แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 6522|ตอบ: 0
go

วันมาฆบูชา [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

วันมาฆบูชา0 X# O5 a; i1 J1 p
5 V9 d4 {- w# {0 W5 x

- C" z5 X5 h* H
- S2 p% O$ i2 C$ V* m& f/ Fความหมายวันมาฆบูชา
2 p1 _! `7 E3 `4 dวันมาฆบูชา หมายถึง การบูชา ในวันเพ็ญเดือน ๓ เนื่องในโอกาสคล้าย วันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์
6 `1 T. g$ j8 j5 f1 g7 A/ S* K3 L  G. b9 H" f( C
ความสำคัญวันมาฆบูชา
( _/ ~, P, X7 g* _. `& aวันมาฆบูชา เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ มีเหตุการณ์อัศจรรย์ที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าจำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ โดยมิได้นัดหมายกันพระสงฆ์ ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์
; i* C9 E5 f6 |, @2 O( y! G, P" |, Y: d1 N" f
ผู้ได้อภิญญา ๖และเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบท โดยตรงจากพระพุทธเจ้า ในวันนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งเป็นทั้งหลักการอุดมการณ์และวิธีการปฏิบัติที่ นำไปใช้ได้ทุกสังคม มีเนื้อหา โดยสรุปคือให้ละ0 [. H4 t9 @5 k, T5 d9 i

+ ~2 V. K# g* gความชั่วทุกชนิด ทำความดี ให้ถึงพร้อมและทำจิตใจให้ผ่องใส1 @( X) o: N& {# x8 k
' r1 J$ Z  |) k9 ^# X# q
ประวัติความเป็นมาวันมาฆบูชา. l+ P+ u) U; O* G0 a# i. _9 Y
๑. ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๙ เดือนขณะนั้นเมื่อเสร็จพุทธกิจแสดงธรรมที่ถ้ำสุกรขาตาแล้ว เสด็จมาประทับที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ประเทศอินเดียในปัจจุบัน วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ เดือนมาฆะหรือเดือน 3 R) E  o, x/ |, u9 s0 k/ F! o
5 v+ z* i1 Q! U9 |6 ]/ s( g. J# x
๓ในเวลาบ่ายพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า มาประชุม พร้อมกัน ณ ที่ประทับของพระพุทธเจ้า นับเป็นเหตุอัศจรรย์ ที่มีองค์ประกอบสำคัญ ๔ ประการ เรียกว่าว่า วันจาตุรงคสันนิบาต
9 Y# B' H. n& J9 o( Z8 c3 R( n" X2 a' D, R' s) P3 G6 V% Y
คำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" แยกศัพท์ได้ดังนี้ คือ2 l( H! x3 N6 i! G4 G! X

; V8 G2 d8 e1 ^7 @  U"จาตุร" แปลว่า ๔ / B# t  v  M2 Y; k0 W7 m
"องค์" แปลว่า ส่วน
5 H' v! e: U7 L4 |& w  \"สันนิบาต" แปลว่า ประชุม , D7 A6 _+ r# G. b3 t2 |8 C
ฉะนั้นจาตุรงคสันนิบาตจึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ ๔" กล่าวคือมีเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวันนี้ คือ
9 t6 X2 s, j' l  Y  U8 F: G
# z* P# n# f2 s6 s( R/ w! T; X* u* Z% p1. เป็นวันที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันที่เวฬุวันวิหารในกรุงราชคฤห์ โดยมิได้นัดหมาย
3 o% O$ X; R  F& S& X% A; q1 {! w& E& ]/ d# o( o
2. พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น
8 _# f) z; Y; V$ F2 R# ~% |! f
- u' T) M+ O1 b! r0 o- {* _3. พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ที่ได้มาประชุมในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นผุ้ได้บรรลุพระอรหันต์แล้วทุก ๆองค์: C% H, T% w) q* B, J7 W
3 P, \8 J+ l( f" f1 x3 j) G  Q
4. เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงกำลังเสวยมาฆฤกษ
* v2 Q, }7 E/ Y. ?* E
0 ~/ a* i  c1 ?4 q1 Bประวัติวันมาฆบูชา
3 j% t7 x+ N# a( n- X" j7 m! _3 W1 b0 @* _0 T! a3 M
มูลเหตุ
# W  `; v: E: Z4 fหลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 และได้ทรงประกาศพระศาสนาและส่งพระอรหันตสาวกออกไปจาริกเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนายังสถานที่ต่าง ๆ ล่วงแล้วได้ 9 เดือน ในวันที่ใกล้พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (วันขึ้น 15 ค่ำ
8 q. t; B, w+ x4 Z5 A- h4 ?) b- L5 B) O/ m% M) b# Q2 O
เดือน 3) พระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้นต่างได้ระลึกว่า วันนี้เป็นวันสำคัญของศาสนาพราหมณ์ อันเป็นศาสนาของตนอยู่เดิม ก่อนที่จะหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า และในลัทธิศาสนาเดิมนั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือนมาฆะ เหล่าผู้ศรัทธา$ \9 w. s+ F# J/ q2 K- z# N! F+ [

6 U, Z8 D  o' O0 Y: V+ Y( \& Eพราหมณลัทธินิยมนับถือกันว่าวันนี้เป็นวันศิวาราตรี โดยจะทำการบูชาพระศิวะด้วยการลอยบาปหรือล้างบาปด้วยน้ำ แต่มาบัดนี้ตนได้เลิกลัทธิเดิมหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแล้ว จึงควรเดินทางไปเข้าเฝ้าบูชาฟังพระสัทธรรมจาก2 a+ f- T. e% H. `) l: S$ E

- T+ F+ C' p8 O4 e2 C3 g7 V' M) yพระพุทธเจ้า พระอรหันต์เหล่านั้นซึ่งเคยปฏิบัติศิวาราตรีอยู่เดิม จึงพร้อมใจกันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้นัดหมาย, X7 k/ {6 v; ^/ i9 o

3 L" U  `; h! \: t0 B. Dมีผู้กล่าวว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้พระสาวกทั้ง 1,250 องค์มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย มาจากในวันเพ็ญเดือน 3 ตามคติพราหมณ์ เป็นวันพิธีศิวาราตรี พระสาวกเหล่านั้นซึ่งเคยนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อนจึงได้เปลี่ยนจากการรวมตัว
$ L- q* s: T9 c# a3 d$ s0 l( Q2 w' P. s' G* R: f! R& r
กันทำพิธีชำระบาปตามพิธีพราหมณ์ มารวมกันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแทน
( x4 h. v3 y" V$ Z# X! b, _3 v) P+ x- O! ?

  @( `5 r. p6 a
2 ]  }1 @: ~, {  y, b- q9 H0 jโอวาทปาฏิโมกข์ / Q. Q0 s' X. z: g2 y
หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุวนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียก
8 v" q1 }" Y. |/ D/ K, C; f: E$ c4 J) _3 r. }  o* |0 Z
กันว่าวันมาฆบูชา (ถรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ตลอดมา เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา), คาถาโอวาทปาฏิโมกข์ มีดังนี้ (โอวาทปาติโมกข์ ก็เขียน)  t9 k1 l5 i7 X. x2 u8 n5 k

: ]9 Z( Y" K! l; s' m2 Nสพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทา
6 [- q  C, [8 r' jสจิตฺตปริโยทปนํเอตํ พุทธาน สาสนํฯ
% S. J% f/ J, O- B2 Rขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา6 K: X6 `1 H: \5 S- K
นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา: y; o7 Q# y' C! s
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
6 D! y  U! D3 L3 hสมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ! J* c5 C  y' o9 E
อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร5 i4 U& x/ I$ k
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
1 S! D: D/ j% |7 P) l2 K& Yอธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ
4 t) p# R+ O5 W/ J# g: H+ Z' p. Y3 Y7 B/ n! M3 Z1 k& g' j
แปล : การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๑ การบำเพ็ญแต่ความดี ๑ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง, พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพาน เป็นบรมธรรม, ผู้ทำร้ายคน
1 p& j7 u7 Y$ A0 u( k, _
# \' E, {3 Z0 }. O6 H2 u, Jอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต,ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะการไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ ความสำรวมในปาฏิโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ๑ ที่นั่งนอนอันสงัด ๑ ความเพียรในอธิจิต ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้ง, F. G/ ]% X, g4 a. X; p
. H0 t4 A& e  m0 z5 `, W6 d$ J
หลายที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส: g2 y( `! R7 R3 D- J
/ u! T! ?, R  ]% J: o
สถานที่สำคัญเนื่องด้วยวันมาฆบูชา (พุทธสังเวชนียสถาน)) V' Q# _4 F+ G3 J5 J( V5 G
# ?! L. o- \) b1 G& Z
พระพุทธรูปยืนกลางมณฑลมหาสังฆสันนิบาต ในโบราณสถานวัดเวฬุวันมหาวิหาร เมืองราชคฤห์ รัฐพิหาร อินเดีย (เป็นพระพุทธรูปสร้างใหม่ ปัจจุบันเป็นสถานที่จาริกแสวงบุญสำคัญของชาวพุทธทั่วโลก)เหตุการณ์สำคัญที่เกิดในวันมาฆบูชา เกิด
& }$ M  m# {5 Z4 b0 ?# U
- Y( K0 a2 ^* `+ J% N3 M  bภายในบริเวณที่ตั้งของ "กลุ่มพุทธสถานโบราณวัดเวฬุวันมหาวิหาร" ภายในอาณาบริเวณของวัดเวฬุวันมหาวิหาร ซึ่งลานจาตุรงคสันนิบาตอันเป็นจุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชานั้น ยังคงเป็นที่ถกเถียงและหาข้อสรุปทาง
. W: ^9 ]( X' E2 P6 g3 Y8 _
' X! q# t- K6 L' [. |โบราณคดีไม่ได้มาจนถึงปัจจุบัน( J' {7 z. x! W4 @: ]2 e
6 A( P6 g' k% ^: i1 n9 |  {6 r; j
วัดเวฬุวันมหาวิหาร/ q: X. u7 P& G
"วัดเวฬุวันมหาวิหาร" เป็นอาราม (วัด) แห่งแรกในพระพุทธศาสนา ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขาเวภารบรรพต บนริมฝั่งแม่น้ำสรัสวดีซึ่งมีตโปธาราม (บ่อน้ำร้อนโบราณ) คั่นอยู่ระหว่างกลาง นอกเขตกำแพงเมืองเก่าราชคฤห์ (อดีตเมืองหลวงของแคว้นมคธ) รัฐ
  V. W6 `% b  {$ Z0 [8 @, w7 g7 b! L2 q
พิหาร ประเทศอินเดียในปัจจุบัน (หรือ แคว้นมคธ ชมพูทวีป ในสมัยพุทธกาล)/ h8 s* @& E$ u( s: [/ F3 ~

, c, A; h1 {2 a* E; R- Q% W
3 E6 K  j8 O  j. Q" G
  e3 ?8 n0 b( T% E& J( Y8 q2 Bวัดเวฬุวันในสมัยพุทธกาล* j  ~& A% C  k$ c( e3 h
เดิมวัดเวฬุวันเป็นพระราชอุทยานสำหรับเสด็จพระพาสของพระเจ้าพิมพิสาร เป็นสวนป่าไผ่ร่มรื่นมีรั้วรอบและกำแพงเข้าออก เวฬุวันมีอีกชื่อหนึ่งปรากฏในพระสูตรว่า "พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน"หรือ "เวฬุวันกลันทกนิวาป" (สวนป่าไผ่
- s3 a. Y/ I9 ?& E( R: D' S; n' K, i9 x# }: z! E
สถานที่สำหรับให้เหยื่อแก่กระแต) พระเจ้าพิมพิสารได้ถวายพระราชอุทยานแห่งนี้เป็นวัดในพระพุทธศาสนาหลังจากได้สดับพระธรรมเทศนาอนุปุพพิกถาและจตุราริยสัจจ์ ณ พระราชอุทยานลัฏฐิวัน (พระราชอุทยานสวนตาลหนุ่ม) โดยในครั้งนั้น
( N2 A8 q9 i7 a9 ~. ?: Z( d; _0 Y
4 N! j1 J( _4 @พระองค์ได้บรรลุพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา และหลังจากการถวายกลันทกนิวาปสถานไม่นาน อารามแห่งนี้ก็ได้ใช้เป็นสถานที่สำหรับพระสงฆ์ประชุมจาตุรงคสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา อันเป็นเหตุการณ์สำคัญใน
3 `) p  E3 Y1 m  w! b: _/ d: \+ V8 I) Q( p' U( R+ r1 s/ e
วันมาฆบูชา
7 d, f  I) E0 T: F8 z# v$ F$ }6 ]  q2 j+ ~
วัดเวฬุวันหลังการปรินิพพาน$ j6 g3 r, f" Y' Y/ G6 B; W
หลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน วัดเวฬุวันได้รับการดูแลมาตลอด โดยเฉพาะมูลคันธกุฎีที่มีพระสงฆ์เฝ้าดูแลทำการปัดกวาดเช็ดถูปูลาดอาสนะและปฏิบัติต่อสถานที่ ๆ พระพุทธเจ้าเคยประทับอยู่ทุก ๆ แห่ง เหมือนสมัยที่พระพุทธองค์ทรงพระชนม
0 n) f5 N! r* {3 y$ D- g% r& z- q* h- P4 m& P! w
ชีพอยู่มิได้ขาด โดยมีการปฏิบัติเช่นนี้ติดต่อกันกว่าพันปี2 `3 P, P2 I5 b/ J3 o) L: {$ I* f. t
8 }3 ^! |( h1 S- g* L6 d7 V1 W: U
แต่จากเหตุการณ์ย้ายเมืองหลวงแห่งแคว้นมคธหลายครั้งในช่วง พ.ศ. 70 ที่เริ่มจากอำมาตย์และราษฎรพร้อมใจกันถอดกษัตริย์นาคทัสสก์แห่งราชวงศ์ของพระเจ้าพิมพิสารออกจากพระราชบัลลังก์ และยกสุสูนาคอำมาตย์ซึ่งมีเชื้อสายเจ้าลิจฉวีในกรุง7 w/ y, b& z5 W: `  z

/ _& o  Z- \+ bเวสาลีแห่งแคว้นวัชชีเก่า ให้เป็นกษัตริย์ตั้งราชวงศ์ใหม่แล้ว พระเจ้าสุสูนาคจึงได้ทำการย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธไปยังเมืองเวสาลีอันเป็นเมืองเดิมของตน และกษัตริย์พระองค์ต่อมาคือพระเจ้ากาลาโศกราช ผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุสูนาค ; W+ B' j* @$ F0 i

" v; }+ ]9 C, |/ H/ jได้ย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธอีก จากเมืองเวสาลีไปยังเมืองปาตลีบุตร ทำให้เมืองราชคฤห์ถูกลดความสำคัญลงและถูกทิ้งร้าง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้วัดเวฬุวันขาดผู้อุปถัมภ์และถูกทิ้งร้างอย่างสิ้นเชิงในช่วงพันปีถัดมา
0 m+ w& A9 f6 W  M& H+ {3 U$ E0 u5 k" q" z/ F) P. j" }: H
โดยปรากฏหลักฐานบันทึกของหลวงจีนฟาเหียน (Fa-hsien) ที่ได้เข้ามาสืบศาสนาในพุทธภูมิในช่วงปี พ.ศ. 942 - 947 ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าจันทรคุปต์ที่ ๒ (พระเจ้าวิกรมาทิตย์) แห่งราชวงศ์คุปตะ ซึ่งท่านได้บันทึกไว้ว่า เมืองราชคฤห์อยู่  X4 q% J% ]9 K5 ]2 P
" |- D' ~/ H) i5 P- `, }% C
ในสภาพปรักหักพัง แต่ยังทันได้เห็นมูลคันธกุฎีวัดเวฬุวันปรากฏอยู่ และยังคงมีพระภิกษุหลายรูปช่วยกันดูแลรักษาปัดกวาดอยู่เป็นประจำ แต่ไม่ปรากฏว่ามีการบันทึกถึงสถานที่เกิดเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตแต่ประการใด
* T3 w/ ^* {! W) T9 U# P) B. ]
5 z" @1 o6 i5 T  w! [% _แต่หลังจากนั้นประมาณ 200 ปี วัดเวฬุวันก็ถูกทิ้งร้างไป ตามบันทึกของพระถังซำจั๋ง (Chinese traveler Hiuen-Tsang) ซึ่งได้จาริกมาเมืองราชคฤห์ราวปี พ.ศ. 1300 ซึ่งท่านบันทึกไว้แต่เพียงว่า ท่านได้เห็นแต่เพียงซากมูลคันธกุฎีซึ่งมี* {8 r6 t4 A3 m' r: r) I
( k7 z1 G( i* I- D$ \) Y+ N2 i
กำแพงและอิฐล้อมรอบอยู่เท่านั้น (ในสมัยนั้นเมืองราชคฤห์โรยราถึงที่สุดแล้ว พระถังซำจั๋งได้แต่เพียงจดตำแหน่งที่ตั้งทิศทางระยะทางของสถูปและโบราณสถานเก่าแก่อื่น ๆ ในเมืองราชคฤห์ไว้มาก ทำให้เป็นประโยชน์แก่นักประวัติศาสตร์และนัก
7 x/ d7 b1 E% T; W; D
) B& v4 |/ ]- F9 @7 `โบราณคดีในการค้นหาโบราณสถานต่าง ๆ ในเมืองราชคฤห์ในปัจจุบัน)7 [# a3 g. m% p
& V6 D4 h4 ^5 j) N4 ^( |- g+ A7 W
จุดแสวงบุญและสภาพของวัดเวฬุวันในปัจจุบัน
/ L: L/ E) \# @/ i, I/ _9 P" }4 Xปัจจุบันหลังถูกทอดทิ้งเป็นเวลากว่าพันปี และได้รับการบูรณะโดยกองโบราณคดีอินเดียในช่วงที่อินเดียยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ วัดเวฬุวัน ยังคงมีเนินดินโบราณสถานที่ยังไม่ได้ขุดค้นอีกมาก สถานที่สำคัญ ๆ ที่พุทธศาสนิกชนในปัจจุบันนิยม$ V% B# y; t! g8 E) n4 G" L, s2 ?
1 Y" t/ `: T8 j2 ^
ไปนมัสการคือ "พระมูลคันธกุฎี" ที่ปัจจุบันยังไม่ได้ทำการขุดค้น เนื่องจากมีกุโบร์ของชาวมุสลิมสร้างทับไว้ข้างบนเนินดิน, "สระกลันทกนิวาป" ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลอินเดียได้ทำการบูรณะใหม่อย่างสวยงาม, และ "ลานจาตุรงคสันนิบาต" อันเป็นลานเล็ก & W. U5 j2 q: w. ~( S* ~
9 K; \& }  j3 [, S
ๆ มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางประทานพรอยู่กลางซุ้ม ลานนี้เป็นจุดสำคัญที่ชาวพุทธนิยมมาทำการเวียนเทียนสักการะ (ลานนี้เป็นลานที่กองโบราณคดีอินเดียสันนิษฐานว่าพระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ในจุดนี้)
% N) Y) s) s  b+ F% O; H- T" }+ o$ l8 D! D+ `
จุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชา (ลานจาตุรงคสันนิบาต)5 @5 n3 b5 d: t! T9 Z9 Y
ถึงแม้ว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตจะเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งที่เกิดในบริเวณวัดเวฬุวันมหาวิหาร แต่ทว่าไม่ปรากฏรายละเอียดในบันทึกของสมณทูตชาวจีนและในพระไตรปิฎกแต่อย่างใดว่าเหตุการณ์ใหญ่นี้เกิดขึ้น ณ จุดใดของวัดเวฬุวัน รวมทั้ง
" R9 q3 U6 ^! d+ W: X
2 v6 E- W0 L  |จากการขุดค้นทางโบราณคดีก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการทำเครื่องหมาย (เสาหิน) หรือสถูประบุสถานที่ประชุมจาตุรงคสันนิบาตไว้แต่อย่างใด (ตามปกติแล้วบริเวณที่เกิดเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนา มักจะพบสถูปโบราณหรือเสาหินพระ
% t; j* ^" [# W$ x; b. k- U
4 _4 D5 k0 }! Oเจ้าอโศกมหาราชสร้างหรือปักไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายสำคัญสำหรับผู้แสวงบุญ) ทำให้ในปัจจุบันไม่สามารถทราบโดยแน่ชัดว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตเกิดขึ้นในจุดใดของวัด
" h" ^( {6 F% g6 G2 A/ l
7 q2 t. Q9 E! d. b; }% Hในปัจจุบันกองโบราณคดีอินเดียได้แต่เพียงสันนิษฐานว่า "เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดในบริเวณลานด้านทิศตะวันตกของสระกลันทกนิวาป" (โดยสันนิษฐานเอาจากเอกสารหลักฐานว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีพระสงฆ์ประชุมกันมากถึงสองพันกว่ารูป และ
% U# y; |) R* M9 A3 N3 K; P
6 V2 j& ?) j* Q) F+ {2 }2 @เกิดในช่วงที่พระพุทธองค์พึ่งได้ทรงรับถวายอารามแห่งนี้ การประชุมครั้งนั้นคงยังต้องนั่งประชุมกันตามลานในป่าไผ่ เนื่องจากเสนาสนะหรือโรงธรรมสภาขนาดใหญ่ยังคงไม่ได้สร้างขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันลานด้านทิศตะวันตกของสระ
( D$ `- M6 z3 S9 T& [" O" c0 j) b1 B- U- B' N5 X: \2 @
กลันทกนิวาป เป็นลานกว้างลานเดียวในบริเวณวัดที่ไม่มีโบราณสถานอื่นตั้งอยู่) โดยได้นำพระพุทธรูปยืนปางประทานพรไปประดิษฐานไว้บริเวณซุ้มเล็ก ๆ กลางลาน และเรียกว่า "ลานจาตุรงคสันนิบาต" ซึ่งในปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่าลาน
9 B3 v3 Q( u( b, y" O& k8 f& S, ], H# y: |( S
จาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริงอยู่ในจุดใด และยังคงมีชาวพุทธบางกลุ่มสร้างซุ้มพระพุทธรูปไว้ในบริเวณอื่นของวัดโดยเชื่อว่าจุดที่ตนสร้างนั้นเป็นลานจาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริง แต่พุทธศาสนิกชนชาวไทยส่วนใหญ่ก็เชื่อตามข้อสันนิษฐานของกอง
5 B2 H( p% h& e) C/ w5 N8 E1 t* O- g3 e, \
โบราณคดีอินเดียดังกล่าว โดยนิยมนับถือกันว่าซุ้มพระพุทธรูปกลางลานนี้เป็นจุดสักการะของชาวไทยผู้มาแสวงบุญจุดสำคัญ 1 ใน 2 แห่งของเมืองราชคฤห์ (อีกจุดหนึ่งคือพระมูลคันธกุฎีบนยอดเขาคิชกูฏ)
/ M8 B6 y# J" S4 {* M: Q+ O/ H/ F$ R7 v! e8 n, g
กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันมาฆบูชา
( z) p( v4 E9 I" N( M0 s, ?. L" V  ~: T; ^: h6 N
การปฎิบัติตนสำหรับพุทธศาสนาในวันนี้ก็คือ การทำบุญ ตักบาตรในตอนเช้า หรือไม่ก็จัดหาอาหารคาวหวานไปทำบุญฟังเทศน์ที่วัด ตอนบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา ในตอนกลางคืน จะพากันนำดอกไม้ ธูปเทียน ไปที่วัดเพื่อชุมนุมกันทำพิธี2 X5 ~! _& S0 o5 G( k  f3 A! W6 c
; w! S, L$ H0 b0 a
เวียนเทียน รอบพระอุโบสถ พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์โดยเจ้าอาวาสจะนำว่า นะโม ๓ จบ จากนั้นกล่าวคำ ถวาย ดอกไม้ธูปเทียน ทุกคนว่าตาม จบแล้วเดิน เวียนขวา ตลอดเวลาให้ระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จนครบ ๓ รอบ % Z0 O+ ?$ u9 J- D3 H% b
, x+ c& F+ c7 Q$ a- i9 h; C
แล้วนำดอกไม้ ธูปเทียนไปปักบูชาตามที่ทางวัด เตรียมไว้ เป็นอันเสร็จพิธี
- d7 B0 w1 C& J1 T! N, n9 A8 y& h$ y- D+ a( L
ขอบคุณข้อมูลจาก : dhammathai.org,วิกิพีเดีย# K- @5 y9 u, }9 a( v5 P

/ T& }6 U% A9 b) O2 U* p7 `' `, U0 i- C0 R9 _) _8 ?, @/ e$ P! Z' ?6 M

/ b8 H1 [( j' x8 L: N+ j  kการถือปฏิบัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย: k# |9 q/ h# \+ P- o9 u" L* k
พิธีวันมาฆบูชานี้ เดิมทีเดียวในประเทศไทยไม่เคยทำมาก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายไว้ว่าเกิดขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทรงถือตามแบบของโบราณบัณฑิตที่9 s3 h9 K* ^% C, [: E4 y5 L& u

" U/ b" L8 a$ w  u2 H, Nได้นิยมกันว่า วันมาฆะบูรณมี พระจันทร์เสวยฤกษ์มาฆะเต็มบริบูรณ์เป็นวันที่พระอรหันต์สาวกของ พระพุทธเจ้า ๑,๒๕๐ รูป ได้ประชุมกันพร้อมด้วยองค์ ๔ ประการ เรียกว่า7 u; n# |5 \" f- q
  U- L; z+ i# }2 n! }6 |  u3 i$ ^
จาตุรงคสันนิบาตพระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เป็นการ ประชุมใหญ่ และเป็นการอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา นักปราชญ์ จึงถือเอาเหตุนั้นประกอบ การสักการบูชาพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวก ๑,๒๕๐ รูปนั้น ให้
4 n; M4 w: h8 M: c; [+ z0 W$ [
- ]3 m- t# t, M, ]" ^& Kเป็นที่ตั้งแห่งความ เลื่อมใสการประกอบพิธีมาฆะบูชา ได้เริ่มในพระบรมมหาราชวังก่อน; g9 Q' x5 a6 z/ p( l6 h
! r7 v. A; P, C8 g& q; k
ในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีพิธีการพระราชกุศลในเวลาเช้า พระสงฆ์ วัดบวรนิเวศวิหารและ วัดราชประดิษฐ์ ๓๐ รูป ฉันในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เวลาค่ำ เสด็จออกทรงจุด ธูปเทียนเครื่อง มนัสการแล้ว พระสงฆ์สวดทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว สวด5 Z/ U# V; s7 j0 H
3 I; M4 ]' D; T' T' I9 t5 |) [8 r
มนต์ต่อไปมี สวดคาถาโอวาทปาติโมกข์ด้วยสวดมนต์ จบทรงจุดเทียนรายตามราวรอบพระอุโบสถ ๑,๒๕๐ เล่ม มีการประโคมอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงมีการเทศนา โอวาทปาติโมกข์+ Q% A* z3 ~2 ~# N# D
๑ กัณฑ์เป็นทั้งเทศนาภาษาบาลีและ ภาษาไทย เครื่องกัณฑ์ มีจีวรเนื้อดี ๑ ผืน เงิน ๓ ตำลึง และขนมต่าง ๆ เทศนาจบพระสงฆ์ ซึ่งสวดมนต์ ๓๐ รูป สวดรับการประกอบพระราชกุศลเกี่ยวกับ วันมาฆบูชาในสมัยรัชกาลที่ ๔ นั้น พระบาทสมเด็จพระ
- c6 K" V( p, Y- E; F  A% p0 H+ u9 G2 Z/ i: [3 Q
จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกประกอบพิธีด้วยพระองค์เองทุกปีมิได้ขาด สมัยต่อมามีการเว้นบ้าง เช่น รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกเองบ้าง มิได้ เสด็จออกเองบ้างเพราะมักเป็นเวลาที่ประสบกับเวลาเสด็จ
0 w5 |1 {* J" v2 F- C! ~2 v! `
7 ?  m4 N4 m! e( N% Lประพาส หัวเมืองบ่อย ๆ หากถูกคราวเสด็จไปประพาสบางปะอินหรือพระพุทธบาท พระพุทธฉาย พระปฐมเจดีย์ พระแท่นดงรัง ก็จะทรงประกอบพิธีมาฆบูชา ในสถานที่นั้น ๆ ขึ้นอีก ส่วนหนึ่งต่างหากจากในพระบรมมหาราชวังเดิมทีมีการประกอบพิธี% M8 G7 H* k9 O5 S9 u0 M

( E2 f' x8 k; bในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาก็ขยายออกไป ให้พุทธบริษัทได้ ปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบสืบมาจนปัจจุบัน มีการบูชา ด้วยการเวียนเทียน และบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ ส่วนกำหนดวันประกอบพิธีมาฆบูชานั้น ปกติตรงกับวันเพ็ญ เดือน ๓ หากปีใด เป็น
) ?$ i" m0 @1 \! u' |4 {) ~+ i- M+ X% m% K2 o* N2 M" M7 Q
อธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหนจะเลื่อนไปตรงกับวันเพ็ญเดือน ๔
: C/ T0 k, m$ J6 l% Z, D; f/ N" D* X$ d" g
" A5 E1 w5 B* Q8 y9 t8 I8 Q  Y) V
0 t2 s' n; x  r0 }1 C' {0 C$ [) C
หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติ
! N" `0 o6 z  U7 m& E. |7 s9 D  Rหลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติได้แก่ โอวาทปาติโมกข์ หมายถึง หลักคำสอนคำสำคัญของพระพุทธศาสนาอันเป็นไปเพื่อป้องกัน และแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตเป็นไปเพื่อความหลุดพ้น หรือคำสอน อันเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา หลักธรรมประกอบด้วย ! c% Y! O0 N" c; q. C. I" K0 H' R
$ ?% ]  y4 _9 ]) @8 ~% {
หลักการ ๓ อุดมการณ์ ๔ วิธีการ ๖ ดังนี้; w* r4 l# \  G, z# w

7 u: n- W2 f0 |/ c* wหลักการ ๓
- h* D) O( P4 l. K6 S% J๑. การไม่ทำบาปทั้งปวง ได้แก่การงดเว้น การลด ละเลิก ทำบาปทั้งปวง ซึ่งได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งความชั่ว มีสิบประการ อันเป็น
( Y  H2 X' C; Kความชั่วทางกาย ทางวาจา และทางใจ ความชั่วทางกาย ได้แก่ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติ ผิดในกาม3 O0 m5 w6 C/ P9 g, ^+ s
ความชั่วทางวาจา ได้แก่ การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดเพ้อเจ้อ
/ f# O) S! y/ v5 a) M7 wความชั่วทางใจ ได้แก่ การอยากได้สมบัติของผู้อื่น การผูกพยาบาท และความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม; [/ F9 \) ~9 G3 h
8 f* a! ~. ?- E! q$ Z: }
๒. การทำกุศลให้ถึงพร้อม ได้แก่ การทำความดีทุกอย่างซึ่งได้แก่ กุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นแบบของการทำฝ่ายดีมี ๑๐ อย่าง อันเป็นความดีทางกาย ทางวาจาและทางใจ
" ~/ \- ~( [/ c5 S9 K+ B* v5 t
; K* }( s- q0 p, a! _8 Iความดีทางกาย ได้แก่ การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่นมีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ มาเป็นของตน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการไม่ประพฤติผิดในกาม: X  [7 x: }/ p/ o% |7 w2 u& c
การทำความดีทางวาจา ได้แก่ การไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อพูดแต่คำจริง พูดคำอ่อนหวานพูดคำให้เกิดความสามัคคีและพูดถูกกาลเทศะ
4 P6 \- R, P& N+ \0 bการทำความดีทางใจ ได้แก่ การไม่โลภอยากได้ของของผู้อื่นมีแต่คิดเสียสละ การไม่ผูกอาฆาตพยาบาทมีแต่คิดเมตตาและ ปราถนาดีและมีความเห็นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
/ l8 ]- g1 m& r( w6 ~4 V0 H
! l9 W3 j( i- B# F3 H1 W/ F( ^& _๓. การทำจิตให้ผ่องใส ได้แก่ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ปราศจากนวรณ์ซึ่งเป็นเครื่องขัดขวางจิตไม่ให้เข้าถึงความสงบ มี ๕ ประการ ได้แก่
0 L( K' U- t9 s; h& X' y6 I" a# l9 v; p' g
๑. ความพอใจในกาม (กามฉันทะ)- O+ e  V# i! A3 Y/ U# z) Z
๒. ความอาฆาตพยาบาท (พยาบาท)
2 Z6 x! f- T  ]2 A# w& K๓. ความหดหู่ท้อแท้ ง่วงเหงาหาวนอน (ถีนะมิทธะ)8 P5 G0 z; `' O8 F; Q: X1 K' b
๔. ความฟุ้งซ่าน รำคาญ (อุทธัจจะกุกกุจจะ) และ
: H4 z4 G! `6 D$ F+ g! N# u๕. ความลังเลสงสัย (วิกิจฉา) เช่น สงสัยในการทำความดีความชั่ว ว่ามีผลจริงหรือไม่ วิธีการทำจิตให้ปฏิบัติสมถะผ่องใส ที่แท้จริงเกิดขึ้นจากการละบาปทั้งปวง ด้วยการถือศืลและบำเพ็ญกุศล ให้ถึงพร้อมด้วยการ และวิปัสสนา จนได้บรรลุอรหัตผล
2 d/ N0 v1 i, X9 ?( ~1 Q
8 A; R) m7 q1 W8 m; iอันเป็นความผ่องใสที่แท้จริง
5 m  S2 ~% R% t) p: [+ C/ L$ _6 n
อุดมการณ์ ๔: l& J2 N' V! Q
๑. ความอดทน ได้แก่ ความอดกลั้น ไม่ทำบาปทั้งทางกาย วาจา ใจ
" S4 Y7 O3 y  f& d$ ^# [0 y4 f๒. ความไม่เบียดเบียน ได้แก่ การงดเว้นจากการทำร้าย รบกวน หรือ เบียดเบียนผู้อื่น
  W: m8 u' Q4 f' q5 D* u; `" _6 b๓. ความสงบ ได้แก่ ปฏิบัติตนให้สงบทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ
' w) `/ X, l) Z, b! k) w0 s: U๔. นิพพาน ได้แก่ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นได้จาการดำเนินชีวิตตามมรรคมีองค์ ๘
' n/ |  u! k8 T, U0 X. q
% Q; n) g3 l& m2 U% oวิธีการ ๖
6 O. \$ X; _0 d4 W+ [+ j/ M๑. ไม่ว่าร้าย ได้แก่ ไม่กล่าวให้ร้ายหรือ กล่าวโจมตีใคร& \) i5 K7 O$ E6 V; y+ p
๒. ไม่ทำร้าย ได้แก่ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น  O/ V- F2 a  S) o5 ]
๓. สำรวมในปาติโมกข์ ได้แก่ ความเคารพระเบียบวินัย กฎกติกา กฎหมาย รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีของสังคม' @) }" `' ]% f9 }5 ]) a  l3 S6 L9 V4 K
๔. รู้จักประมาณ ได้แก่ รู้จักความพอดีในการบริโภคอาหารหรือการใช้สอยสิ่งต่าง ๆ
2 s* h5 A- J' P) u, G: w๕. อยู่ในสถานที่ที่สงัด ได้แก่ อยู่ในสถานที่สงบมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม; e  ]9 h. x. F) X
๖. ฝึกหัดจิตใจให้สงบ ได้แก่ฝึกหัดชำระจิตให้สงบมีสุขภาพคุณภาพและประสิทธิ0 m* ], `7 r' R/ D- {
ภาพที่ดี
) A6 A2 T( x! d/ U% |0 K. n/ O" [" d# [2 `+ M
ขอบคุณข้อมูลจาก : dhammajak.net/budday/maka.php- q# P- s4 n) \$ i

3 `7 p' N& |9 R. [+ s( s' S, bที่มา : http://campus.sanook.com/910849/วันมาฆบูชา/
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-7-27 13:55 , Processed in 0.080123 second(s), 14 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.