แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 7024|ตอบ: 0
go

วันมาฆบูชา [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

วันมาฆบูชา( f0 \5 ^5 t# D' f7 u
6 G- h" N* N) {$ L8 k& \& ]# l

! J0 M- Q1 M) J0 e! w: t- m5 Q; r/ x5 w, o8 ~' j
ความหมายวันมาฆบูชา% a* \2 N* i( M' D3 a$ }5 `$ J
วันมาฆบูชา หมายถึง การบูชา ในวันเพ็ญเดือน ๓ เนื่องในโอกาสคล้าย วันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์
2 H; W, x: i, V+ M6 J9 K- o6 p+ s
# m2 l, P# D& K$ Qความสำคัญวันมาฆบูชา
/ V5 K1 ?8 r, m$ |/ e. a: Zวันมาฆบูชา เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ มีเหตุการณ์อัศจรรย์ที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าจำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ โดยมิได้นัดหมายกันพระสงฆ์ ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์; Z+ G% t2 G0 ~- P

0 d1 A/ q& f# `% |3 c" C( dผู้ได้อภิญญา ๖และเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบท โดยตรงจากพระพุทธเจ้า ในวันนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งเป็นทั้งหลักการอุดมการณ์และวิธีการปฏิบัติที่ นำไปใช้ได้ทุกสังคม มีเนื้อหา โดยสรุปคือให้ละ
  M5 ], @8 I% y$ d5 t3 F; ^
' R, D/ f- L# X& k& w7 i3 pความชั่วทุกชนิด ทำความดี ให้ถึงพร้อมและทำจิตใจให้ผ่องใส7 \* M( e8 Q) x, \
9 ]$ j* ?% d( c
ประวัติความเป็นมาวันมาฆบูชา* k; d% o. i3 i- b( E
๑. ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๙ เดือนขณะนั้นเมื่อเสร็จพุทธกิจแสดงธรรมที่ถ้ำสุกรขาตาแล้ว เสด็จมาประทับที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ประเทศอินเดียในปัจจุบัน วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ เดือนมาฆะหรือเดือน : y2 G/ X4 p- ?. f% @* [

5 [8 z- x; M# Q4 K0 T4 N๓ในเวลาบ่ายพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า มาประชุม พร้อมกัน ณ ที่ประทับของพระพุทธเจ้า นับเป็นเหตุอัศจรรย์ ที่มีองค์ประกอบสำคัญ ๔ ประการ เรียกว่าว่า วันจาตุรงคสันนิบาต
" e. w( O( Y1 \! u5 R2 Z% \6 M) W* K; B  @/ z7 w4 p3 d9 Y& S2 k. j
คำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" แยกศัพท์ได้ดังนี้ คือ. x$ @: `6 d# ]9 D. M2 U

: c/ h0 y- e) W: a) |"จาตุร" แปลว่า ๔ 1 X& w) [. u* H1 q# N' a
"องค์" แปลว่า ส่วน
  N+ Z& t. `7 T; K: A8 `"สันนิบาต" แปลว่า ประชุม
! G' v8 P3 v, ^5 k9 \# a) L) e" Yฉะนั้นจาตุรงคสันนิบาตจึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ ๔" กล่าวคือมีเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวันนี้ คือ
' K, A; \" N% w$ B, G6 W8 t
/ G) W( k3 G! }! f$ z; z6 h, D1. เป็นวันที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันที่เวฬุวันวิหารในกรุงราชคฤห์ โดยมิได้นัดหมาย" j9 F. p0 U7 f

% Y6 G  u2 d9 N2. พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น4 M/ E5 _7 l1 u. O- v
+ A  }! ]& ?9 n+ r; T7 i
3. พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ที่ได้มาประชุมในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นผุ้ได้บรรลุพระอรหันต์แล้วทุก ๆองค์
# X+ T* X! x" |2 a9 }- M! |1 ]' k) x" D9 E/ j/ Z& P
4. เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงกำลังเสวยมาฆฤกษ% x' L; {: n! x" k0 m  H. N
& C5 H6 @3 m. p- {% m1 n3 F5 G
ประวัติวันมาฆบูชา; [* x( {7 ]/ v- {8 P3 v

6 p' `! M7 T% c. i2 c2 ^6 Rมูลเหตุ
/ |; W/ @, j7 |หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 และได้ทรงประกาศพระศาสนาและส่งพระอรหันตสาวกออกไปจาริกเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนายังสถานที่ต่าง ๆ ล่วงแล้วได้ 9 เดือน ในวันที่ใกล้พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (วันขึ้น 15 ค่ำ
3 `' ^6 A6 f' Z0 t; Y, K4 W! c5 }& N/ u  R. x
เดือน 3) พระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้นต่างได้ระลึกว่า วันนี้เป็นวันสำคัญของศาสนาพราหมณ์ อันเป็นศาสนาของตนอยู่เดิม ก่อนที่จะหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า และในลัทธิศาสนาเดิมนั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือนมาฆะ เหล่าผู้ศรัทธา% x# Q/ t( \) p

8 W5 s' T9 `5 {1 S% D0 eพราหมณลัทธินิยมนับถือกันว่าวันนี้เป็นวันศิวาราตรี โดยจะทำการบูชาพระศิวะด้วยการลอยบาปหรือล้างบาปด้วยน้ำ แต่มาบัดนี้ตนได้เลิกลัทธิเดิมหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแล้ว จึงควรเดินทางไปเข้าเฝ้าบูชาฟังพระสัทธรรมจาก
4 ?& [* A5 M! E2 O% I% ?! }. U) H: F- X3 Q
พระพุทธเจ้า พระอรหันต์เหล่านั้นซึ่งเคยปฏิบัติศิวาราตรีอยู่เดิม จึงพร้อมใจกันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้นัดหมาย
5 x6 W5 F7 c) z$ D& `4 v5 I7 g% W9 k4 \: s
มีผู้กล่าวว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้พระสาวกทั้ง 1,250 องค์มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย มาจากในวันเพ็ญเดือน 3 ตามคติพราหมณ์ เป็นวันพิธีศิวาราตรี พระสาวกเหล่านั้นซึ่งเคยนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อนจึงได้เปลี่ยนจากการรวมตัว
) W% w$ _+ _2 C9 ?
% P6 I% j# I% Z# B6 ~% y% ~" bกันทำพิธีชำระบาปตามพิธีพราหมณ์ มารวมกันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแทน
8 M8 N6 ]; T7 C
# \4 e: F9 t3 T  L% s& e% n  r& z/ x9 d( o/ S0 m; y8 t

' i- z7 y2 t2 j3 j$ Y- C' yโอวาทปาฏิโมกข์ & u6 C$ D0 Q8 F
หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุวนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียก! d) o. R$ x7 T+ |! _# K) o5 C
# `# v$ H2 m  o  k) M
กันว่าวันมาฆบูชา (ถรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ตลอดมา เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา), คาถาโอวาทปาฏิโมกข์ มีดังนี้ (โอวาทปาติโมกข์ ก็เขียน)( e  {; V# R& Z9 p9 r
: z6 u% A1 R4 M9 n, L% C% b5 s  |
สพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทา
* |' ^, h5 Q7 fสจิตฺตปริโยทปนํเอตํ พุทธาน สาสนํฯ
$ G* k! t& L4 B, v  a# Rขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา7 b# O3 _+ L! C9 i5 l
นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
- ]( }' D+ G) k5 T  ]! bน หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี' u  o; r/ D5 z! p) U  w- s
สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ
( ~# f# y) B% l2 D& rอนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร
. S5 K7 |/ ^, g- Yมตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
) q+ [0 e% p& m; q0 Y9 _อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ
2 D! X. y3 r1 [5 ~4 h& x' [" U8 j+ Y9 F6 Q' s
แปล : การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๑ การบำเพ็ญแต่ความดี ๑ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง, พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพาน เป็นบรมธรรม, ผู้ทำร้ายคน$ h- e4 ^$ L! P" @5 R7 Q/ [' a
9 d9 E1 K, T) `, f& m
อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต,ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะการไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ ความสำรวมในปาฏิโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ๑ ที่นั่งนอนอันสงัด ๑ ความเพียรในอธิจิต ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้ง
5 [7 S; x2 c7 Y1 {  Z5 a9 }
) Y; w9 A; h5 Y! P4 o# _หลายที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส
6 [( P: y7 l' ~; m9 t* Y
, p" h. E0 F1 k$ s  d: r, ]8 \8 e# K) sสถานที่สำคัญเนื่องด้วยวันมาฆบูชา (พุทธสังเวชนียสถาน)) W( a! b5 q  j4 x0 ?) t0 s. X4 C
% }/ ]7 J: @: c
พระพุทธรูปยืนกลางมณฑลมหาสังฆสันนิบาต ในโบราณสถานวัดเวฬุวันมหาวิหาร เมืองราชคฤห์ รัฐพิหาร อินเดีย (เป็นพระพุทธรูปสร้างใหม่ ปัจจุบันเป็นสถานที่จาริกแสวงบุญสำคัญของชาวพุทธทั่วโลก)เหตุการณ์สำคัญที่เกิดในวันมาฆบูชา เกิด! P4 _& \4 j. G8 d2 W4 e, k
" Q& D  {3 F) i( m5 Y9 F
ภายในบริเวณที่ตั้งของ "กลุ่มพุทธสถานโบราณวัดเวฬุวันมหาวิหาร" ภายในอาณาบริเวณของวัดเวฬุวันมหาวิหาร ซึ่งลานจาตุรงคสันนิบาตอันเป็นจุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชานั้น ยังคงเป็นที่ถกเถียงและหาข้อสรุปทาง
9 {3 g2 `* w: M" x+ |, o' @# b1 z# K1 f- D. S" j4 j/ p
โบราณคดีไม่ได้มาจนถึงปัจจุบัน
" ]2 R7 T8 t0 c
' l* u" o* y' g7 ?$ r9 Y# ]. `- i9 Z$ \วัดเวฬุวันมหาวิหาร
6 A! u; M8 K2 V# b$ ^"วัดเวฬุวันมหาวิหาร" เป็นอาราม (วัด) แห่งแรกในพระพุทธศาสนา ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขาเวภารบรรพต บนริมฝั่งแม่น้ำสรัสวดีซึ่งมีตโปธาราม (บ่อน้ำร้อนโบราณ) คั่นอยู่ระหว่างกลาง นอกเขตกำแพงเมืองเก่าราชคฤห์ (อดีตเมืองหลวงของแคว้นมคธ) รัฐ
4 K8 v; S% |9 |8 C. w
0 l/ @& s$ O* Y2 p. a6 @พิหาร ประเทศอินเดียในปัจจุบัน (หรือ แคว้นมคธ ชมพูทวีป ในสมัยพุทธกาล)5 @7 t/ K1 p9 q* w4 z0 |
: u- o  [, z. k, F* v! C. A

" V1 z  h1 v4 C$ |3 P& r5 B
" B1 R% k6 A4 @: f" u3 Vวัดเวฬุวันในสมัยพุทธกาล& A1 j( a6 l0 A; t  E8 `7 z
เดิมวัดเวฬุวันเป็นพระราชอุทยานสำหรับเสด็จพระพาสของพระเจ้าพิมพิสาร เป็นสวนป่าไผ่ร่มรื่นมีรั้วรอบและกำแพงเข้าออก เวฬุวันมีอีกชื่อหนึ่งปรากฏในพระสูตรว่า "พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน"หรือ "เวฬุวันกลันทกนิวาป" (สวนป่าไผ่
  `6 {% {7 F. w2 _1 V5 o
$ k/ O* N) r) O& }+ E2 _( _( cสถานที่สำหรับให้เหยื่อแก่กระแต) พระเจ้าพิมพิสารได้ถวายพระราชอุทยานแห่งนี้เป็นวัดในพระพุทธศาสนาหลังจากได้สดับพระธรรมเทศนาอนุปุพพิกถาและจตุราริยสัจจ์ ณ พระราชอุทยานลัฏฐิวัน (พระราชอุทยานสวนตาลหนุ่ม) โดยในครั้งนั้น7 K, Q/ ?9 J2 X3 F0 W& K! {; W
7 `+ b( I1 v+ O1 \
พระองค์ได้บรรลุพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา และหลังจากการถวายกลันทกนิวาปสถานไม่นาน อารามแห่งนี้ก็ได้ใช้เป็นสถานที่สำหรับพระสงฆ์ประชุมจาตุรงคสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา อันเป็นเหตุการณ์สำคัญใน9 ^7 I  R! K( }8 h' X/ g: T/ s
) {7 \2 L$ ^3 h
วันมาฆบูชา
# T8 u3 f& H# ]7 l3 k& Q4 v: S1 }
- U" [! S( x$ i& e* J% ?วัดเวฬุวันหลังการปรินิพพาน
4 L( W' K1 c" D) T6 M( jหลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน วัดเวฬุวันได้รับการดูแลมาตลอด โดยเฉพาะมูลคันธกุฎีที่มีพระสงฆ์เฝ้าดูแลทำการปัดกวาดเช็ดถูปูลาดอาสนะและปฏิบัติต่อสถานที่ ๆ พระพุทธเจ้าเคยประทับอยู่ทุก ๆ แห่ง เหมือนสมัยที่พระพุทธองค์ทรงพระชนม
4 V  L4 R+ X( O* v$ [
- c: {* V% ?' a& eชีพอยู่มิได้ขาด โดยมีการปฏิบัติเช่นนี้ติดต่อกันกว่าพันปี
9 O% m1 ^# F( K9 h' R) t! I
2 F+ ~. y4 A: S1 v! T8 @แต่จากเหตุการณ์ย้ายเมืองหลวงแห่งแคว้นมคธหลายครั้งในช่วง พ.ศ. 70 ที่เริ่มจากอำมาตย์และราษฎรพร้อมใจกันถอดกษัตริย์นาคทัสสก์แห่งราชวงศ์ของพระเจ้าพิมพิสารออกจากพระราชบัลลังก์ และยกสุสูนาคอำมาตย์ซึ่งมีเชื้อสายเจ้าลิจฉวีในกรุง" @" l- L- i3 s; s8 y, |* G

) Y8 o/ k) K! }- H" |เวสาลีแห่งแคว้นวัชชีเก่า ให้เป็นกษัตริย์ตั้งราชวงศ์ใหม่แล้ว พระเจ้าสุสูนาคจึงได้ทำการย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธไปยังเมืองเวสาลีอันเป็นเมืองเดิมของตน และกษัตริย์พระองค์ต่อมาคือพระเจ้ากาลาโศกราช ผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุสูนาค / w; n' _  L3 @# O% V) {! _3 z/ x# v
) e) A& v$ i) e9 N- R% n
ได้ย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธอีก จากเมืองเวสาลีไปยังเมืองปาตลีบุตร ทำให้เมืองราชคฤห์ถูกลดความสำคัญลงและถูกทิ้งร้าง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้วัดเวฬุวันขาดผู้อุปถัมภ์และถูกทิ้งร้างอย่างสิ้นเชิงในช่วงพันปีถัดมา
7 n) D" ]4 W  i1 Y$ ]4 r* f+ ]
' ^7 ^3 R" ]2 `" a* |# w) [! Wโดยปรากฏหลักฐานบันทึกของหลวงจีนฟาเหียน (Fa-hsien) ที่ได้เข้ามาสืบศาสนาในพุทธภูมิในช่วงปี พ.ศ. 942 - 947 ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าจันทรคุปต์ที่ ๒ (พระเจ้าวิกรมาทิตย์) แห่งราชวงศ์คุปตะ ซึ่งท่านได้บันทึกไว้ว่า เมืองราชคฤห์อยู่" n' j3 E( x: S* q4 f, u' [# d  I
0 H- ?' Q8 K8 J' L# }; y
ในสภาพปรักหักพัง แต่ยังทันได้เห็นมูลคันธกุฎีวัดเวฬุวันปรากฏอยู่ และยังคงมีพระภิกษุหลายรูปช่วยกันดูแลรักษาปัดกวาดอยู่เป็นประจำ แต่ไม่ปรากฏว่ามีการบันทึกถึงสถานที่เกิดเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตแต่ประการใด
  n# k- Q1 C3 K7 ~' x5 V2 i/ N
แต่หลังจากนั้นประมาณ 200 ปี วัดเวฬุวันก็ถูกทิ้งร้างไป ตามบันทึกของพระถังซำจั๋ง (Chinese traveler Hiuen-Tsang) ซึ่งได้จาริกมาเมืองราชคฤห์ราวปี พ.ศ. 1300 ซึ่งท่านบันทึกไว้แต่เพียงว่า ท่านได้เห็นแต่เพียงซากมูลคันธกุฎีซึ่งมี+ I% u% x$ ~( L+ A* J

3 d% G7 D8 H. g  l: e, @) \6 e0 |" lกำแพงและอิฐล้อมรอบอยู่เท่านั้น (ในสมัยนั้นเมืองราชคฤห์โรยราถึงที่สุดแล้ว พระถังซำจั๋งได้แต่เพียงจดตำแหน่งที่ตั้งทิศทางระยะทางของสถูปและโบราณสถานเก่าแก่อื่น ๆ ในเมืองราชคฤห์ไว้มาก ทำให้เป็นประโยชน์แก่นักประวัติศาสตร์และนัก
( b/ |- Z* k4 j# H' N
! Z, z  Y. |( U0 Z$ {& _+ Aโบราณคดีในการค้นหาโบราณสถานต่าง ๆ ในเมืองราชคฤห์ในปัจจุบัน), w$ \& \* W. K8 M) r

. r& w9 h' G2 P9 h' U* u7 P. D' Iจุดแสวงบุญและสภาพของวัดเวฬุวันในปัจจุบัน8 k! @, d8 p+ Z' u
ปัจจุบันหลังถูกทอดทิ้งเป็นเวลากว่าพันปี และได้รับการบูรณะโดยกองโบราณคดีอินเดียในช่วงที่อินเดียยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ วัดเวฬุวัน ยังคงมีเนินดินโบราณสถานที่ยังไม่ได้ขุดค้นอีกมาก สถานที่สำคัญ ๆ ที่พุทธศาสนิกชนในปัจจุบันนิยม
3 \6 O3 n$ a0 {' g7 L3 X5 B. p! ^! ?! J- f) Q' G
ไปนมัสการคือ "พระมูลคันธกุฎี" ที่ปัจจุบันยังไม่ได้ทำการขุดค้น เนื่องจากมีกุโบร์ของชาวมุสลิมสร้างทับไว้ข้างบนเนินดิน, "สระกลันทกนิวาป" ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลอินเดียได้ทำการบูรณะใหม่อย่างสวยงาม, และ "ลานจาตุรงคสันนิบาต" อันเป็นลานเล็ก & A# V$ v: {2 G4 b) {, h5 ]
, n5 ^4 \3 J: E+ |# ~- [- k
ๆ มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางประทานพรอยู่กลางซุ้ม ลานนี้เป็นจุดสำคัญที่ชาวพุทธนิยมมาทำการเวียนเทียนสักการะ (ลานนี้เป็นลานที่กองโบราณคดีอินเดียสันนิษฐานว่าพระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ในจุดนี้)3 E( x! w! E  e$ L" O
. j2 n9 y% K; i/ g4 c' @
จุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชา (ลานจาตุรงคสันนิบาต)
6 q0 R" D3 @7 g) o/ W* |, t5 \ถึงแม้ว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตจะเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งที่เกิดในบริเวณวัดเวฬุวันมหาวิหาร แต่ทว่าไม่ปรากฏรายละเอียดในบันทึกของสมณทูตชาวจีนและในพระไตรปิฎกแต่อย่างใดว่าเหตุการณ์ใหญ่นี้เกิดขึ้น ณ จุดใดของวัดเวฬุวัน รวมทั้ง5 y$ [4 t3 [3 [, A) X

2 R2 I6 i$ J; d" qจากการขุดค้นทางโบราณคดีก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการทำเครื่องหมาย (เสาหิน) หรือสถูประบุสถานที่ประชุมจาตุรงคสันนิบาตไว้แต่อย่างใด (ตามปกติแล้วบริเวณที่เกิดเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนา มักจะพบสถูปโบราณหรือเสาหินพระ+ v) b0 ]- f2 ~. U/ Q1 q

: z; X, a* P2 l8 Tเจ้าอโศกมหาราชสร้างหรือปักไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายสำคัญสำหรับผู้แสวงบุญ) ทำให้ในปัจจุบันไม่สามารถทราบโดยแน่ชัดว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตเกิดขึ้นในจุดใดของวัด/ J! {" N' T- o. e4 `) o& E, J
4 }" _0 L$ x" D7 M# p
ในปัจจุบันกองโบราณคดีอินเดียได้แต่เพียงสันนิษฐานว่า "เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดในบริเวณลานด้านทิศตะวันตกของสระกลันทกนิวาป" (โดยสันนิษฐานเอาจากเอกสารหลักฐานว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีพระสงฆ์ประชุมกันมากถึงสองพันกว่ารูป และ, M: L! R/ z: J% |6 H

7 x( D2 n) r4 }% v1 ]เกิดในช่วงที่พระพุทธองค์พึ่งได้ทรงรับถวายอารามแห่งนี้ การประชุมครั้งนั้นคงยังต้องนั่งประชุมกันตามลานในป่าไผ่ เนื่องจากเสนาสนะหรือโรงธรรมสภาขนาดใหญ่ยังคงไม่ได้สร้างขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันลานด้านทิศตะวันตกของสระ
0 e) V3 s. h, }3 m( f+ A
2 u7 i* h; l3 I9 |กลันทกนิวาป เป็นลานกว้างลานเดียวในบริเวณวัดที่ไม่มีโบราณสถานอื่นตั้งอยู่) โดยได้นำพระพุทธรูปยืนปางประทานพรไปประดิษฐานไว้บริเวณซุ้มเล็ก ๆ กลางลาน และเรียกว่า "ลานจาตุรงคสันนิบาต" ซึ่งในปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่าลาน
, ^4 ?  ]* b. d8 e
, L) W1 R9 G3 Wจาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริงอยู่ในจุดใด และยังคงมีชาวพุทธบางกลุ่มสร้างซุ้มพระพุทธรูปไว้ในบริเวณอื่นของวัดโดยเชื่อว่าจุดที่ตนสร้างนั้นเป็นลานจาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริง แต่พุทธศาสนิกชนชาวไทยส่วนใหญ่ก็เชื่อตามข้อสันนิษฐานของกอง8 g3 `3 |0 R, S& @$ ^& u8 K3 j
+ p6 `% H$ w% |  W, Z2 G; c
โบราณคดีอินเดียดังกล่าว โดยนิยมนับถือกันว่าซุ้มพระพุทธรูปกลางลานนี้เป็นจุดสักการะของชาวไทยผู้มาแสวงบุญจุดสำคัญ 1 ใน 2 แห่งของเมืองราชคฤห์ (อีกจุดหนึ่งคือพระมูลคันธกุฎีบนยอดเขาคิชกูฏ)
# e! G& `) p  G: L" R) u
( N* c0 y* J4 \: K* P3 pกิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันมาฆบูชา% p' L2 b8 s! [+ W5 k; l& `# ]% s

$ w0 @' D: C; E1 W การปฎิบัติตนสำหรับพุทธศาสนาในวันนี้ก็คือ การทำบุญ ตักบาตรในตอนเช้า หรือไม่ก็จัดหาอาหารคาวหวานไปทำบุญฟังเทศน์ที่วัด ตอนบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา ในตอนกลางคืน จะพากันนำดอกไม้ ธูปเทียน ไปที่วัดเพื่อชุมนุมกันทำพิธี- O1 Y- J& E' I, P' S1 b) R

" J* S7 _) F% y- n- b" x- Zเวียนเทียน รอบพระอุโบสถ พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์โดยเจ้าอาวาสจะนำว่า นะโม ๓ จบ จากนั้นกล่าวคำ ถวาย ดอกไม้ธูปเทียน ทุกคนว่าตาม จบแล้วเดิน เวียนขวา ตลอดเวลาให้ระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จนครบ ๓ รอบ
, x2 d) [) |2 l+ a# Y3 V
8 v, U' d( J, G$ P$ J' a+ Z7 Yแล้วนำดอกไม้ ธูปเทียนไปปักบูชาตามที่ทางวัด เตรียมไว้ เป็นอันเสร็จพิธี
& F6 U0 |& s6 r' I
* k$ K, n. p7 Q- V& k+ Iขอบคุณข้อมูลจาก : dhammathai.org,วิกิพีเดีย* ?- y% j& U& R# m# X* S$ q
6 r! l( K8 O! Z* K

! b5 \6 D) r6 K$ y$ \, X* q- \, E7 b
การถือปฏิบัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย* h; s% f$ `; ?+ [; }/ c
พิธีวันมาฆบูชานี้ เดิมทีเดียวในประเทศไทยไม่เคยทำมาก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายไว้ว่าเกิดขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทรงถือตามแบบของโบราณบัณฑิตที่
. H. z5 e3 f* B+ O8 @* ^% ]& V5 @/ U$ x3 A0 A( @" X
ได้นิยมกันว่า วันมาฆะบูรณมี พระจันทร์เสวยฤกษ์มาฆะเต็มบริบูรณ์เป็นวันที่พระอรหันต์สาวกของ พระพุทธเจ้า ๑,๒๕๐ รูป ได้ประชุมกันพร้อมด้วยองค์ ๔ ประการ เรียกว่า
  y" v7 s7 \4 U: C# ]' p0 P$ U+ P
. R( F& C4 ~. k: U0 ?' G' U. Dจาตุรงคสันนิบาตพระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เป็นการ ประชุมใหญ่ และเป็นการอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา นักปราชญ์ จึงถือเอาเหตุนั้นประกอบ การสักการบูชาพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวก ๑,๒๕๐ รูปนั้น ให้0 q2 m# Y8 Z4 a# i/ v
+ F+ O& t$ d+ J" a+ _, }! h
เป็นที่ตั้งแห่งความ เลื่อมใสการประกอบพิธีมาฆะบูชา ได้เริ่มในพระบรมมหาราชวังก่อน
. q2 ^2 a: J9 ~4 O' @
7 H2 v' t: Z! M- w3 R5 U( f3 |ในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีพิธีการพระราชกุศลในเวลาเช้า พระสงฆ์ วัดบวรนิเวศวิหารและ วัดราชประดิษฐ์ ๓๐ รูป ฉันในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เวลาค่ำ เสด็จออกทรงจุด ธูปเทียนเครื่อง มนัสการแล้ว พระสงฆ์สวดทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว สวด9 z0 [/ f8 Q" ^# `$ ?

  Y4 A, S0 s1 F# u% B( `1 t$ hมนต์ต่อไปมี สวดคาถาโอวาทปาติโมกข์ด้วยสวดมนต์ จบทรงจุดเทียนรายตามราวรอบพระอุโบสถ ๑,๒๕๐ เล่ม มีการประโคมอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงมีการเทศนา โอวาทปาติโมกข์- e& e. Q3 R( i% E9 Q, r& @9 e, k2 R
๑ กัณฑ์เป็นทั้งเทศนาภาษาบาลีและ ภาษาไทย เครื่องกัณฑ์ มีจีวรเนื้อดี ๑ ผืน เงิน ๓ ตำลึง และขนมต่าง ๆ เทศนาจบพระสงฆ์ ซึ่งสวดมนต์ ๓๐ รูป สวดรับการประกอบพระราชกุศลเกี่ยวกับ วันมาฆบูชาในสมัยรัชกาลที่ ๔ นั้น พระบาทสมเด็จพระ
- Y+ [& ]) M! c8 P  k- _& t- e3 Q4 x5 i
( W6 v+ h- _5 y* mจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกประกอบพิธีด้วยพระองค์เองทุกปีมิได้ขาด สมัยต่อมามีการเว้นบ้าง เช่น รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกเองบ้าง มิได้ เสด็จออกเองบ้างเพราะมักเป็นเวลาที่ประสบกับเวลาเสด็จ3 R4 F3 I" r. x- D* {5 k

, u; @% u6 r( Yประพาส หัวเมืองบ่อย ๆ หากถูกคราวเสด็จไปประพาสบางปะอินหรือพระพุทธบาท พระพุทธฉาย พระปฐมเจดีย์ พระแท่นดงรัง ก็จะทรงประกอบพิธีมาฆบูชา ในสถานที่นั้น ๆ ขึ้นอีก ส่วนหนึ่งต่างหากจากในพระบรมมหาราชวังเดิมทีมีการประกอบพิธี7 j* I, v5 [: g

1 W& F6 y4 P  y1 @9 |9 F3 }) ?: bในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาก็ขยายออกไป ให้พุทธบริษัทได้ ปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบสืบมาจนปัจจุบัน มีการบูชา ด้วยการเวียนเทียน และบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ ส่วนกำหนดวันประกอบพิธีมาฆบูชานั้น ปกติตรงกับวันเพ็ญ เดือน ๓ หากปีใด เป็น
7 ~# a9 e6 z  F7 Y* Q+ y: `; x3 i7 d* l. _7 s, ^
อธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหนจะเลื่อนไปตรงกับวันเพ็ญเดือน ๔" R2 L) T( I: M) ~2 Y6 X
1 A- |2 w% o0 s  Q9 `7 j1 ?

- g2 j0 `% }# z% s6 ^( C$ L# m' n& s* {* T5 c1 n: F9 x
หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติ. z; E6 a" Z9 ?3 f
หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติได้แก่ โอวาทปาติโมกข์ หมายถึง หลักคำสอนคำสำคัญของพระพุทธศาสนาอันเป็นไปเพื่อป้องกัน และแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตเป็นไปเพื่อความหลุดพ้น หรือคำสอน อันเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา หลักธรรมประกอบด้วย ) u2 ^5 k' p) |  I2 n7 {7 I8 B2 \. i
" F* Y" R8 ?& C$ }! a. m- a4 y
หลักการ ๓ อุดมการณ์ ๔ วิธีการ ๖ ดังนี้
9 a: p* i* Z/ y. n/ ~3 k
; Y; R0 u1 P, J8 ~* \) c& Z1 L2 [หลักการ ๓7 k+ }: Q/ Y% @7 J0 i9 V: y% Z: {
๑. การไม่ทำบาปทั้งปวง ได้แก่การงดเว้น การลด ละเลิก ทำบาปทั้งปวง ซึ่งได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งความชั่ว มีสิบประการ อันเป็น, ]  j/ `* j% y) s; Q- V6 _% t
ความชั่วทางกาย ทางวาจา และทางใจ ความชั่วทางกาย ได้แก่ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติ ผิดในกาม5 g) \  a# D# @. v! I8 K: D7 {
ความชั่วทางวาจา ได้แก่ การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดเพ้อเจ้อ
; I1 j- D0 K" M4 L* y+ v3 N4 v- O- T! eความชั่วทางใจ ได้แก่ การอยากได้สมบัติของผู้อื่น การผูกพยาบาท และความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม
  w+ J( R, l, c" A+ f( L' Q" W3 e- e
" n$ n" n, w, J) v- p๒. การทำกุศลให้ถึงพร้อม ได้แก่ การทำความดีทุกอย่างซึ่งได้แก่ กุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นแบบของการทำฝ่ายดีมี ๑๐ อย่าง อันเป็นความดีทางกาย ทางวาจาและทางใจ
* P8 S* B) e3 y1 I5 }: I& w
2 H! w0 ~! e) h& A: @% _! S7 ?1 Pความดีทางกาย ได้แก่ การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่นมีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ มาเป็นของตน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการไม่ประพฤติผิดในกาม0 }' E9 g; |: r
การทำความดีทางวาจา ได้แก่ การไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อพูดแต่คำจริง พูดคำอ่อนหวานพูดคำให้เกิดความสามัคคีและพูดถูกกาลเทศะ& r2 H8 J/ ]* R
การทำความดีทางใจ ได้แก่ การไม่โลภอยากได้ของของผู้อื่นมีแต่คิดเสียสละ การไม่ผูกอาฆาตพยาบาทมีแต่คิดเมตตาและ ปราถนาดีและมีความเห็นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
& x; ~8 r2 N' z3 |0 k
# S: |8 O5 ^7 a$ X1 l- k% u! ?๓. การทำจิตให้ผ่องใส ได้แก่ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ปราศจากนวรณ์ซึ่งเป็นเครื่องขัดขวางจิตไม่ให้เข้าถึงความสงบ มี ๕ ประการ ได้แก่
; y3 v9 l, I7 O3 q+ e/ v9 [
. ]8 F4 K2 Z8 s3 w& R! O+ I  C๑. ความพอใจในกาม (กามฉันทะ)
1 r- Y2 F' a: v7 v5 h' T๒. ความอาฆาตพยาบาท (พยาบาท)' I- r  N/ B+ N6 M3 f
๓. ความหดหู่ท้อแท้ ง่วงเหงาหาวนอน (ถีนะมิทธะ). l8 o, C. G, c; k; Z, d
๔. ความฟุ้งซ่าน รำคาญ (อุทธัจจะกุกกุจจะ) และ
: m4 L* n, j) |; b๕. ความลังเลสงสัย (วิกิจฉา) เช่น สงสัยในการทำความดีความชั่ว ว่ามีผลจริงหรือไม่ วิธีการทำจิตให้ปฏิบัติสมถะผ่องใส ที่แท้จริงเกิดขึ้นจากการละบาปทั้งปวง ด้วยการถือศืลและบำเพ็ญกุศล ให้ถึงพร้อมด้วยการ และวิปัสสนา จนได้บรรลุอรหัตผล   f* c# c1 i7 l
) f/ Y1 S/ X% d" Z2 _
อันเป็นความผ่องใสที่แท้จริง7 y/ ~7 M& H0 s# V

$ I5 E6 S# O5 Z3 j5 @9 n  G/ E) Bอุดมการณ์ ๔% t; `' S  C/ e6 c* p1 O* H
๑. ความอดทน ได้แก่ ความอดกลั้น ไม่ทำบาปทั้งทางกาย วาจา ใจ8 s; A) r: f/ i3 s
๒. ความไม่เบียดเบียน ได้แก่ การงดเว้นจากการทำร้าย รบกวน หรือ เบียดเบียนผู้อื่น
8 d) F: C2 i/ R1 N7 G' Q) w. ^3 `๓. ความสงบ ได้แก่ ปฏิบัติตนให้สงบทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ4 |6 q4 K8 w- o: I" o+ G/ H7 [
๔. นิพพาน ได้แก่ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นได้จาการดำเนินชีวิตตามมรรคมีองค์ ๘
) ~: ~) ]. u) @9 \+ l8 i' M6 Q; K  N4 }) R! S  ^/ G
วิธีการ ๖
" {3 H7 i9 j! k" i; C, |, m๑. ไม่ว่าร้าย ได้แก่ ไม่กล่าวให้ร้ายหรือ กล่าวโจมตีใคร
  I1 ~1 U+ O9 N  ?  J$ C๒. ไม่ทำร้าย ได้แก่ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น$ v) i) ]. p# x- p* y5 O+ g0 \4 z
๓. สำรวมในปาติโมกข์ ได้แก่ ความเคารพระเบียบวินัย กฎกติกา กฎหมาย รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีของสังคม1 x' Q! J1 R" z8 g5 m( _8 }; [
๔. รู้จักประมาณ ได้แก่ รู้จักความพอดีในการบริโภคอาหารหรือการใช้สอยสิ่งต่าง ๆ. _7 Y) p' m& ~0 u; c
๕. อยู่ในสถานที่ที่สงัด ได้แก่ อยู่ในสถานที่สงบมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม; k( p4 r" s  d1 b% U' W
๖. ฝึกหัดจิตใจให้สงบ ได้แก่ฝึกหัดชำระจิตให้สงบมีสุขภาพคุณภาพและประสิทธิ
; X  D" ^7 F' }3 \# j# s1 Nภาพที่ดี
: D7 b  I1 S  a5 ^+ B* {
8 ^: ^& l" }, W& ^/ u# Lขอบคุณข้อมูลจาก : dhammajak.net/budday/maka.php* n* X6 h2 t) X& E

+ r3 K$ Y8 m4 Z: B* \ที่มา : http://campus.sanook.com/910849/วันมาฆบูชา/
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2025-7-1 03:09 , Processed in 0.065708 second(s), 14 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.