๘ ว่า
            

เหมกมาณพ. ในปางก่อนแต่ศาสนาของพระองค์ อาจารย์ทั้งหลายได้ยืนยันว่าอย่างนั้นได้เคยมีมาแล้ว อย่างนี้จักมีต่อไปข้างหน้า คำนั้นล้วนเป็นแต่ว่าอย่างนี้แลๆ สำหรับแต่จะทำความตรึกฟุ้งให้มากขึ้น ข้าพระพุทธเจ้าไม่พอใจในคำนั้นเลย ขอพระองค์ตรัสบอกธรรมเป็นเหตุถอนตัณหา ที่ข้าพระพุทธเจ้าทราบแล้ว จะพึงเป็นคนมีสติล่วงตัณหา อันให้ติดอยู่ในโลกแก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิด ฯ
            
พระบรมศาสดา ทรงพยากรณ์ว่า ชนเหล่าใด ได้รู้ว่าพระนิพพานเป็นที่บรรเทาความกำหนัดพอใจในอารมณ์เป็นที่รัก ซึ่งได้เห็นแล้ว ได้ฟังแล้ว ได้ดมแล้ว ได้ชิมแล้ว ได้ถูกต้องแล้ว และได้รู้ด้วยใจ และเป็นธรรมไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นแล้ว เป็นคนมีสติ มีธรรมอันเห็นแล้วดับกิเลสได้แล้ว ชนผู้สงบระงับกิเลสได้นั้น ข้ามล่วงตัณหาอันให้ติดอยู่ในโลก ฯ
            

ในเวลาจบเทศนาปัญหาพยากรณ์ เหมกมาณพพร้อมด้วยศิษย์ที่เป็นบริวารได้บรรลุพระอรหัตผล ฯ เมื่อมาณพนอกนั้นทูลถามปัญหาของตน ฯ และพระพุทธองค์ทรงพยากรณ์เสร็จแล้ว จึงพร้อมกันทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ฯ

ท่านพระเหมกะนั้น เมื่อดำรงเบญจขันธ์อยู่ ได้ช่วยทำกิจพระศาสนาตามหน้าที่ ท่านดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๖   

ประวัติพระโตเทยยเถระ

3.png



ท่านพระโตเทยยะ เป็นบุตรพราหมณ์ในพระนครสาวัตถี เมื่อมีอายุสมควรแก่การเล่าเรียนแล้ว ได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาในสำนักพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ฯ

ครั้นต่อมาพราหมณ์พาวรีมีความเบื่อหน่ายในฆราวาส จึงกราบบังคมทูลลาพระเจ้าปเสนทิโกศลออกจากหน้าที่ปุโรหิต เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว ได้ออกบวชเป็นชฎิล ประพฤติพรตตามลัทธิของพราหมณ์ ตั้งอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ในที่พรมแดนแห่งเมืองอัสสกะและอาฬกะต่อกัน เป็นคณาจารย์ใหญ่บอกไตรเพทแก่หมู่ศิษย์ โตเทยยมาณพพร้อมกับมาณพอื่นผู้เป็นศิษย์กับทั้งบริวาร ได้ออกบวชติดตามไปศึกษาศิลปวิทยาอยู่ด้วย ฯ

ในวันหนึ่งพราหมณ์พาวรีได้ทราบว่า พระสมณโคดมผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าศากยราช เสด็จออกบรรพชา กิตติศัพท์ปรากฏไปในทิศานุทิศว่า พระองค์ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบประกอบไปด้วยพระมหากรุณา เสด็จเที่ยวเทศนาสั่งสอนประชุมชน มีคนนับถือและเลื่อมใส ยอมตนเป็นสาวกประพฤติตามคำสั่งสอนเป็นอันมาก พราหมณ์พาวรีใคร่จะสืบสวนให้ได้ความจริง จึงเรียกมาณพผู้เป็นศิษย์ ๑๖ คน มีอชิตมาณพเป็นหัวหน้า ผูกปัญหาให้คนละหมวดๆ ให้ไปกราบทูลถามดู

โตเทยยมาณพอยู่ในจำนวนนั้นด้วย มาณพ ๑๖ คน ลาอาจารย์ แล้วพาบริวารไปเฝ้าพระบรมศาสดา ซึ่งประทับอยู่ที่ปาสาณเจดีย์ แคว้นมคธ ทูลขอโอกาสถามปัญหา ครั้นพระบรมศาสดาทรงอนุญาตแล้ว โตเทยยมาณพได้ทูลถามปัญหาเป็นคนที่ ๙ ว่า

โตเทยยมาณพ. กามทั้งหลาย ไม่ตั้งอยู่ในผู้ใด ตัณหาของผู้ใดไม่มี และผู้ใดข้ามล่วงความสงสัยเสียได้ ความพ้นของผู้นั้นเป็นเช่นไร ?

พระบรมศาสดา ทรงพยากรณ์ว่า ความพ้นของผู้นั้นที่จะเป็นอย่างอื่นอีกไม่มี (อธิบายว่าผู้พ้นจากกาม จากตัณหา จากความสงสัยแล้ว กามก็ดี ตัณหาก็ดี ความสงสัยก็ดี จะกลับเกิดขึ้น ผู้นั้นจะต้องเพียรพยายาม เพื่อจะทำตนให้พ้นไปอีกหามีไม่ ความพ้นของผู้นั้นเป็นอันคงที่ไม่แปรผันเป็นอย่างอื่น) ฯ

ต. ผู้นั้นเป็นคนมีความหวังทะเยอทะยานหรือไม่มี เป็นคนมีปัญญาแท้หรือเป็นแต่ก่อตัณหาและทิฎฐิให้เกิดขึ้นด้วยปัญญา ข้าพระพุทธเจ้าจะรู้จักท่านผู้มุนีนั้นได้อย่างไร ขอพระองค์ตรัสบอกแก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิด ฯ

พ. ผู้นั้นเป็นผู้ที่ไม่มีความหวังทะเยอทะยาน จะเป็นคนมีความหวังทะเยอทะยานก็หาไม่ เป็นคนมีปัญญาแท้ จะเป็นแต่คนก่อตัณหาทิฏฐิให้เกิดด้วยปัญญาก็หาไม่ ท่านจงรู้จักมุนีว่า คนไม่มีกังวลไม่ติดอยู่ในกามภพอย่างนี้เถิด ฯ

ในที่สุดแห่งการพยากรณ์ปัญหา โตเทยยมาณพพร้อมด้วยมาณพอีก ๑๕ คน กับทั้งบริวาร ทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ฯ ท่านพระโตเทยยะดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ


4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๗   

ประวัติพระกัปปเถระ

3.png



ท่านพระกัปปะ เกิดในสกุลพราหมณ์ในนครสาวัตถี เดิมชื่อว่า กัปปมาณพ เมื่อเจริญวัยแล้ว ได้ไปศึกษาศิลปวิทยาอยู่ในสำนักของพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล

ครั้นต่อมาพราหมณ์พาวรีมีความเบื่อหน่ายในฆราวาส ทูลลาออกจากตำแหน่งปุโรหิต พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงอนุญาตแล้ว ได้ออกบวชเป็นชฎิลประพฤติพรตตามลัทธิของพราหมณ์ เป็นคณาจารย์ใหญ่บอกไตรเพทแก่หมู่ศิษย์ ตั้งอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ในที่พรมแดนแห่งเมืองอัสสกะและเมืองอาฬกะต่อกัน ฯ กัปปมาณพพร้อมด้วยมาณพอื่นผู้เป็นศิษย์กับทั้งบริวาร ได้ออกบวชติดตามไปศึกษาศิลปวิทยาอยู่ด้วย ฯ

ครั้นต่อมาพราหมณ์พาวรีได้ทราบว่า พระราชโอรสของพระเจ้าศากยราชเสด็จออกบรรพชา ปฏิญญาพระองค์ว่าเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ประกอบไปด้วยพระมหากรุณา เสด็จเที่ยวเทศนาสั่งสอนแก่ประชุมชน มีคนเชื่อและเลื่อมใส ยอมตนเป็นสาวกประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งสอนเป็นอันมาก พาวรีคิดหลากใจ ใคร่สืบสวนให้ได้ความจริง จึงผูกปัญหาให้แก่มาณพผู้เป็นศิษย์ ๑๖ คน มีอชิตมาณพผู้เป็นหัวหน้าให้ไปทูลถามดู เพื่อจะได้รู้ความจริง

กัปปมาณพคนหนึ่งซึ่งอยู่ในจำนวนนั้น ได้ลาอาจารย์ แล้วพร้อมด้วยมาณพ ๑๕ คน กับทั้งบริวารพากันไปเฝ้าพระบรมศาสดา ซึ่งเสด็จประทับอยู่ที่ปาสาณเจดีย์ แคว้นมคธ ทูลขอโอกาสถามปัญหา เมื่อพระบรมศาสดาทรงอนุญาตแล้ว กัปปมาณพจึงทูลถามปัญหาเป็นคนที่ ๑๐ ว่า
            

กัปปมาณพ. ขอพระองค์ตรัสบอกธรรม ซึ่งจะเป็นที่พึ่งพำนักของชนอันชราและมรณะมาถึงรอบข้าง ดุจเกาะอันเป็นที่พึ่งพำนักอาศัยของชนผู้ตั้งอยู่ในท่ามกลางสาครเมื่อเกิดคลื่นใหญ่ที่น่ากลัว แก่ข้าพระพุทธเจ้า อย่าให้ทุกข์นี้มีได้อีก ?
            
พระบรมศาสดา ทรงพยากรณ์ว่า เรากล่าวว่า นิพพานอันไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ไม่มีตัณหาเครื่องถือมั่น เป็นที่สิ้นแห่งชราและมรณะนี้แลเป็นดุจเกาะ หาใช่ธรรมอื่นไม่ ชนเหล่าใดรู้นิพพานนี้แล้วเป็นคนมีสติ มีธรรมอันเห็นแล้ว ดับกิเลสได้แล้ว ชนเหล่านั้นไม่ต้องตกอยู่ในอำนาจของมาร ไม่ต้องเดินไปในทางของมารเลย ฯ

ในที่สุดการพยากรณ์ปัญหา กัปปมาณพได้บรรลุพระอรหัตผล เมื่อจบโสฬสปัญหาพยากรณ์แล้ว กัปปมาณพพร้อมด้วยมาณพอีก ๑๕ คน กับทั้งบริวาร ทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ก็อนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ท่านพระกัปปะดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๒๘   

ประวัติพระชตุกัณณีเถระ

3.png



ท่านพระชตุกัณณี เป็นบุตรพราหมณ์ในนครสาวัตถี เมื่อมีอายุพอสมควรแก่การเล่าเรียนแล้ว ได้ไปศึกษาศิลปวิทยาอยู่ในสำนักของพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ฯ

ครั้นต่อมาพราหมณ์พาวรีมีความเบื่อหน่ายในฆราวาส จึงขอกราบทูลลาพระเจ้าปเสนทิโกศลออกจากหน้าที่ปุโรหิต เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว ได้ออกบวชเป็นชฎิล ประพฤติพรตตามลัทธิของพราหมณ์ เป็นคณาจารย์สั่งสอนไตรเพทแก่หมู่ศิษย์ ตั้งอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ในที่พรมแดนแห่งเมืองอัสสกะและอาฬกะต่อกัน ฯ ชตุกัณณีมาณพพร้อมด้วยมาณพอื่นผู้เป็นศิษย์กับทั้งบริวาร ได้ออกบวชติดตามไปศึกษาศิลปวิทยา ฯ

ครั้งหนึ่งพราหมณ์พาวรีได้ทราบข่าวว่า พระราชโอรสของพระเจ้าศากยราชเสด็จออกทรงผนวชได้สำเร็จพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ประทานโอวาทสั่งสอนแก่ประชุมชน มีคนนับถือและเลื่อมใส ยอมตนเป็นสาวกประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งสอนเป็นอันมาก พราหมณ์พาวรีใคร่จะสืบสวนให้ได้ความจริง จึงเรียกมาณพผู้เป็นศิษย์ ๑๖ คน มีอชิตมาณพเป็นหัวหน้า ได้ผูกปัญหาให้คนละหมวดๆ ให้ไปทูลถามลองดู เพื่อจะได้รู้ความจริง ฯ

ชตุกัณณีคนหนึ่งได้อยู่ในจำนวนนั้น จึงพร้อมกันลาอาจารย์ พาบริวารไปเฝ้าพระบรมศาสดา ซึ่งเสด็จประทับอยู่ที่ปาสาณเจดีย์ แว่นแคว้นมคธ ทูลขอโอกาสถามปัญหา ครั้นพระบรมศาสดาทรงอนุญาตแล้ว ชตุกัณณีมาณพทูลถามปัญหาเป็นคนที่ ๑๑ ว่า

ชตุกัณณีมาณพ. ข้าพระพุทธเจ้าได้ทราบว่า พระองค์ไม่ใช่ผู้ใคร่กาม ข้ามล่วงห้วงกิเลสเสียได้แล้ว จึงมาเฝ้าเพื่อจะทูลถามพระองค์ผู้หากิเลสกามมิได้ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีปัญญาดุจดวงตาอันเกิดพร้อมกับตรัสรู้ จงแสดงธรรมอันระงับกิเลสแก่ข้าพระพุทธเจ้าโดยถ่องแท้ เหตุว่าพระองค์ทรงผจญกิเลสกามให้แห้งหาย ดุจพระอาทิตย์อันส่องแผ่นดินให้แห้งด้วยรัศมี ขอพระองค์ผู้มีปัญญากว้างขวางราวกะแผ่นดิน ตรัสบอกธรรมเป็นเครื่องละชาติชราในอัตภาพนี้ ที่ข้าพระพุทธเจ้าควรจะทราบ แก่ข้าพระพุทธเจ้าผู้มีปัญญาน้อยด้วยเถิด ฯ

พระบรมศาสดา ทรงพยากรณ์ว่า ท่านจงนำความกำหนัดในกามออกเสียให้สิ้น เห็นความออกไปจากกามโดยความเกษมเถิด กิเลสเครื่องกังวลที่ท่านยึดถือไว้ ตัณหาและทิฏฐิซึ่งควรจะสละเสีย อย่าเสียดแทงใจของท่านได้ กังวลใดได้มีแล้วในปางก่อน ท่านจงให้กังวลนั้นเหือดแห้งเสีย กังวลในภายหลังอย่าได้มีแก่ท่าน ถ้าท่านจักไม่ถือกังวลในท่ามกลาง ท่านจักเป็นคนสงบระงับกังวลได้เที่ยวไปอยู่ อาสวะ (กิเลส) ซึ่งเป็นเหตุถึงอำนาจมัจจุราชของชนผู้ปราศจากความกำหนัดในนามรูปโดยอาการทั้งปวงมิได้มี ฯ

ในที่สุดแห่งการพยากรณ์ปัญหา ชตุกัณณีมาณพได้บรรลุพระอรหัตผล เมื่อจบโสฬสปัญหาพยากรณ์แล้ว ชตุกัณณีมาณพพร้อมด้วยมาณพอีก ๑๕ คน กับทั้งบริวาร ทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ท่านพระชตุกัณณีดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน ฯ

4.png


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-4-26 16:00 , Processed in 0.099267 second(s), 16 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.