แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 7323|ตอบ: 0
go

วันมาฆบูชา [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

วันมาฆบูชา
6 @& R2 Y1 L6 A: h/ T2 |8 C. @/ d9 y, x  u" Q0 ^- B
# Z3 @& u* L# e/ }
& s- W; V3 d9 n9 l- s, F
ความหมายวันมาฆบูชา
% B0 d! l9 E% k/ q# J* R" s1 U. `วันมาฆบูชา หมายถึง การบูชา ในวันเพ็ญเดือน ๓ เนื่องในโอกาสคล้าย วันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์
0 x1 \" p1 z) ?
  ?7 Z: Z* s3 n9 u' x/ V8 C: nความสำคัญวันมาฆบูชา& t) p) ?! K( @1 [4 d8 y
วันมาฆบูชา เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ มีเหตุการณ์อัศจรรย์ที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าจำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ โดยมิได้นัดหมายกันพระสงฆ์ ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์( v+ Z5 x- n& b# K
" J' N+ W7 t5 P- q. {, K6 P
ผู้ได้อภิญญา ๖และเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบท โดยตรงจากพระพุทธเจ้า ในวันนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งเป็นทั้งหลักการอุดมการณ์และวิธีการปฏิบัติที่ นำไปใช้ได้ทุกสังคม มีเนื้อหา โดยสรุปคือให้ละ
$ L5 o# O+ Z* s- I9 H
" [+ s* K0 h+ dความชั่วทุกชนิด ทำความดี ให้ถึงพร้อมและทำจิตใจให้ผ่องใส
% W9 e8 L6 d) h4 [5 f; Z5 k0 Z2 b; H4 s, p  g" D; y8 ?& L* w9 A2 }
ประวัติความเป็นมาวันมาฆบูชา
" a4 V. }  a) x; v3 `% v) s8 e๑. ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๙ เดือนขณะนั้นเมื่อเสร็จพุทธกิจแสดงธรรมที่ถ้ำสุกรขาตาแล้ว เสด็จมาประทับที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ประเทศอินเดียในปัจจุบัน วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ เดือนมาฆะหรือเดือน
' Y$ }+ y( Q( F' i
0 j' W2 s9 Z+ R; }5 B6 M1 m7 L* P๓ในเวลาบ่ายพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า มาประชุม พร้อมกัน ณ ที่ประทับของพระพุทธเจ้า นับเป็นเหตุอัศจรรย์ ที่มีองค์ประกอบสำคัญ ๔ ประการ เรียกว่าว่า วันจาตุรงคสันนิบาต
6 A; O! N( y2 q# m* v0 U! l
* L( `( }6 N! Y0 x% J: }8 rคำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" แยกศัพท์ได้ดังนี้ คือ  i' @' B* N9 }

3 e4 y! ]8 V; N8 ]/ U$ K"จาตุร" แปลว่า ๔ ! [$ T& t. @6 x3 {: |0 D( j6 k
"องค์" แปลว่า ส่วน ( B% M1 i/ b4 ~# u% S
"สันนิบาต" แปลว่า ประชุม
3 Z# Z1 l) i) }ฉะนั้นจาตุรงคสันนิบาตจึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ ๔" กล่าวคือมีเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวันนี้ คือ1 ?5 U# ?( P# p$ o: V
6 h8 r/ L- f! V6 @& g7 V+ D
1. เป็นวันที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันที่เวฬุวันวิหารในกรุงราชคฤห์ โดยมิได้นัดหมาย) N* x% H; F" P: {

  e  R- X* ~2 ^2 d. ~2. พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น
9 q0 F$ P4 G1 w
/ U9 _+ P2 `6 }( p+ H! h3 p/ F  q5 E* u$ [3. พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ที่ได้มาประชุมในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นผุ้ได้บรรลุพระอรหันต์แล้วทุก ๆองค์6 g( N" H8 E$ Q8 l$ b- x* a
( t- S' d0 @) P& E7 v# d/ ~0 J$ `
4. เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงกำลังเสวยมาฆฤกษ
; O$ L2 J- B9 P( ?& p
/ E  e8 d. F% W$ H) b& Jประวัติวันมาฆบูชา* V) b# c6 e9 ~  k$ |' I4 A7 X
) W# j& m2 l3 N- M- W4 O
มูลเหตุ- v4 q1 J( d& p; z
หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 และได้ทรงประกาศพระศาสนาและส่งพระอรหันตสาวกออกไปจาริกเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนายังสถานที่ต่าง ๆ ล่วงแล้วได้ 9 เดือน ในวันที่ใกล้พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (วันขึ้น 15 ค่ำ 4 U2 p: u* V; l8 D. `  \' l7 y
' k5 i- P2 c2 X7 x
เดือน 3) พระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้นต่างได้ระลึกว่า วันนี้เป็นวันสำคัญของศาสนาพราหมณ์ อันเป็นศาสนาของตนอยู่เดิม ก่อนที่จะหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า และในลัทธิศาสนาเดิมนั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือนมาฆะ เหล่าผู้ศรัทธา
$ D4 z1 N9 X. V, ^8 q
5 d7 `( J; D. ^2 Z% h+ Y+ Q6 Vพราหมณลัทธินิยมนับถือกันว่าวันนี้เป็นวันศิวาราตรี โดยจะทำการบูชาพระศิวะด้วยการลอยบาปหรือล้างบาปด้วยน้ำ แต่มาบัดนี้ตนได้เลิกลัทธิเดิมหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแล้ว จึงควรเดินทางไปเข้าเฝ้าบูชาฟังพระสัทธรรมจาก8 y7 v- P3 n7 x' k

9 _4 I% w8 U5 {( P4 U. C! f4 i0 rพระพุทธเจ้า พระอรหันต์เหล่านั้นซึ่งเคยปฏิบัติศิวาราตรีอยู่เดิม จึงพร้อมใจกันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้นัดหมาย9 M. w3 M' Y' U  L: i4 E

8 R$ P" c7 g6 ]: C- \8 W9 h# lมีผู้กล่าวว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้พระสาวกทั้ง 1,250 องค์มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย มาจากในวันเพ็ญเดือน 3 ตามคติพราหมณ์ เป็นวันพิธีศิวาราตรี พระสาวกเหล่านั้นซึ่งเคยนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อนจึงได้เปลี่ยนจากการรวมตัว
' @% ?  Y. H! r1 f1 n* T3 {% i* _2 f9 U5 Y# U6 I) j
กันทำพิธีชำระบาปตามพิธีพราหมณ์ มารวมกันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแทน
4 s: i0 \) w# f5 q" c1 D3 j5 @. _: x7 ^, _5 i
1 M8 h- Y% t/ e3 T0 X

5 T9 c- Q6 _! V8 M' J4 P+ b7 hโอวาทปาฏิโมกข์
2 |8 w8 b# V8 v  zหลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุวนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียก- O, j0 C6 R! ^. p
+ s+ L+ x) f/ R  d: W/ \
กันว่าวันมาฆบูชา (ถรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ตลอดมา เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา), คาถาโอวาทปาฏิโมกข์ มีดังนี้ (โอวาทปาติโมกข์ ก็เขียน)1 ~* i4 Z0 q7 {3 B

) C+ x+ p2 `3 m; f2 i+ Xสพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทา. H! W& v! D( ]  k- {
สจิตฺตปริโยทปนํเอตํ พุทธาน สาสนํฯ
0 D1 `* r% v5 V2 p: g: z1 Zขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
3 x- K" e0 T% Kนิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
+ ~5 ^3 F  |8 C8 ]4 [2 bน หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
! A8 `& ?1 r. m& ^+ j$ u% e% Oสมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ
, N# H5 o5 c/ Q! q2 M  P* Lอนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร, K( y9 r* `3 a0 P
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ; a1 H$ ^/ p4 Z% U6 U5 L
อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ
! _6 W1 p+ k5 }- I4 f/ _* C) X7 W, Q1 c+ }7 [: k9 E# a) e  r- N
แปล : การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๑ การบำเพ็ญแต่ความดี ๑ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง, พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพาน เป็นบรมธรรม, ผู้ทำร้ายคน
. z. w% p, K; |2 W' L- R/ Q( V
# l- x4 ]! M" O* ]อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต,ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะการไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ ความสำรวมในปาฏิโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ๑ ที่นั่งนอนอันสงัด ๑ ความเพียรในอธิจิต ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้ง
) K7 H. H# M2 y0 n0 \
. b# o" T8 S3 y7 Y, l2 Tหลายที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส/ @: c3 a3 p6 S: b3 b

2 C& Y. O- F2 L" }( qสถานที่สำคัญเนื่องด้วยวันมาฆบูชา (พุทธสังเวชนียสถาน). |+ m( m5 [5 d: E! X- m" }1 K0 c

, n$ u& I, Z0 _* U) S6 rพระพุทธรูปยืนกลางมณฑลมหาสังฆสันนิบาต ในโบราณสถานวัดเวฬุวันมหาวิหาร เมืองราชคฤห์ รัฐพิหาร อินเดีย (เป็นพระพุทธรูปสร้างใหม่ ปัจจุบันเป็นสถานที่จาริกแสวงบุญสำคัญของชาวพุทธทั่วโลก)เหตุการณ์สำคัญที่เกิดในวันมาฆบูชา เกิด
( _* W* i* E/ Z* q( Z0 r& f( L3 _. }& K; \
ภายในบริเวณที่ตั้งของ "กลุ่มพุทธสถานโบราณวัดเวฬุวันมหาวิหาร" ภายในอาณาบริเวณของวัดเวฬุวันมหาวิหาร ซึ่งลานจาตุรงคสันนิบาตอันเป็นจุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชานั้น ยังคงเป็นที่ถกเถียงและหาข้อสรุปทาง* k: R) s8 l8 ?& D) T5 T, ]+ q

) [, n  i) H/ d% u6 G- z( \( [9 L) Wโบราณคดีไม่ได้มาจนถึงปัจจุบัน
1 y* ^8 u: D6 }' E5 w+ S+ R( V8 @; k" B; n0 E! n) x6 D* A1 @
วัดเวฬุวันมหาวิหาร7 f+ q1 c& }+ Z) D  i% y: u& e
"วัดเวฬุวันมหาวิหาร" เป็นอาราม (วัด) แห่งแรกในพระพุทธศาสนา ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขาเวภารบรรพต บนริมฝั่งแม่น้ำสรัสวดีซึ่งมีตโปธาราม (บ่อน้ำร้อนโบราณ) คั่นอยู่ระหว่างกลาง นอกเขตกำแพงเมืองเก่าราชคฤห์ (อดีตเมืองหลวงของแคว้นมคธ) รัฐ
% j6 x0 u1 Y$ R+ W. e
8 W7 T$ x4 K/ Q) Bพิหาร ประเทศอินเดียในปัจจุบัน (หรือ แคว้นมคธ ชมพูทวีป ในสมัยพุทธกาล)
3 e$ Y, r- D. q! E6 t3 R
( K( A5 A% d' k0 f6 `2 B0 X
0 Y* Y6 |% i5 ^3 _' Q* D4 O; d% o" ^: z0 m
วัดเวฬุวันในสมัยพุทธกาล
6 f& e# r: O* q- o( g1 h- a' _! pเดิมวัดเวฬุวันเป็นพระราชอุทยานสำหรับเสด็จพระพาสของพระเจ้าพิมพิสาร เป็นสวนป่าไผ่ร่มรื่นมีรั้วรอบและกำแพงเข้าออก เวฬุวันมีอีกชื่อหนึ่งปรากฏในพระสูตรว่า "พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน"หรือ "เวฬุวันกลันทกนิวาป" (สวนป่าไผ่: ]- ?' z) Z# Z; a' H+ g9 H

& f& f$ E1 u. N7 H! fสถานที่สำหรับให้เหยื่อแก่กระแต) พระเจ้าพิมพิสารได้ถวายพระราชอุทยานแห่งนี้เป็นวัดในพระพุทธศาสนาหลังจากได้สดับพระธรรมเทศนาอนุปุพพิกถาและจตุราริยสัจจ์ ณ พระราชอุทยานลัฏฐิวัน (พระราชอุทยานสวนตาลหนุ่ม) โดยในครั้งนั้น
9 J% E/ w9 s* G! O9 l# B* _
  D5 M: G' E0 p6 B& X+ hพระองค์ได้บรรลุพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา และหลังจากการถวายกลันทกนิวาปสถานไม่นาน อารามแห่งนี้ก็ได้ใช้เป็นสถานที่สำหรับพระสงฆ์ประชุมจาตุรงคสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา อันเป็นเหตุการณ์สำคัญใน
/ M5 `: U) x, j; |; ?, M9 A+ N, [$ ~! M
วันมาฆบูชา+ X* Z& o9 M3 F- z6 W# {4 t

. s) w. z- t' c: dวัดเวฬุวันหลังการปรินิพพาน! {# l- t' s( i+ B$ O8 s
หลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน วัดเวฬุวันได้รับการดูแลมาตลอด โดยเฉพาะมูลคันธกุฎีที่มีพระสงฆ์เฝ้าดูแลทำการปัดกวาดเช็ดถูปูลาดอาสนะและปฏิบัติต่อสถานที่ ๆ พระพุทธเจ้าเคยประทับอยู่ทุก ๆ แห่ง เหมือนสมัยที่พระพุทธองค์ทรงพระชนม
, O8 |5 b" \' o
. b% h6 S6 L6 D2 I- e6 d1 Y; y. Hชีพอยู่มิได้ขาด โดยมีการปฏิบัติเช่นนี้ติดต่อกันกว่าพันปี
0 y" U7 |; v' Z" ]
, U& m% H6 J! c/ u. ]& wแต่จากเหตุการณ์ย้ายเมืองหลวงแห่งแคว้นมคธหลายครั้งในช่วง พ.ศ. 70 ที่เริ่มจากอำมาตย์และราษฎรพร้อมใจกันถอดกษัตริย์นาคทัสสก์แห่งราชวงศ์ของพระเจ้าพิมพิสารออกจากพระราชบัลลังก์ และยกสุสูนาคอำมาตย์ซึ่งมีเชื้อสายเจ้าลิจฉวีในกรุง( \3 b# V3 |1 Q3 m- W6 e

* `- s* q1 m2 }8 d. h, `* Yเวสาลีแห่งแคว้นวัชชีเก่า ให้เป็นกษัตริย์ตั้งราชวงศ์ใหม่แล้ว พระเจ้าสุสูนาคจึงได้ทำการย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธไปยังเมืองเวสาลีอันเป็นเมืองเดิมของตน และกษัตริย์พระองค์ต่อมาคือพระเจ้ากาลาโศกราช ผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุสูนาค 2 u5 N, q% Z% ~; w7 `& h  n, O

7 u5 z/ e* U. Tได้ย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธอีก จากเมืองเวสาลีไปยังเมืองปาตลีบุตร ทำให้เมืองราชคฤห์ถูกลดความสำคัญลงและถูกทิ้งร้าง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้วัดเวฬุวันขาดผู้อุปถัมภ์และถูกทิ้งร้างอย่างสิ้นเชิงในช่วงพันปีถัดมา2 F% L" e# ]1 ~2 y# Z7 R
* c5 A6 ~  x  @" b
โดยปรากฏหลักฐานบันทึกของหลวงจีนฟาเหียน (Fa-hsien) ที่ได้เข้ามาสืบศาสนาในพุทธภูมิในช่วงปี พ.ศ. 942 - 947 ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าจันทรคุปต์ที่ ๒ (พระเจ้าวิกรมาทิตย์) แห่งราชวงศ์คุปตะ ซึ่งท่านได้บันทึกไว้ว่า เมืองราชคฤห์อยู่8 ^$ E) N( w- {
5 o. f5 Y5 @' S& Y" @- N
ในสภาพปรักหักพัง แต่ยังทันได้เห็นมูลคันธกุฎีวัดเวฬุวันปรากฏอยู่ และยังคงมีพระภิกษุหลายรูปช่วยกันดูแลรักษาปัดกวาดอยู่เป็นประจำ แต่ไม่ปรากฏว่ามีการบันทึกถึงสถานที่เกิดเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตแต่ประการใด
7 n* D1 b) N0 x3 K
+ o( B5 f8 {* X$ ^แต่หลังจากนั้นประมาณ 200 ปี วัดเวฬุวันก็ถูกทิ้งร้างไป ตามบันทึกของพระถังซำจั๋ง (Chinese traveler Hiuen-Tsang) ซึ่งได้จาริกมาเมืองราชคฤห์ราวปี พ.ศ. 1300 ซึ่งท่านบันทึกไว้แต่เพียงว่า ท่านได้เห็นแต่เพียงซากมูลคันธกุฎีซึ่งมี
* U  `) M7 l: ]/ S- ]& d
! B, p) i" w  J0 T  P2 J# Rกำแพงและอิฐล้อมรอบอยู่เท่านั้น (ในสมัยนั้นเมืองราชคฤห์โรยราถึงที่สุดแล้ว พระถังซำจั๋งได้แต่เพียงจดตำแหน่งที่ตั้งทิศทางระยะทางของสถูปและโบราณสถานเก่าแก่อื่น ๆ ในเมืองราชคฤห์ไว้มาก ทำให้เป็นประโยชน์แก่นักประวัติศาสตร์และนัก+ F4 T' w0 m/ ]  W
, f2 |% ~3 H0 ^
โบราณคดีในการค้นหาโบราณสถานต่าง ๆ ในเมืองราชคฤห์ในปัจจุบัน)( N: X+ r. v& c  v' h% e, L2 }
4 h/ A6 j7 |6 C( y0 }
จุดแสวงบุญและสภาพของวัดเวฬุวันในปัจจุบัน
' [% }; Z# Y+ [( b% f4 K- Mปัจจุบันหลังถูกทอดทิ้งเป็นเวลากว่าพันปี และได้รับการบูรณะโดยกองโบราณคดีอินเดียในช่วงที่อินเดียยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ วัดเวฬุวัน ยังคงมีเนินดินโบราณสถานที่ยังไม่ได้ขุดค้นอีกมาก สถานที่สำคัญ ๆ ที่พุทธศาสนิกชนในปัจจุบันนิยม
$ w0 }$ L+ P% O& I: |* t  M0 I- e6 w7 Q/ X
ไปนมัสการคือ "พระมูลคันธกุฎี" ที่ปัจจุบันยังไม่ได้ทำการขุดค้น เนื่องจากมีกุโบร์ของชาวมุสลิมสร้างทับไว้ข้างบนเนินดิน, "สระกลันทกนิวาป" ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลอินเดียได้ทำการบูรณะใหม่อย่างสวยงาม, และ "ลานจาตุรงคสันนิบาต" อันเป็นลานเล็ก 5 \" W# S, `, N% a

6 h2 e% s6 j$ K6 t0 {2 F" cๆ มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางประทานพรอยู่กลางซุ้ม ลานนี้เป็นจุดสำคัญที่ชาวพุทธนิยมมาทำการเวียนเทียนสักการะ (ลานนี้เป็นลานที่กองโบราณคดีอินเดียสันนิษฐานว่าพระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ในจุดนี้)' w% |  i6 v8 d3 }$ M
0 @) \7 C% T7 O* |. x! ^5 d7 M. A
จุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชา (ลานจาตุรงคสันนิบาต)
+ e  j& T* ~6 o7 p2 Q$ F% `4 Z1 \ถึงแม้ว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตจะเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งที่เกิดในบริเวณวัดเวฬุวันมหาวิหาร แต่ทว่าไม่ปรากฏรายละเอียดในบันทึกของสมณทูตชาวจีนและในพระไตรปิฎกแต่อย่างใดว่าเหตุการณ์ใหญ่นี้เกิดขึ้น ณ จุดใดของวัดเวฬุวัน รวมทั้ง
" `* q3 S" a, q5 r+ m7 {$ l. O$ y1 q6 N  M* {1 w
จากการขุดค้นทางโบราณคดีก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการทำเครื่องหมาย (เสาหิน) หรือสถูประบุสถานที่ประชุมจาตุรงคสันนิบาตไว้แต่อย่างใด (ตามปกติแล้วบริเวณที่เกิดเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนา มักจะพบสถูปโบราณหรือเสาหินพระ
- j* L% Z' _7 K$ X- q
) w# J5 L) A; J6 b1 t6 iเจ้าอโศกมหาราชสร้างหรือปักไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายสำคัญสำหรับผู้แสวงบุญ) ทำให้ในปัจจุบันไม่สามารถทราบโดยแน่ชัดว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตเกิดขึ้นในจุดใดของวัด3 L+ r4 z6 {2 p, z& h' T
0 e2 p' ~1 n  W! l
ในปัจจุบันกองโบราณคดีอินเดียได้แต่เพียงสันนิษฐานว่า "เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดในบริเวณลานด้านทิศตะวันตกของสระกลันทกนิวาป" (โดยสันนิษฐานเอาจากเอกสารหลักฐานว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีพระสงฆ์ประชุมกันมากถึงสองพันกว่ารูป และ$ C) t* ?! M) c3 |( ^8 P( N% C
6 g; H5 f% S: u5 w9 U/ ^3 P2 v. I
เกิดในช่วงที่พระพุทธองค์พึ่งได้ทรงรับถวายอารามแห่งนี้ การประชุมครั้งนั้นคงยังต้องนั่งประชุมกันตามลานในป่าไผ่ เนื่องจากเสนาสนะหรือโรงธรรมสภาขนาดใหญ่ยังคงไม่ได้สร้างขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันลานด้านทิศตะวันตกของสระ
0 q# `; O2 o, e+ T: v
" S- g2 _7 j! X' U& ?$ nกลันทกนิวาป เป็นลานกว้างลานเดียวในบริเวณวัดที่ไม่มีโบราณสถานอื่นตั้งอยู่) โดยได้นำพระพุทธรูปยืนปางประทานพรไปประดิษฐานไว้บริเวณซุ้มเล็ก ๆ กลางลาน และเรียกว่า "ลานจาตุรงคสันนิบาต" ซึ่งในปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่าลาน" \6 O% e7 N% z: r
' Q* ]. _' G0 K8 l
จาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริงอยู่ในจุดใด และยังคงมีชาวพุทธบางกลุ่มสร้างซุ้มพระพุทธรูปไว้ในบริเวณอื่นของวัดโดยเชื่อว่าจุดที่ตนสร้างนั้นเป็นลานจาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริง แต่พุทธศาสนิกชนชาวไทยส่วนใหญ่ก็เชื่อตามข้อสันนิษฐานของกอง: n$ E( W7 f4 \
& ], ?& `" U4 p( p, S
โบราณคดีอินเดียดังกล่าว โดยนิยมนับถือกันว่าซุ้มพระพุทธรูปกลางลานนี้เป็นจุดสักการะของชาวไทยผู้มาแสวงบุญจุดสำคัญ 1 ใน 2 แห่งของเมืองราชคฤห์ (อีกจุดหนึ่งคือพระมูลคันธกุฎีบนยอดเขาคิชกูฏ)
8 j! I! q. w1 j- g- N
* o* Y) A$ t9 M. R$ D$ aกิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันมาฆบูชา/ X* L9 O  ^( X& c; B/ ]# d
+ H' P$ Z8 y6 H0 J
การปฎิบัติตนสำหรับพุทธศาสนาในวันนี้ก็คือ การทำบุญ ตักบาตรในตอนเช้า หรือไม่ก็จัดหาอาหารคาวหวานไปทำบุญฟังเทศน์ที่วัด ตอนบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา ในตอนกลางคืน จะพากันนำดอกไม้ ธูปเทียน ไปที่วัดเพื่อชุมนุมกันทำพิธี
1 W+ |: X) _4 @4 [4 x
. ^) W) T9 K8 T# J% J' U/ k9 oเวียนเทียน รอบพระอุโบสถ พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์โดยเจ้าอาวาสจะนำว่า นะโม ๓ จบ จากนั้นกล่าวคำ ถวาย ดอกไม้ธูปเทียน ทุกคนว่าตาม จบแล้วเดิน เวียนขวา ตลอดเวลาให้ระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จนครบ ๓ รอบ 1 @" P+ d, _( {# q; t
- P3 ]4 O0 @3 w, \
แล้วนำดอกไม้ ธูปเทียนไปปักบูชาตามที่ทางวัด เตรียมไว้ เป็นอันเสร็จพิธี' d0 S+ e* D9 P8 v5 a

+ u+ G' H6 v& U3 r7 R' L7 z6 Qขอบคุณข้อมูลจาก : dhammathai.org,วิกิพีเดีย0 r# B$ N4 J5 s. ?  `) E$ @$ W
, B9 q( `# D% c1 X

! X8 `2 p! b; U, u" J" ?0 N7 }% ]6 @& E1 J# f9 H
การถือปฏิบัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย' S$ G5 j) D* Y6 S! D' k
พิธีวันมาฆบูชานี้ เดิมทีเดียวในประเทศไทยไม่เคยทำมาก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายไว้ว่าเกิดขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทรงถือตามแบบของโบราณบัณฑิตที่$ B4 ]( W' K: K8 x$ p6 B4 V

4 R& Y' e! O& \8 Qได้นิยมกันว่า วันมาฆะบูรณมี พระจันทร์เสวยฤกษ์มาฆะเต็มบริบูรณ์เป็นวันที่พระอรหันต์สาวกของ พระพุทธเจ้า ๑,๒๕๐ รูป ได้ประชุมกันพร้อมด้วยองค์ ๔ ประการ เรียกว่า
' \; ~4 l: r. c, S$ v: M. W2 l% w$ }9 b
จาตุรงคสันนิบาตพระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เป็นการ ประชุมใหญ่ และเป็นการอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา นักปราชญ์ จึงถือเอาเหตุนั้นประกอบ การสักการบูชาพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวก ๑,๒๕๐ รูปนั้น ให้
/ h/ i! a4 @% Q( ]7 C6 \9 y6 w; ~- j! {9 S  G7 \
เป็นที่ตั้งแห่งความ เลื่อมใสการประกอบพิธีมาฆะบูชา ได้เริ่มในพระบรมมหาราชวังก่อน
+ f6 l* m! y4 Q- E
' F  S5 e: i" E9 q1 o2 P8 qในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีพิธีการพระราชกุศลในเวลาเช้า พระสงฆ์ วัดบวรนิเวศวิหารและ วัดราชประดิษฐ์ ๓๐ รูป ฉันในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เวลาค่ำ เสด็จออกทรงจุด ธูปเทียนเครื่อง มนัสการแล้ว พระสงฆ์สวดทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว สวด
1 ^" ?; k6 H; p# r
4 Q1 |3 @4 k) n* s* cมนต์ต่อไปมี สวดคาถาโอวาทปาติโมกข์ด้วยสวดมนต์ จบทรงจุดเทียนรายตามราวรอบพระอุโบสถ ๑,๒๕๐ เล่ม มีการประโคมอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงมีการเทศนา โอวาทปาติโมกข์
0 W6 I* u2 U+ e๑ กัณฑ์เป็นทั้งเทศนาภาษาบาลีและ ภาษาไทย เครื่องกัณฑ์ มีจีวรเนื้อดี ๑ ผืน เงิน ๓ ตำลึง และขนมต่าง ๆ เทศนาจบพระสงฆ์ ซึ่งสวดมนต์ ๓๐ รูป สวดรับการประกอบพระราชกุศลเกี่ยวกับ วันมาฆบูชาในสมัยรัชกาลที่ ๔ นั้น พระบาทสมเด็จพระ/ i1 D9 _( [2 G" e7 _9 O

  x! A7 K  v0 M$ s! iจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกประกอบพิธีด้วยพระองค์เองทุกปีมิได้ขาด สมัยต่อมามีการเว้นบ้าง เช่น รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกเองบ้าง มิได้ เสด็จออกเองบ้างเพราะมักเป็นเวลาที่ประสบกับเวลาเสด็จ
/ O) Y- b  X: l3 d; M+ C8 l! G- h, w  j& a  C  G4 `0 X7 F
ประพาส หัวเมืองบ่อย ๆ หากถูกคราวเสด็จไปประพาสบางปะอินหรือพระพุทธบาท พระพุทธฉาย พระปฐมเจดีย์ พระแท่นดงรัง ก็จะทรงประกอบพิธีมาฆบูชา ในสถานที่นั้น ๆ ขึ้นอีก ส่วนหนึ่งต่างหากจากในพระบรมมหาราชวังเดิมทีมีการประกอบพิธี# ?" c4 ]' G" O

& f6 P; x+ O& T$ Zในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาก็ขยายออกไป ให้พุทธบริษัทได้ ปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบสืบมาจนปัจจุบัน มีการบูชา ด้วยการเวียนเทียน และบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ ส่วนกำหนดวันประกอบพิธีมาฆบูชานั้น ปกติตรงกับวันเพ็ญ เดือน ๓ หากปีใด เป็น! ~# T1 Z$ S( _" k4 J. a
9 `" J" A. ?3 f% h" N# n
อธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหนจะเลื่อนไปตรงกับวันเพ็ญเดือน ๔
6 n+ v& G; ^% g, u6 X; p0 t6 @1 f' _$ _! w( Q
+ e( @5 U5 ~0 R& B' F
' W1 d' D+ H" p7 s  a
หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติ. ^8 ^8 c9 Q8 b# ^
หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติได้แก่ โอวาทปาติโมกข์ หมายถึง หลักคำสอนคำสำคัญของพระพุทธศาสนาอันเป็นไปเพื่อป้องกัน และแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตเป็นไปเพื่อความหลุดพ้น หรือคำสอน อันเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา หลักธรรมประกอบด้วย 4 J" W2 I3 ]  Q6 b8 q# B0 g
& J  f* B- }! P; ?
หลักการ ๓ อุดมการณ์ ๔ วิธีการ ๖ ดังนี้
. e9 h# e2 B6 Y% X& Y$ D* N6 f4 \# s9 e* ~' g5 P4 e# [
หลักการ ๓
$ D3 c1 ]3 ]3 v: g5 y* Y0 t๑. การไม่ทำบาปทั้งปวง ได้แก่การงดเว้น การลด ละเลิก ทำบาปทั้งปวง ซึ่งได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งความชั่ว มีสิบประการ อันเป็น* R4 Z1 L- }. u9 n5 n
ความชั่วทางกาย ทางวาจา และทางใจ ความชั่วทางกาย ได้แก่ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติ ผิดในกาม$ h: R& V& m- a& @( t" }
ความชั่วทางวาจา ได้แก่ การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดเพ้อเจ้อ . t6 y- Z& _) C; f
ความชั่วทางใจ ได้แก่ การอยากได้สมบัติของผู้อื่น การผูกพยาบาท และความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม
1 a3 L# @7 [1 G7 G0 Z( f1 `9 j* f, q& E6 @8 L
๒. การทำกุศลให้ถึงพร้อม ได้แก่ การทำความดีทุกอย่างซึ่งได้แก่ กุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นแบบของการทำฝ่ายดีมี ๑๐ อย่าง อันเป็นความดีทางกาย ทางวาจาและทางใจ: O2 B5 Z' }$ G$ V* i
+ e: s( ?3 N! Y6 Y1 R/ P4 b6 x
ความดีทางกาย ได้แก่ การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่นมีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ มาเป็นของตน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการไม่ประพฤติผิดในกาม# o9 C! l' |' z3 Y, p: X5 i% l$ |- O
การทำความดีทางวาจา ได้แก่ การไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อพูดแต่คำจริง พูดคำอ่อนหวานพูดคำให้เกิดความสามัคคีและพูดถูกกาลเทศะ
) n; S4 |4 c% t7 Q4 [1 Wการทำความดีทางใจ ได้แก่ การไม่โลภอยากได้ของของผู้อื่นมีแต่คิดเสียสละ การไม่ผูกอาฆาตพยาบาทมีแต่คิดเมตตาและ ปราถนาดีและมีความเห็นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
3 Q% B) k" F( y9 x. B$ O6 J7 `8 \& A! d9 x
๓. การทำจิตให้ผ่องใส ได้แก่ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ปราศจากนวรณ์ซึ่งเป็นเครื่องขัดขวางจิตไม่ให้เข้าถึงความสงบ มี ๕ ประการ ได้แก่4 l6 E' E, A" }
$ ~  S! a, d, C& t  {
๑. ความพอใจในกาม (กามฉันทะ)
/ z- K; ]0 s1 w/ h6 u9 _๒. ความอาฆาตพยาบาท (พยาบาท)
8 K! G; n8 N# P- h0 w: L- N5 q๓. ความหดหู่ท้อแท้ ง่วงเหงาหาวนอน (ถีนะมิทธะ)
/ F* O: y  T2 f, R! |- F๔. ความฟุ้งซ่าน รำคาญ (อุทธัจจะกุกกุจจะ) และ
$ Z* k3 k2 L* s; O6 \3 a  |+ F๕. ความลังเลสงสัย (วิกิจฉา) เช่น สงสัยในการทำความดีความชั่ว ว่ามีผลจริงหรือไม่ วิธีการทำจิตให้ปฏิบัติสมถะผ่องใส ที่แท้จริงเกิดขึ้นจากการละบาปทั้งปวง ด้วยการถือศืลและบำเพ็ญกุศล ให้ถึงพร้อมด้วยการ และวิปัสสนา จนได้บรรลุอรหัตผล
% W& f6 X; p4 U  \  S) H6 Z9 d5 n3 }0 @
อันเป็นความผ่องใสที่แท้จริง; ^* g5 L. @# a( K. o, Z
+ ~4 s' L1 S9 G$ j2 f! Q: S3 T& U
อุดมการณ์ ๔
% {0 ]' [9 y; k# g( a; M๑. ความอดทน ได้แก่ ความอดกลั้น ไม่ทำบาปทั้งทางกาย วาจา ใจ" E9 Z/ t9 N! J; ~3 i
๒. ความไม่เบียดเบียน ได้แก่ การงดเว้นจากการทำร้าย รบกวน หรือ เบียดเบียนผู้อื่น
/ t- j/ k6 B9 U3 Y' [/ |๓. ความสงบ ได้แก่ ปฏิบัติตนให้สงบทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ
- M2 \) q% `2 u) G' v3 ]๔. นิพพาน ได้แก่ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นได้จาการดำเนินชีวิตตามมรรคมีองค์ ๘
1 P' P" u% i' b) B; p) `- V
6 o5 N  I$ [$ f& L+ X% cวิธีการ ๖, s1 T7 K1 Z$ j2 R! l3 y. e
๑. ไม่ว่าร้าย ได้แก่ ไม่กล่าวให้ร้ายหรือ กล่าวโจมตีใคร
1 j  \4 W8 A7 C: q  B๒. ไม่ทำร้าย ได้แก่ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น0 A) D" h& E2 X6 I/ u
๓. สำรวมในปาติโมกข์ ได้แก่ ความเคารพระเบียบวินัย กฎกติกา กฎหมาย รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีของสังคม7 e2 L9 ^  Q7 |- n3 O
๔. รู้จักประมาณ ได้แก่ รู้จักความพอดีในการบริโภคอาหารหรือการใช้สอยสิ่งต่าง ๆ' l1 A& Y: @& U
๕. อยู่ในสถานที่ที่สงัด ได้แก่ อยู่ในสถานที่สงบมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม
: L: K$ w( {, y" W: J5 Z๖. ฝึกหัดจิตใจให้สงบ ได้แก่ฝึกหัดชำระจิตให้สงบมีสุขภาพคุณภาพและประสิทธิ
4 s4 `- u$ ]5 J" T* \ภาพที่ดี. F8 x3 k2 e! p1 F8 n# L& E0 T
" d' ~1 v' b( p
ขอบคุณข้อมูลจาก : dhammajak.net/budday/maka.php/ i3 J9 E2 U/ t- E' m: O& B- n
+ Z: U" X- C% V! p
ที่มา : http://campus.sanook.com/910849/วันมาฆบูชา/
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2025-12-14 13:02 , Processed in 0.043093 second(s), 14 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.