แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 6481|ตอบ: 0
go

วันมาฆบูชา [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

วันมาฆบูชา/ {) a7 L3 M7 q$ }5 s

6 E3 }* S6 G  R9 ^8 M
1 ?& Q- v+ d- H& ~6 Z6 w; Y, z( K7 X* ?& ~( S7 X3 N
ความหมายวันมาฆบูชา
: @& W7 r" z1 Fวันมาฆบูชา หมายถึง การบูชา ในวันเพ็ญเดือน ๓ เนื่องในโอกาสคล้าย วันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์
, V7 m/ {0 [% U( m0 ^0 S3 l! m0 b; L/ [6 f+ i
ความสำคัญวันมาฆบูชา; F0 G" m  k( r' I
วันมาฆบูชา เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ มีเหตุการณ์อัศจรรย์ที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าจำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ โดยมิได้นัดหมายกันพระสงฆ์ ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์
1 B8 T; R4 ]% f  z# w4 c1 a: J, o% k+ X  ^, d! g' p  |
ผู้ได้อภิญญา ๖และเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบท โดยตรงจากพระพุทธเจ้า ในวันนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งเป็นทั้งหลักการอุดมการณ์และวิธีการปฏิบัติที่ นำไปใช้ได้ทุกสังคม มีเนื้อหา โดยสรุปคือให้ละ' V) f  F# k5 B$ _5 Z' A
1 l3 A8 K: r9 A! F- v
ความชั่วทุกชนิด ทำความดี ให้ถึงพร้อมและทำจิตใจให้ผ่องใส
6 }4 {" W! L8 Z1 ]% N
. r5 p' R' J$ L: \  `6 M8 ~" Oประวัติความเป็นมาวันมาฆบูชา
+ G6 W( T9 G  B( P* p# H๑. ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๙ เดือนขณะนั้นเมื่อเสร็จพุทธกิจแสดงธรรมที่ถ้ำสุกรขาตาแล้ว เสด็จมาประทับที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ประเทศอินเดียในปัจจุบัน วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ เดือนมาฆะหรือเดือน
: R# J% Q$ n; U4 F$ I7 X& ^, O. o+ c3 }9 c
๓ในเวลาบ่ายพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า มาประชุม พร้อมกัน ณ ที่ประทับของพระพุทธเจ้า นับเป็นเหตุอัศจรรย์ ที่มีองค์ประกอบสำคัญ ๔ ประการ เรียกว่าว่า วันจาตุรงคสันนิบาต' p( d! |$ F, |' R" w8 r
- |# n1 A% S5 F8 O& i5 x5 U& g
คำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" แยกศัพท์ได้ดังนี้ คือ  \( K0 d. x( c0 S; S

  Z& \! {; W3 {8 x$ r"จาตุร" แปลว่า ๔ / M$ R; S" b) H2 ^6 _, {
"องค์" แปลว่า ส่วน
) t( g2 [; f- I6 U"สันนิบาต" แปลว่า ประชุม / n; X6 k/ G/ C4 ^. k! Z; ^7 L
ฉะนั้นจาตุรงคสันนิบาตจึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ ๔" กล่าวคือมีเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวันนี้ คือ- m% q* M. `6 Z3 F

* r. J, j9 k2 T* v- j6 z1. เป็นวันที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันที่เวฬุวันวิหารในกรุงราชคฤห์ โดยมิได้นัดหมาย& K$ b  D3 I/ K4 r- H8 r

4 c7 u/ p3 P/ z& ]# l2. พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น( H7 i7 d1 m+ B# s
: ~" ]+ K/ q9 S2 O0 p
3. พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ที่ได้มาประชุมในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นผุ้ได้บรรลุพระอรหันต์แล้วทุก ๆองค์
! I0 @5 {* x! y( m  ^9 U# {0 u) K) ?( P+ E/ J; }" w% G4 I) v9 w( L
4. เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงกำลังเสวยมาฆฤกษ
( {7 x8 _' A( N8 \4 S7 t/ V( G" D. I' U: F( n
ประวัติวันมาฆบูชา
5 x, E- n, w/ N! ^  ^7 X
0 ]3 G/ U6 q# u! K. xมูลเหตุ
/ g) Y8 y3 J" ^6 G! R1 Bหลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 และได้ทรงประกาศพระศาสนาและส่งพระอรหันตสาวกออกไปจาริกเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนายังสถานที่ต่าง ๆ ล่วงแล้วได้ 9 เดือน ในวันที่ใกล้พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (วันขึ้น 15 ค่ำ
1 Y: G: J* P+ a* G1 P( M/ R
/ C. f5 |9 S9 e. V  P! ]" t4 hเดือน 3) พระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้นต่างได้ระลึกว่า วันนี้เป็นวันสำคัญของศาสนาพราหมณ์ อันเป็นศาสนาของตนอยู่เดิม ก่อนที่จะหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า และในลัทธิศาสนาเดิมนั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือนมาฆะ เหล่าผู้ศรัทธา1 _6 v3 _# D, m) _0 o5 ^
/ R) k: B" N+ L0 q
พราหมณลัทธินิยมนับถือกันว่าวันนี้เป็นวันศิวาราตรี โดยจะทำการบูชาพระศิวะด้วยการลอยบาปหรือล้างบาปด้วยน้ำ แต่มาบัดนี้ตนได้เลิกลัทธิเดิมหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแล้ว จึงควรเดินทางไปเข้าเฝ้าบูชาฟังพระสัทธรรมจาก' h% i* Z5 d' O

  j9 W: o- m6 @" f  i: Dพระพุทธเจ้า พระอรหันต์เหล่านั้นซึ่งเคยปฏิบัติศิวาราตรีอยู่เดิม จึงพร้อมใจกันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้นัดหมาย4 }, s4 w3 [: Y' l8 z% C
2 _" }, ]" y$ J: ~) S' N4 l' r
มีผู้กล่าวว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้พระสาวกทั้ง 1,250 องค์มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย มาจากในวันเพ็ญเดือน 3 ตามคติพราหมณ์ เป็นวันพิธีศิวาราตรี พระสาวกเหล่านั้นซึ่งเคยนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อนจึงได้เปลี่ยนจากการรวมตัว7 e0 V9 u6 ]+ W) z; ~' c* P7 q; u
8 \1 v; {" n; X) o! H
กันทำพิธีชำระบาปตามพิธีพราหมณ์ มารวมกันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแทน
! z7 k' d* o5 q( x3 B
6 N- b& s. L, L/ O( L# t# F) \- @' I" o0 a7 o- O/ _
% `4 p/ B& S# l' f' @9 ?4 L
โอวาทปาฏิโมกข์
7 Q5 o0 o4 v9 O* o& fหลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุวนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียก' R/ Y1 G* G1 v' M  }

1 z, l  i' ~! m- jกันว่าวันมาฆบูชา (ถรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ตลอดมา เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา), คาถาโอวาทปาฏิโมกข์ มีดังนี้ (โอวาทปาติโมกข์ ก็เขียน)
: z+ z0 l1 V+ _( |  r4 ^# V$ \% S% h+ w7 d5 V8 A% A
สพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทา$ ?" W+ W; g# ^% [
สจิตฺตปริโยทปนํเอตํ พุทธาน สาสนํฯ
" Q% H' i# _  C: z" {ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
: _$ n5 T: W5 k% C+ Pนิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
; w2 c# X4 P) l: rน หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
& b. |' n# G3 }" y8 v6 yสมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ  q2 x) D6 z/ Q3 Q' b
อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร
2 h* C! a& }1 }* F7 D$ bมตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ) w' s# g( I0 F7 H, j3 g0 Y4 O
อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ
; l4 k) H& K8 D- C9 N, d% t# ~8 d2 s
แปล : การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๑ การบำเพ็ญแต่ความดี ๑ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง, พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพาน เป็นบรมธรรม, ผู้ทำร้ายคน
# r2 j& F2 Z  s* L5 U8 m3 [' o) Q$ g7 c$ `. h* n. h
อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต,ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะการไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ ความสำรวมในปาฏิโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ๑ ที่นั่งนอนอันสงัด ๑ ความเพียรในอธิจิต ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้ง
" J/ r( O/ p1 s% ^* j! G, w* b9 b" K6 L. O  f3 X
หลายที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส" s: T" i' Q6 @

6 U) d: V- p. M8 I- M8 fสถานที่สำคัญเนื่องด้วยวันมาฆบูชา (พุทธสังเวชนียสถาน): o: ~$ l) N2 q% W. T: P! n# {8 w$ {

0 r) e0 i% o# l, m6 Vพระพุทธรูปยืนกลางมณฑลมหาสังฆสันนิบาต ในโบราณสถานวัดเวฬุวันมหาวิหาร เมืองราชคฤห์ รัฐพิหาร อินเดีย (เป็นพระพุทธรูปสร้างใหม่ ปัจจุบันเป็นสถานที่จาริกแสวงบุญสำคัญของชาวพุทธทั่วโลก)เหตุการณ์สำคัญที่เกิดในวันมาฆบูชา เกิด
0 G6 L$ z# z: x: c
- B1 J, h3 H8 G4 W  W! gภายในบริเวณที่ตั้งของ "กลุ่มพุทธสถานโบราณวัดเวฬุวันมหาวิหาร" ภายในอาณาบริเวณของวัดเวฬุวันมหาวิหาร ซึ่งลานจาตุรงคสันนิบาตอันเป็นจุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชานั้น ยังคงเป็นที่ถกเถียงและหาข้อสรุปทาง) n+ I8 L" n8 H( ^/ d6 {

* q( B' `4 w3 T0 M/ E) v. [% Z' j9 V4 X) kโบราณคดีไม่ได้มาจนถึงปัจจุบัน
7 b8 {  J0 Q  C0 N7 Y" d8 F' X: E) w8 l% O! G; V7 j" S1 k+ X
วัดเวฬุวันมหาวิหาร, R1 |1 t+ i/ S" r' F
"วัดเวฬุวันมหาวิหาร" เป็นอาราม (วัด) แห่งแรกในพระพุทธศาสนา ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขาเวภารบรรพต บนริมฝั่งแม่น้ำสรัสวดีซึ่งมีตโปธาราม (บ่อน้ำร้อนโบราณ) คั่นอยู่ระหว่างกลาง นอกเขตกำแพงเมืองเก่าราชคฤห์ (อดีตเมืองหลวงของแคว้นมคธ) รัฐ/ s, W4 \2 A$ i
& d% w( B! w+ E) S3 T
พิหาร ประเทศอินเดียในปัจจุบัน (หรือ แคว้นมคธ ชมพูทวีป ในสมัยพุทธกาล)* L; q0 e2 \) ?1 ~2 e6 \5 s
' D9 u$ X5 ~$ u& X0 z

( q  q5 \9 o  P5 r4 {0 A" l: a/ _: d1 z' I1 \7 Z! P
วัดเวฬุวันในสมัยพุทธกาล
4 G) i. j% {' Z2 Y% g. |1 Gเดิมวัดเวฬุวันเป็นพระราชอุทยานสำหรับเสด็จพระพาสของพระเจ้าพิมพิสาร เป็นสวนป่าไผ่ร่มรื่นมีรั้วรอบและกำแพงเข้าออก เวฬุวันมีอีกชื่อหนึ่งปรากฏในพระสูตรว่า "พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน"หรือ "เวฬุวันกลันทกนิวาป" (สวนป่าไผ่
; Q% P7 F* m8 C$ n, D0 S; m. b9 j3 p8 b. O( `- Y
สถานที่สำหรับให้เหยื่อแก่กระแต) พระเจ้าพิมพิสารได้ถวายพระราชอุทยานแห่งนี้เป็นวัดในพระพุทธศาสนาหลังจากได้สดับพระธรรมเทศนาอนุปุพพิกถาและจตุราริยสัจจ์ ณ พระราชอุทยานลัฏฐิวัน (พระราชอุทยานสวนตาลหนุ่ม) โดยในครั้งนั้น
' t4 n0 k) V' {6 r* `: O; z$ [7 j; i7 y2 I3 w  V: O
พระองค์ได้บรรลุพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา และหลังจากการถวายกลันทกนิวาปสถานไม่นาน อารามแห่งนี้ก็ได้ใช้เป็นสถานที่สำหรับพระสงฆ์ประชุมจาตุรงคสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา อันเป็นเหตุการณ์สำคัญใน
4 U/ I5 A9 s& m4 ~8 C7 r1 S
* ?; d& f& j8 P# g: Xวันมาฆบูชา# X, J4 J* a/ C' ~
" ?+ R! `, F6 G( N- F6 d
วัดเวฬุวันหลังการปรินิพพาน
8 G  \, M( V* f* Iหลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน วัดเวฬุวันได้รับการดูแลมาตลอด โดยเฉพาะมูลคันธกุฎีที่มีพระสงฆ์เฝ้าดูแลทำการปัดกวาดเช็ดถูปูลาดอาสนะและปฏิบัติต่อสถานที่ ๆ พระพุทธเจ้าเคยประทับอยู่ทุก ๆ แห่ง เหมือนสมัยที่พระพุทธองค์ทรงพระชนม- b4 l) T9 g& P% J) z+ Q

7 r3 {; `  b, p7 C" T. l7 Cชีพอยู่มิได้ขาด โดยมีการปฏิบัติเช่นนี้ติดต่อกันกว่าพันปี; j2 _# |6 d: E

9 @' r7 \; O( ?2 Cแต่จากเหตุการณ์ย้ายเมืองหลวงแห่งแคว้นมคธหลายครั้งในช่วง พ.ศ. 70 ที่เริ่มจากอำมาตย์และราษฎรพร้อมใจกันถอดกษัตริย์นาคทัสสก์แห่งราชวงศ์ของพระเจ้าพิมพิสารออกจากพระราชบัลลังก์ และยกสุสูนาคอำมาตย์ซึ่งมีเชื้อสายเจ้าลิจฉวีในกรุง' f/ s8 ~) W$ ^2 I
$ f" n5 W6 [& B" Y$ h) w( u
เวสาลีแห่งแคว้นวัชชีเก่า ให้เป็นกษัตริย์ตั้งราชวงศ์ใหม่แล้ว พระเจ้าสุสูนาคจึงได้ทำการย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธไปยังเมืองเวสาลีอันเป็นเมืองเดิมของตน และกษัตริย์พระองค์ต่อมาคือพระเจ้ากาลาโศกราช ผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุสูนาค
: n( l/ F! m" m& \" E8 l
+ F: W% f, I' u/ C$ dได้ย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธอีก จากเมืองเวสาลีไปยังเมืองปาตลีบุตร ทำให้เมืองราชคฤห์ถูกลดความสำคัญลงและถูกทิ้งร้าง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้วัดเวฬุวันขาดผู้อุปถัมภ์และถูกทิ้งร้างอย่างสิ้นเชิงในช่วงพันปีถัดมา& q, r& c) }2 g" p

9 E. c/ G" U4 N+ }# m; Z# ^โดยปรากฏหลักฐานบันทึกของหลวงจีนฟาเหียน (Fa-hsien) ที่ได้เข้ามาสืบศาสนาในพุทธภูมิในช่วงปี พ.ศ. 942 - 947 ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าจันทรคุปต์ที่ ๒ (พระเจ้าวิกรมาทิตย์) แห่งราชวงศ์คุปตะ ซึ่งท่านได้บันทึกไว้ว่า เมืองราชคฤห์อยู่
" L. L/ m9 P! W% T% U1 ]; Q
' _. Q0 G* w6 s4 {  [" nในสภาพปรักหักพัง แต่ยังทันได้เห็นมูลคันธกุฎีวัดเวฬุวันปรากฏอยู่ และยังคงมีพระภิกษุหลายรูปช่วยกันดูแลรักษาปัดกวาดอยู่เป็นประจำ แต่ไม่ปรากฏว่ามีการบันทึกถึงสถานที่เกิดเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตแต่ประการใด3 r: G0 }4 ~+ c. \* L' G, v" ?( U

4 V$ I  Q( u3 P; O, I) Nแต่หลังจากนั้นประมาณ 200 ปี วัดเวฬุวันก็ถูกทิ้งร้างไป ตามบันทึกของพระถังซำจั๋ง (Chinese traveler Hiuen-Tsang) ซึ่งได้จาริกมาเมืองราชคฤห์ราวปี พ.ศ. 1300 ซึ่งท่านบันทึกไว้แต่เพียงว่า ท่านได้เห็นแต่เพียงซากมูลคันธกุฎีซึ่งมี
0 d, w) V; j1 ?/ T! I( K2 d& y( `* e, P! i
กำแพงและอิฐล้อมรอบอยู่เท่านั้น (ในสมัยนั้นเมืองราชคฤห์โรยราถึงที่สุดแล้ว พระถังซำจั๋งได้แต่เพียงจดตำแหน่งที่ตั้งทิศทางระยะทางของสถูปและโบราณสถานเก่าแก่อื่น ๆ ในเมืองราชคฤห์ไว้มาก ทำให้เป็นประโยชน์แก่นักประวัติศาสตร์และนัก1 R9 V$ S+ t5 |8 M6 h. _
% |. X/ k$ g, i) r( p  I+ P8 t, G
โบราณคดีในการค้นหาโบราณสถานต่าง ๆ ในเมืองราชคฤห์ในปัจจุบัน)
" h0 c" s2 i* I" r5 n. m, H; P: p- Z; C+ t
จุดแสวงบุญและสภาพของวัดเวฬุวันในปัจจุบัน5 y: x' @- y, o$ A1 W5 r3 k
ปัจจุบันหลังถูกทอดทิ้งเป็นเวลากว่าพันปี และได้รับการบูรณะโดยกองโบราณคดีอินเดียในช่วงที่อินเดียยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ วัดเวฬุวัน ยังคงมีเนินดินโบราณสถานที่ยังไม่ได้ขุดค้นอีกมาก สถานที่สำคัญ ๆ ที่พุทธศาสนิกชนในปัจจุบันนิยม
, v9 e* `# N  l" }! B& E9 e, I, k" |) P0 v
ไปนมัสการคือ "พระมูลคันธกุฎี" ที่ปัจจุบันยังไม่ได้ทำการขุดค้น เนื่องจากมีกุโบร์ของชาวมุสลิมสร้างทับไว้ข้างบนเนินดิน, "สระกลันทกนิวาป" ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลอินเดียได้ทำการบูรณะใหม่อย่างสวยงาม, และ "ลานจาตุรงคสันนิบาต" อันเป็นลานเล็ก
5 G4 j6 H, Y$ y0 l' a7 Q) ^* Y5 _7 I% {  {$ ~1 ]
ๆ มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางประทานพรอยู่กลางซุ้ม ลานนี้เป็นจุดสำคัญที่ชาวพุทธนิยมมาทำการเวียนเทียนสักการะ (ลานนี้เป็นลานที่กองโบราณคดีอินเดียสันนิษฐานว่าพระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ในจุดนี้)4 a7 @4 y/ `) Z0 i' I8 Z- ?* V5 B

6 O- y9 p9 E, jจุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชา (ลานจาตุรงคสันนิบาต)
4 T& D4 R5 v' q. S3 H# aถึงแม้ว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตจะเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งที่เกิดในบริเวณวัดเวฬุวันมหาวิหาร แต่ทว่าไม่ปรากฏรายละเอียดในบันทึกของสมณทูตชาวจีนและในพระไตรปิฎกแต่อย่างใดว่าเหตุการณ์ใหญ่นี้เกิดขึ้น ณ จุดใดของวัดเวฬุวัน รวมทั้ง
; k- }7 w1 o( v  n
+ M/ j  n8 Q) e: E0 \& s% eจากการขุดค้นทางโบราณคดีก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการทำเครื่องหมาย (เสาหิน) หรือสถูประบุสถานที่ประชุมจาตุรงคสันนิบาตไว้แต่อย่างใด (ตามปกติแล้วบริเวณที่เกิดเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนา มักจะพบสถูปโบราณหรือเสาหินพระ* j* n4 N1 @- @& z: S
+ m1 q5 W/ w2 k! m9 ?/ c. U5 o+ t
เจ้าอโศกมหาราชสร้างหรือปักไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายสำคัญสำหรับผู้แสวงบุญ) ทำให้ในปัจจุบันไม่สามารถทราบโดยแน่ชัดว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตเกิดขึ้นในจุดใดของวัด
, J& }1 u$ |1 P  v
+ ]" Z9 W: }2 u% j  ~ในปัจจุบันกองโบราณคดีอินเดียได้แต่เพียงสันนิษฐานว่า "เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดในบริเวณลานด้านทิศตะวันตกของสระกลันทกนิวาป" (โดยสันนิษฐานเอาจากเอกสารหลักฐานว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีพระสงฆ์ประชุมกันมากถึงสองพันกว่ารูป และ
0 w, ~: Z! F! J3 u8 c$ F* u: x
1 d" n+ Z" T; G: F; U# ?เกิดในช่วงที่พระพุทธองค์พึ่งได้ทรงรับถวายอารามแห่งนี้ การประชุมครั้งนั้นคงยังต้องนั่งประชุมกันตามลานในป่าไผ่ เนื่องจากเสนาสนะหรือโรงธรรมสภาขนาดใหญ่ยังคงไม่ได้สร้างขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันลานด้านทิศตะวันตกของสระ
- t. _2 S9 u  A! Q/ l% D$ |1 N! X' @$ a" m+ P7 V1 v- |% ^7 N
กลันทกนิวาป เป็นลานกว้างลานเดียวในบริเวณวัดที่ไม่มีโบราณสถานอื่นตั้งอยู่) โดยได้นำพระพุทธรูปยืนปางประทานพรไปประดิษฐานไว้บริเวณซุ้มเล็ก ๆ กลางลาน และเรียกว่า "ลานจาตุรงคสันนิบาต" ซึ่งในปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่าลาน
7 c9 j# I$ U+ p9 T7 D7 ^9 i/ R  u- ]" G% g& \  m' q
จาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริงอยู่ในจุดใด และยังคงมีชาวพุทธบางกลุ่มสร้างซุ้มพระพุทธรูปไว้ในบริเวณอื่นของวัดโดยเชื่อว่าจุดที่ตนสร้างนั้นเป็นลานจาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริง แต่พุทธศาสนิกชนชาวไทยส่วนใหญ่ก็เชื่อตามข้อสันนิษฐานของกอง
: }% U4 X+ [, _( j; c) f+ _1 Z% {0 b) b/ W
โบราณคดีอินเดียดังกล่าว โดยนิยมนับถือกันว่าซุ้มพระพุทธรูปกลางลานนี้เป็นจุดสักการะของชาวไทยผู้มาแสวงบุญจุดสำคัญ 1 ใน 2 แห่งของเมืองราชคฤห์ (อีกจุดหนึ่งคือพระมูลคันธกุฎีบนยอดเขาคิชกูฏ)
8 s* @) h  O+ G( i% k0 h1 }2 x
/ J$ p5 p& G0 j# ]& J: Dกิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันมาฆบูชา* |* X: ?, M) h* T

7 v3 [8 D! L7 P; z/ r$ d0 g การปฎิบัติตนสำหรับพุทธศาสนาในวันนี้ก็คือ การทำบุญ ตักบาตรในตอนเช้า หรือไม่ก็จัดหาอาหารคาวหวานไปทำบุญฟังเทศน์ที่วัด ตอนบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา ในตอนกลางคืน จะพากันนำดอกไม้ ธูปเทียน ไปที่วัดเพื่อชุมนุมกันทำพิธี
2 m  w# |/ G& O7 j4 S; e; [$ R( _1 o8 b9 s
เวียนเทียน รอบพระอุโบสถ พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์โดยเจ้าอาวาสจะนำว่า นะโม ๓ จบ จากนั้นกล่าวคำ ถวาย ดอกไม้ธูปเทียน ทุกคนว่าตาม จบแล้วเดิน เวียนขวา ตลอดเวลาให้ระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จนครบ ๓ รอบ
% V2 z4 h6 O4 y+ j) y, s5 k5 R3 R4 U6 X& x3 ^  V! ]
แล้วนำดอกไม้ ธูปเทียนไปปักบูชาตามที่ทางวัด เตรียมไว้ เป็นอันเสร็จพิธี" z' [- c) @1 E) n! x
! \/ M( x1 F( |) W( g
ขอบคุณข้อมูลจาก : dhammathai.org,วิกิพีเดีย
; v& s& W3 c1 Z4 Y! Q) N7 O$ Q
9 \: a* J4 d3 B) }2 {# x* t( v! x
& i1 D1 E: ~5 t% [7 ^8 S0 n2 [4 d) }. [
การถือปฏิบัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย: [8 O, q3 `# q( G* n  A
พิธีวันมาฆบูชานี้ เดิมทีเดียวในประเทศไทยไม่เคยทำมาก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายไว้ว่าเกิดขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทรงถือตามแบบของโบราณบัณฑิตที่
+ }3 l, N5 K5 X3 H( k3 {! X! Q
8 X7 T3 @- Z/ g' s1 E# Cได้นิยมกันว่า วันมาฆะบูรณมี พระจันทร์เสวยฤกษ์มาฆะเต็มบริบูรณ์เป็นวันที่พระอรหันต์สาวกของ พระพุทธเจ้า ๑,๒๕๐ รูป ได้ประชุมกันพร้อมด้วยองค์ ๔ ประการ เรียกว่า  @' q) K+ I: w/ d9 O5 ]3 C, c9 p
8 }' q) @( h) b1 p: i$ |" Q
จาตุรงคสันนิบาตพระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เป็นการ ประชุมใหญ่ และเป็นการอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา นักปราชญ์ จึงถือเอาเหตุนั้นประกอบ การสักการบูชาพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวก ๑,๒๕๐ รูปนั้น ให้
6 u, e% k5 a5 I; g/ S! u" l& P
& |- ^) E! ^; W, y) e! r/ Z' t- ~$ z. ]เป็นที่ตั้งแห่งความ เลื่อมใสการประกอบพิธีมาฆะบูชา ได้เริ่มในพระบรมมหาราชวังก่อน  t7 M# b! o9 {, d8 {! m
' v6 e  _2 o9 [
ในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีพิธีการพระราชกุศลในเวลาเช้า พระสงฆ์ วัดบวรนิเวศวิหารและ วัดราชประดิษฐ์ ๓๐ รูป ฉันในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เวลาค่ำ เสด็จออกทรงจุด ธูปเทียนเครื่อง มนัสการแล้ว พระสงฆ์สวดทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว สวด# @+ N& ?! o: A* {5 Y: ~3 E

( a3 L0 ~: [9 T7 ?! xมนต์ต่อไปมี สวดคาถาโอวาทปาติโมกข์ด้วยสวดมนต์ จบทรงจุดเทียนรายตามราวรอบพระอุโบสถ ๑,๒๕๐ เล่ม มีการประโคมอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงมีการเทศนา โอวาทปาติโมกข์
9 b  B+ A, p9 f4 @" @๑ กัณฑ์เป็นทั้งเทศนาภาษาบาลีและ ภาษาไทย เครื่องกัณฑ์ มีจีวรเนื้อดี ๑ ผืน เงิน ๓ ตำลึง และขนมต่าง ๆ เทศนาจบพระสงฆ์ ซึ่งสวดมนต์ ๓๐ รูป สวดรับการประกอบพระราชกุศลเกี่ยวกับ วันมาฆบูชาในสมัยรัชกาลที่ ๔ นั้น พระบาทสมเด็จพระ
. l8 V$ R# F/ a. h4 M! M' @; J, ?
0 H3 |* n- M5 z2 Cจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกประกอบพิธีด้วยพระองค์เองทุกปีมิได้ขาด สมัยต่อมามีการเว้นบ้าง เช่น รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกเองบ้าง มิได้ เสด็จออกเองบ้างเพราะมักเป็นเวลาที่ประสบกับเวลาเสด็จ
3 q. K) p9 e- U  b. Z7 H# X! j
. b+ \& \9 i6 t$ C5 o. e5 iประพาส หัวเมืองบ่อย ๆ หากถูกคราวเสด็จไปประพาสบางปะอินหรือพระพุทธบาท พระพุทธฉาย พระปฐมเจดีย์ พระแท่นดงรัง ก็จะทรงประกอบพิธีมาฆบูชา ในสถานที่นั้น ๆ ขึ้นอีก ส่วนหนึ่งต่างหากจากในพระบรมมหาราชวังเดิมทีมีการประกอบพิธี
+ @1 O, ^0 T& \# |7 _5 r% M' ~0 `/ Z+ R# k; h4 D8 H$ m
ในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาก็ขยายออกไป ให้พุทธบริษัทได้ ปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบสืบมาจนปัจจุบัน มีการบูชา ด้วยการเวียนเทียน และบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ ส่วนกำหนดวันประกอบพิธีมาฆบูชานั้น ปกติตรงกับวันเพ็ญ เดือน ๓ หากปีใด เป็น
$ C1 T' u& `7 E9 k$ X( V& @0 O9 z5 j) d/ v: t3 Z* t+ J0 r) L
อธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหนจะเลื่อนไปตรงกับวันเพ็ญเดือน ๔
& W7 h' K0 M; a4 Z% A. H1 K$ X' n4 \  T6 a: Y

6 ]% H' R/ a( p3 Y% X) h. {. k. S% B& v( @  y6 ]. W+ v( i" N" w3 W
หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติ
# c: U  q1 A8 E' C3 A# Oหลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติได้แก่ โอวาทปาติโมกข์ หมายถึง หลักคำสอนคำสำคัญของพระพุทธศาสนาอันเป็นไปเพื่อป้องกัน และแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตเป็นไปเพื่อความหลุดพ้น หรือคำสอน อันเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา หลักธรรมประกอบด้วย ' I7 {/ b" y1 N0 H; u8 P4 d) j) x
5 }# U/ S9 W' @1 w. c3 U
หลักการ ๓ อุดมการณ์ ๔ วิธีการ ๖ ดังนี้1 F$ ^' A: l  }1 Q0 S; L# ]
  p# E1 Q/ `% b5 j) |8 l8 [+ `
หลักการ ๓
2 {( T7 x2 S. U  r- N. u๑. การไม่ทำบาปทั้งปวง ได้แก่การงดเว้น การลด ละเลิก ทำบาปทั้งปวง ซึ่งได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งความชั่ว มีสิบประการ อันเป็น) n" d1 a: b( m4 Y; W' ?+ h
ความชั่วทางกาย ทางวาจา และทางใจ ความชั่วทางกาย ได้แก่ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติ ผิดในกาม
' b4 B# y! X/ v- N& t* c% sความชั่วทางวาจา ได้แก่ การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดเพ้อเจ้อ - b8 W1 ?8 O+ U) }# ]8 j
ความชั่วทางใจ ได้แก่ การอยากได้สมบัติของผู้อื่น การผูกพยาบาท และความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม" C5 o! r: x+ `  w, A
! E; T3 V) M6 a
๒. การทำกุศลให้ถึงพร้อม ได้แก่ การทำความดีทุกอย่างซึ่งได้แก่ กุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นแบบของการทำฝ่ายดีมี ๑๐ อย่าง อันเป็นความดีทางกาย ทางวาจาและทางใจ6 A+ [, l+ l! \
: y/ d- P% n2 A6 y# O7 c# M
ความดีทางกาย ได้แก่ การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่นมีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ มาเป็นของตน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการไม่ประพฤติผิดในกาม7 k- R: E4 \7 U' h* H
การทำความดีทางวาจา ได้แก่ การไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อพูดแต่คำจริง พูดคำอ่อนหวานพูดคำให้เกิดความสามัคคีและพูดถูกกาลเทศะ
$ Q. t; X! u0 t9 V3 ]การทำความดีทางใจ ได้แก่ การไม่โลภอยากได้ของของผู้อื่นมีแต่คิดเสียสละ การไม่ผูกอาฆาตพยาบาทมีแต่คิดเมตตาและ ปราถนาดีและมีความเห็นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
$ Y: A  e. w+ s# K: U
& X* c* F1 d; B. a" {5 \๓. การทำจิตให้ผ่องใส ได้แก่ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ปราศจากนวรณ์ซึ่งเป็นเครื่องขัดขวางจิตไม่ให้เข้าถึงความสงบ มี ๕ ประการ ได้แก่8 g2 v: ?+ X* y# f- ~

! A( z2 S/ y- `๑. ความพอใจในกาม (กามฉันทะ)
' p5 x/ @9 U" t5 a9 ]๒. ความอาฆาตพยาบาท (พยาบาท)- S! W* u& X# |: I% |
๓. ความหดหู่ท้อแท้ ง่วงเหงาหาวนอน (ถีนะมิทธะ)" \; {4 A7 i! E1 h2 N
๔. ความฟุ้งซ่าน รำคาญ (อุทธัจจะกุกกุจจะ) และ( }% J1 ^0 R% {! p* v8 x! |% |/ p
๕. ความลังเลสงสัย (วิกิจฉา) เช่น สงสัยในการทำความดีความชั่ว ว่ามีผลจริงหรือไม่ วิธีการทำจิตให้ปฏิบัติสมถะผ่องใส ที่แท้จริงเกิดขึ้นจากการละบาปทั้งปวง ด้วยการถือศืลและบำเพ็ญกุศล ให้ถึงพร้อมด้วยการ และวิปัสสนา จนได้บรรลุอรหัตผล / |$ W" J* s$ d8 e% f; I, V
+ ?0 G2 V% B3 }& p( v  d" ?. w$ L$ e
อันเป็นความผ่องใสที่แท้จริง
5 M1 j! A) l  n7 v; n* x; G) q, N0 B1 W* s- l$ M' C
อุดมการณ์ ๔
  {6 z5 }  k7 p# u! I๑. ความอดทน ได้แก่ ความอดกลั้น ไม่ทำบาปทั้งทางกาย วาจา ใจ
* Y6 z1 i  \7 i. i" a- B๒. ความไม่เบียดเบียน ได้แก่ การงดเว้นจากการทำร้าย รบกวน หรือ เบียดเบียนผู้อื่น6 Q+ S, F* n) p$ y2 P: ^6 p) N4 T
๓. ความสงบ ได้แก่ ปฏิบัติตนให้สงบทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ
2 W/ S9 |& d7 F0 h4 _' I. S๔. นิพพาน ได้แก่ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นได้จาการดำเนินชีวิตตามมรรคมีองค์ ๘
& e" U2 u; t8 t  [6 o0 j
3 b+ {9 F: C7 X/ |* bวิธีการ ๖
6 K" i* D9 v! t% B5 u9 m2 E๑. ไม่ว่าร้าย ได้แก่ ไม่กล่าวให้ร้ายหรือ กล่าวโจมตีใคร
! s" p6 c2 z0 y( Z5 n1 M๒. ไม่ทำร้าย ได้แก่ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
0 X7 {- J$ f) z5 i  E/ K๓. สำรวมในปาติโมกข์ ได้แก่ ความเคารพระเบียบวินัย กฎกติกา กฎหมาย รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีของสังคม& v; O: C" K0 x  d2 c6 h) K( A
๔. รู้จักประมาณ ได้แก่ รู้จักความพอดีในการบริโภคอาหารหรือการใช้สอยสิ่งต่าง ๆ
3 |" }1 w* ]# ^' e4 i9 W$ W6 \๕. อยู่ในสถานที่ที่สงัด ได้แก่ อยู่ในสถานที่สงบมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม
8 ]; p6 u( X3 V) W( K! x  V" c% E๖. ฝึกหัดจิตใจให้สงบ ได้แก่ฝึกหัดชำระจิตให้สงบมีสุขภาพคุณภาพและประสิทธิ8 e5 v3 S" R: _4 s
ภาพที่ดี) j' t' C  I" H7 _3 q
! H7 ]8 U/ G' R! T- L; `! X: l) e3 E
ขอบคุณข้อมูลจาก : dhammajak.net/budday/maka.php: n3 ?$ ^. j6 {0 x& \( C

4 R! l; c1 A1 Zที่มา : http://campus.sanook.com/910849/วันมาฆบูชา/
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-5-18 20:07 , Processed in 0.040777 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.